วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

“ศุภโชติ” หนุนมติ กพช.เปิดทางเอกชนซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรง แต่รัฐบาลต้องปรับแผนพลังงานชาติให้สอดคล้องด้วย หวั่นประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าเกิน สุดท้ายประชาชนรับกรรม ค่าไฟแพงขึ้นอีก

 


ศุภโชติ” หนุนมติ กพช.เปิดทางเอกชนซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรง แต่รัฐบาลต้องปรับแผนพลังงานชาติให้สอดคล้องด้วย หวั่นประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าเกิน สุดท้ายประชาชนรับกรรม ค่าไฟแพงขึ้นอีก

 

วันที่ 26 มิถุนายน 2567 ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวานนี้ ที่เห็นชอบกับแนวทางการดำเนินโครงการนำร่องซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA) ผ่านการขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (TPA) หรือกล่าวคือ การเปิดให้บริษัทเอกชนระดับโลกที่รัฐบาลเชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะบริษัทด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) สามารถเจรจาซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนต่างๆ ได้โดยตรง โดยไม่กระทบกับระบบไฟฟ้าภายในประเทศ

 

ศุภโชติกล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ กพช.เห็นชอบกับแนวทางดังกล่าว เพราะถือเป็นก้าวแรกของประเทศไทยที่จะนำไปสู่การเปิดเสรีทางพลังงานไฟฟ้าในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มตัวเลือกในการเข้าถึงพลังงานสะอาด ดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ประเทศ และเป็นดังที่ตนได้อภิปรายในสภาฯ มาโดยตลอดหลายครั้งถึงความสำคัญของการเปิด Direct PPA อย่างไรก็ตาม การเปิด Direct PPA ครั้งนี้กลับไม่สอดคล้องกับแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ฉบับใหม่ จนนำมาสู่ข้อกังวลว่ารัฐบาลกำลังละเลยปัญหาเดิมและสร้างปัญหาใหม่ต่อภาคพลังงานไทยใน 3 ประเด็นหลัก

 

ประเด็นแรก การเปิด Direct PPA หรือให้ผู้ซื้อกับผู้ขายไฟฟ้าสามารถเจรจากันได้โดยตรงนั้นเป็นการดึงอุปสงค์ (Demand) การใช้ไฟฟ้าออกจากระบบ ทำให้ความต้องการไฟฟ้าในระบบลดลง ขณะที่แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ปี 2567 ที่กำลังอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นนั้นไม่ได้วางแผนรองรับการเปิด Direct PPA ไว้ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลประกาศโครงการนำร่องดังกล่าวในภายหลัง ย่อมทำให้โรงไฟฟ้าที่จะต้องถูกสร้างขึ้นตามแผนเกินความจำเป็น เป็นการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าที่สูงเกินจริง จนกระทบต่อค่าไฟของประชาชนที่อาจสูงขึ้นไปอีก

 

ประเด็นที่สอง หากรัฐบาลได้รับฟังสิ่งที่ตนอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในสภาฯ เรื่อง “เปิดขบวนการอ้างพลังงานสะอาด ปล้นค่าไฟประชาชน” จะพบว่าประกาศของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เกี่ยวกับการรับซื้อพลังงานสะอาดรอบล่าสุดจำนวน 3,600 เมกะวัตต์นั้นมีปัญหาหลายด้าน เช่น การกีดกันไม่ให้คนที่กำลังฟ้องร้องภาครัฐเข้าร่วมประมูล หรือการไม่ให้มีการแข่งขันกันเรื่องราคา ดังนั้น หากโครงการนำร่อง Direct PPA มีการเปิดให้พลังงานสะอาดจากโครงการรับซื้อรอบล่าสุด 3,600 เมกะวัตต์เข้าร่วมได้ ก็ถือว่ารัฐบาลกำลังมองข้ามปัญหาและเร่งรัดตัดปัญหาให้พ้นตัว

 

ประเด็นสุดท้าย เนื่องจากการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายไฟฟ้านั้นจะต้องมีการจ่ายค่าเช่าสายส่งหรือ Wheeling Charge ให้กับเจ้าของโครงข่ายในประเทศ คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) แต่อัตราค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการเก็บเท่าใด หากเก็บน้อยไปเจ้าของระบบโครงข่ายก็เข้าเนื้อ หากเก็บมากไปก็ไม่มีใครใช้ ดังนั้น ตนจึงเสนอให้รัฐบาลจัดเก็บในอัตราที่เหมาะสม โดยชี้แจงต่อประชาชน นักลงทุน และเจ้าของโครงข่ายให้ชัดเจนถึงเหตุผลในการได้มาซึ่งอัตราดังกล่าว เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใส

 

ศุภโชติกล่าวทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ดี ตนมีความยินดีที่รัฐบาลจะสามารถเปิด Direct PPA ได้ภายในสิ้นปีนี้ตามมติ กพช. แต่เพื่อไม่ให้ประชาชนเป็นผู้แบกรับค่าไฟจากการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าที่สูงเกินไป ก็ขอเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงชี้แจงกระบวนการต่างๆ และคิดอัตราค่าธรรมเนียม Wheeling Charge ให้โปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล