โฆษกสธ.
เผย “สมศักดิ์” ปลื้มหลังผลสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุ “30 บาทรักษาทุกที่” เป็นนโยบายที่ครองใจประชาชนสูงสุด
เผยผลงานรัฐบาลควบคู่การทำงานอย่างหนักของบุคลากรสธ. คาดสิ้นปีปชช.ได้ใช้สิทธิ์ทั้งประเทศ ไม่ต้องมีใบส่งตัว
วันที่
4 มิถุนายน 2567 น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า
หลังจาก นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและ ดร.ปิยนุช วุฒิสอน
ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติแถลงข่าวผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนครบ 6
เดือน ต่อการบริหารงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ปี พ.ศ. 2567 พบ
นโยบาย/มาตรการ/โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
เป็นนโยบายที่ประชาชนมีความพึงพอใจมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 68.4 เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง
และเมื่อมาเป็นรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีสั่งทำทันที
ตั้งแต่สมัยที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
เป็นการต่อยอดจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่เคยประสบความสำเร็จสมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล
นายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 - 2548 มาถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
มารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขต่อยอดทันที
เป็นความภาคภูมิใจของรัฐบาลและคนในกระทรวงสาธารณสุขทุกคน
ทั้งนพ.โอภาส การย์วินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี
รองปลัดกระทรวงสธ.ผู้รับผิดชอบดูแลโครงการ ผู้บริหารถึงผู้ปฏิบัติ บุคลากรทุกภาคส่วนของกระทรวงสาธารณสุขทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
รวมทั้งภาคเอกชน รู้สึกยินดีและปลื้มใจมากที่นโยบายนี้ประสบความสำเร็จ
ความดีทั้งหลายอันนำมาซึ่งความพอใจของประชาชน และ
ประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ
รวมถึง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดส่งยาไปถึงบ้านผู้ป่วยที่อยู่ในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
ทำให้ประชาชนประทับใจ ชื่นชอบการให้บริการเพราะประหยัดเวลา สะดวก
น.ส.ตรีชฎา
กล่าวว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติ สังกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เป็นสถาบันที่รวบรวมข้อมูลทางสถิติได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยเก็บรวบรวมจากประชาชนที่มีอายุตั้งแต่
16 ปีขึ้นไป ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ตัวอย่างจากทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 6,970 ระหว่างวันที่
22 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2567 สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนได้รับประโชน์อย่างแท้จริง
นโยบายนี้เพิ่งเริ่มระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 7 มกราคม2567 นำร่อง 4 จังหวัด ได้แก่
แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรีและนราธิวาส ระยะที่ 2 เริ่มเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2567
นำร่อง 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู
นครราชสีมา อำนาจเจริญและพังงา และระยะที่ 3 ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มเป็น 6 เขตสุขภาพ
อีก 33 จังหวัดทั้งภาคเหนือตอนบนตอนล่างในเขตสุขภาพที่ 1,3,4
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเขตสุขภาพที่ 8,9 และภาคใต้ตอนล่างที่เขตสุขภาพที่ 12
จากนั้นระยะที่ 4 จะขยายครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2567 อย่างไรก็ตาม
แม้จะเป็นการเริ่มนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติเป็นระยะเพื่อนำร่อง ยังไม่ครบทั้ง 76
จังหวัด แต่ด้วยความทุ่มเท เอาจริงเอาจังของคนในกระทรวงสาธารณสุข
การสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างการรับรู้อย่างทั่วถึง
ขณะเดียวกันประชาชนที่ได้รับผลจากการปฏิบัติได้พูดต่อๆกัน
ทำให้ผลการสำรวจความคิดเห็นออกมาเช่นนี้
จึงเป็นกำลังใจให้นายสมศักดิ์และผู้เกี่ยวข้องจะพยายามปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชนให้ดียิ่ง
ๆ ขึ้น
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข
ฝ่ายการเมือง กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้ประชาชนมั่นใจในรัฐบาลที่นายเศรษฐา ทวีสิน
นายกรัฐมนตรี และกระทรวงสาธารณสุขยุคใหม่ภายใต้การนำของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่
การที่ประชาชนมีสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าอย่างเท่าเทียมกัน”