“นันทนา” ยื่นหนังสือจี้ “ประธานรัฐสภา” ตั้งกรรมการตรวจสอบวุฒิสภา
หลังเสียงข้างมาก 130 เสียงลงมติฟันขาดจริยธรรมร้ายแรง
ชี้เป็นการ "อคติกลั่นแกล้ง" ใช้ดุลพินิจขาดความชอบธรรม
เชื่อปมออกมาเปิดโปง "ฮั้ว สว." พร้อมเปิดโปงซ้ำ “กก.จริยธรรม 15
คน” มีชื่ออยู่ในคดีฮั้ว ยันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างรุนแรง
วันที่
3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น.
ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ได้ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
ประธานรัฐสภา ผ่านนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาฯ
ขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา โดยน.ส.นันทนา กล่าวว่า
วันนี้ได้ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภาเรื่องการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา
ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ
โดยในหนังสือร้องเรียนระบุว่าสืบเนื่องจากมีผู้ร้องมายังคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาว่า
ตนทำผิดจริยธรรมด้วยการดูหมิ่นด้อยค่าคนขายหมู
จากนั้นคณะกรรมการจริยธรรมได้ดำเนินการสอบสวน และนำรายงานเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา
และได้รายงานผลการตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรมตามข้อบังคับ
ซึ่งคณะกรรมการจะทำพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
จึงให้ที่ประชุมลงมติว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเสียงข้างมาก 130 เสียง
เห็นว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และจะส่งเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
(ป.ป.ช.) ต่อไป
น.ส.นันทนา
กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวของวุฒิสภาถือเป็นการอคติกลั่นแกล้ง
เนื่องจากที่ผ่านมา ตนได้ออกมาเปิดโปงเรื่องฮั้ว สว. และเรียกร้องให้ สว.
ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
ซึ่งการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของตนเป็นไปยังเปิดเผยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
แต่อาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของ สว. เสียงข้างมาก เห็นได้จากการที่กลุ่ม สว.
เสียงข้างมากได้พยายามขัดขวางการอภิปรายในสภาของตนแทบทุกครั้ง
การที่วุฒิสภามีมติให้การวิพากษ์วิจารณ์การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นกรรมาธิการแบบผิดฝาผิดตัวเป็นความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง
สะท้อนถึงการใช้ดุลพินิจที่ขาดความชอบธรรมในการตัดสิน
“การพิจารณาโทษที่รุนแรงไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำ
ถือเป็นการทำลายล้างทางการเมือง สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ทำให้สว.ขาดอิสระในการแสดงความคิดเห็น
มากไปกว่านั้นคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาได้รับแจ้งข้อกล่าวหาคดีฮั้ว สว.
เป็นกรรมการอยู่ถึง 15 คน
ถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับผู้ถูกกล่าวหา
จึงไม่ควรมีสิทธิ์เป็นกรรมการจริยธรรมพิจารณาตัดสินกรณีนี้
เพราะถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างรุนแรง
การกระทำของคณะกรรมการจริยธรรมและที่ประชุมวุฒิสภาถือเป็นการทำลายนิติรัฐของวุฒิสภาลง”
น.ส.นันทนา กล่าว
น.ส.นันทนา
กล่าวอีกว่า การที่วุฒิสภาใช้เสียงข้างมากกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ถือเป็นอันตรายต่อระบบรัฐสภาประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม
ในฐานะที่ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติย่อมต้องพิทักษ์รักษาให้รัฐสภาแห่งนี้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างมีธรรมาภิบาลโปร่งใส
ซื่อสัตย์เป็นกลาง
จึงขอให้ประธานรัฐสภาตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภาอย่างเร่งด่วน
เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของวุฒิสภาถดถอย กลายเป็นสภาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ที่ใช้อำนาจล้นเกินทำลายผู้เห็นต่างอย่างชอบธรรมที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ
ด้านนพ.เปรมศักดิ์
เพียยุระ สว. กล่าวว่า
ในช่วงปิดสมัยประชุมตนได้ลงพื้นที่เพื่อไปสอบถามความคิดเห็นของประชาชนซึ่งระบุได้เลยว่า
99.99 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว ตนจึงขอถามไปยังผู้ที่ลงมติทั้ง 130
ท่าน ท่านยังคงสบายใจได้อยู่อีกหรือ ที่ประชาชนไม่เห็นด้วย
ซึ่งหากองค์กรใดมีท่าทีหรือมติที่สวนทางกับประชาชน
องค์กรนั้นจะอยู่อย่างสง่างามได้อย่างไร ฉะนั้น
วันนี้เมื่อไม่มีที่พึ่งน.ส.นันทนาจึงหวังพึ่งประธานรัฐสภา
ตนมองว่าประธานรัฐสภาในเวลานี้จะเป็นผู้ที่สามารถให้หลักการและเป็นที่พึ่ง
และการตรวจสอบที่โปร่งใสได้
จะเห็นได้ว่าขนาดสส.แม้มีเพียงเสียงเดียวก็ยังมีที่ยืนในกรรมาธิการ
ยังสามารถทำงานได้ แต่สว.เสียงข้างน้อยไม่อาจจะสะท้อนใดๆ เลย ถูกปิดปากเช่นนี้
สิ่งที่อยู่ภายใต้คำว่าสภาสูงนั้น สูงจริงหรือไม่ และตามหลักที่ท่านเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ
ขอให้ท่านกลับมาปัดกวาดบ้านหลังนี้ รวมถึงให้ความเป็นธรรมด้วย
“ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นตราบาปของรัฐสภา หากประธานรัฐสภาไม่ปัดกวาด
ตราบาปแบบนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป และขอฝากถึงประธานวุฒิสภา
อย่าฟังแต่เสียงคนนั้นคนนี้ ขอให้ฟังด้วยความเป็นธรรม
รวมถึงฟังเสียงสมาชิกวุฒิสภาข้างน้อยด้วย
ที่อาจจะมีมุมมองไม่เหมือนสมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างมาก
แต่ก็ทำโดยความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน วันนี้ยิ่งมีข่าวว่า 17
สว. ถูกขึ้นบัญชีดำ และจะถูกเช็คบิลเป็นราย ๆ ไป
อยากให้สังคมและประชาชนช่วยปกป้องเสียงข้างน้อยในสภาด้วย
ให้มีที่ยืนเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ให้ประชาชน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
นพ.เปรมศักดิ์
กล่าวต่อว่า ฉะนั้น
หากประธานรัฐสภาปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวุฒิสภาเป็นแบบนี้ไม่มีผู้ใหญ่ลงมาซักถาม
องค์กรนี้ก็จะเป็นสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน เมื่อวันหนึ่งสนิมกัดกินเหล็ก
เหล็กก็อยู่ไม่ได้ นั่นก็คือรัฐสภาไม่สามารถเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้อีกต่อไป
เมื่อถามว่า
มีคนออกมาเรียกร้องให้น.ส.นันทนาออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ดูหมิ่นว่าสว.อาชีพขายหมู
น.ส.นันทนา กล่าวว่า ตนยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้เป็นการดูหมิ่นหรือด้อยค่า
แต่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบในการคัดเลือก สว. ที่เข้าสู่กรรมาธิการให้ถูกฝาถูกตัว
ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้กรรมาธิการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้ความรู้ความสามารถให้ตรง เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นว่า
ถ้าคนที่มีความรู้ด้านหนึ่งแล้วไปเข้ากรรมาธิการที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถประชาชนเสียประโยชน์แน่นอนจึงได้ยกตัวอย่างเรื่องคนขายหมูขึ้นมาหากไปอยู่กรรมาธิการพาณิชย์หรือการเกษตรจะตรงกับความรู้ความสามารถและผลักดัน
ปัญหาของประชาชนได้มากกว่านี้หรือไม่ ตนจึงประท้วงระบบ
และเป็นการเรียกตามกลุ่มอาชีพไม่ได้มีเจตนาด้อยค่า
