วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“ทนายแจม” ออกจม.เปิดผนึก ถึง รมว.ยุติธรรม ขอให้นำ เอกชัย หงส์กังวาน เข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน - “ลูกเกด ชลธิชา” เรียกร้อง กรมราชทัณฑ์-ศาล ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และได้รับสิทธิในการประกันตัว ตามหลักการในรัฐธรรมนูญ

 


“ทนายแจม” ออกจม.เปิดผนึก ถึง รมว.ยุติธรรม ขอให้นำ เอกชัย หงส์กังวาน เข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน - “ลูกเกด ชลธิชา” เรียกร้อง กรมราชทัณฑ์-ศาล ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และได้รับสิทธิในการประกันตัว ตามหลักการในรัฐธรรมนูญ


วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม. พรรคประชาชน โพสข้อความระบุว่า


จดหมายเปิดผนึก ถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 


เรื่อง ขอให้นำ นายเอกชัย หงส์กังวาน ผู้ต้องขังคดีทางการเมือง เข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน


ดิฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความเจ็บป่วยของ นายเอกชัย หงส์กังวาน ผู้ต้องขังทางการเมือง ซึ่งถูกคุมขังมาแล้ว กว่า 60 วัน และกำลังเผชิญกับโรค “ฝีในตับ” ในภาวะที่น่าเป็นห่วงและต้องได้รับการรักษาโดยทันทีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


แต่จนถึงขณะนี้ เอกชัยยังไม่ได้ถูกส่งเข้ารับการรักษาที่จำเป็นเพื่อรักษาชีวิต การปล่อยให้ผู้ต้องขังที่ป่วยอยู่ในสภาพเสี่ยงเช่นนี้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง


สิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ไม่ใช่ “ความเมตตา” ของรัฐ แต่เป็น สิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่ต้องจัดให้ ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งระบุชัดเจนว่า ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับมาตรฐานการรักษาที่เท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป โดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือประการใด


การเพิกเฉยต่อภาวะเจ็บป่วยที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ ดิฉันจึงมีข้อเรียกร้อง 3 ประการให้กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ดำเนินการโดยทันที 


1. นำตัวนายเอกชัย หงส์กังวานเข้ารับการตรวจวินิจฉัย และรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที 


2. รับประกันสิทธิในการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังทุกคน ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้เกิดกรณีลักษณะนี้อีก


3. รายงานความคืบหน้าและขั้นตอนการดูแลอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐไม่ได้ทอดทิ้งผู้ต้องขัง


ชีวิตของคนหนึ่งคนไม่ควรถูกเพิกเฉย ทิ้งให้เจ็บป่วยอยู่ในความเงียบภายในกำแพงเรือนจำและรัฐควรปล่อยให้ผู้ต้องขังป่วยหนักโดยไร้การรักษาอย่างทันท่วงที


ทุกชีวิตหลังกำแพงเรือนจำมีคุณค่า และสมควรได้รับการดูแลรักษาโดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องไม่ถูกปิดกั้นด้วยประตูเรือนจำ


ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์

ผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต11 พรรคประชาชน



เช่นเดียวกัน น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี พรรคประชาชน โพสข้อความถึง


ข้อเรียกร้องต่อ กรมราชทัณฑ์ และ ศาล ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และได้รับสิทธิในการประกันตัว ตามหลักการในรัฐธรรมนูญ


จากกรณีของคุณเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำกลางคลองเปรม มานานกว่า 2 เดือนแต่กลับไม่ได้รับความคืบหน้าในการส่งตัวไปรับการรักษาโรคฝีในตับอย่างต่อเนื่อง แม้มีการทำหนังสือขอส่งตัวเข้ารับการรักษามานานกว่า 2 เดือน สะท้อนความล้มเหลวของกรมราชทัณฑ์ในการดูแลและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังอย่างชัดเจน


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากกรณีของคุณเอกชัยแล้ว ดิฉันได้รับทราบข้อมูลและข้อร้องเรียนจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า เรือนจำไทยประสบปัญหาด้านมาตรฐานในการควบคุมดูแลผู้ต้องขังมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังในเรือนจำมีหลายประการ ทั้งปัญหาการต้องรอพบแพทย์นานหลายสัปดาห์ เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ต้องขัง การไม่ได้รับยารักษาโรคที่เหมาะสมและมีคุณภาพ รวมถึงปัญหาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่เพียงพอในการควบคุมผู้ต้องขังไปรักษาพยาบาลนอกเรือนจำ และจากกรณีของคุณเอกชัย ยังได้สะท้อนให้เห็นปัญหาระบบคำร้องของเรือนจำ ที่ยังต้องใช้การเขียน ส่งผลให้เอกสารคำร้องต่าง ๆ ของผู้ต้องขังและทนายความเกิดการสูญหายได้อย่างง่ายดาย


ดิฉันขอยืนยันว่า สิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาล คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับสิทธินี้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันโดยไม่ล่าช้า ดิฉันจึงขอเรียกร้องไปยังกรมราชทัณฑ์ ให้พัฒนาระบบบริการทางการแพทย์ของเรือนจำทุกแห่งให้ได้มาตรฐาน ให้สามารถดูแลสุขภาพผู้ต้องขังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกรมราชทัณฑ์ ต้องรับผิดชอบต่อการทำเอกสารคำร้องขอรับการรักษาพยาบาลของคุณเอกชัยและทนายความสูญหาย โดยการพิจารณาคำร้องของคุณเอกชัยและทนายความอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคเลวร้ายขึ้นจากการไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และกรมราชทัณฑ์ควรต้องพิจารณาจัดทำระบบการยื่นคำร้องที่จะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้อีก


และดิฉันขอเรียกร้องไปยังศาล ให้พิจารณาการให้ประกันตัวคุณเอกชัย เนื่องจากคดีความของคุณเอกชัยยังไม่เป็นที่สิ้นสุด จึงยังคงสถานะเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญไทย และหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ให้คุณเอกชัยได้ออกมาต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม ไม่ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้กระทำผิด และได้รับการรักษาโรคฝีในตับอย่างเหมาะสมในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องโดยเร็ว



สำหรับคดีที่ทำให้เอกชัยถูกคุมขังในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ในคดีที่เขาและผู้ร่วมคดีอีก 4 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาหลักคือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามมาตรา 110 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ที่ถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี โดยศาลลงโทษจำคุกเอกชัยถึง 21 ปี 4 เดือน


การถูกคุมขังในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 ในชีวิตของเอกชัยแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกจำคุกในคดีมาตรา 112 จากการขายซีดีสารคดีของสำนักข่าว ABC และคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีโพสต์เรื่องเพศสัมพันธ์ในเรือนจำ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาถูกส่งตัวมาคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังจากไม่ได้รับการประกันตัว โดยเขาและผู้ร่วมคดีทั้ง 5 คน ถูกย้ายมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2568


สำหรับปัญหาสุขภาพของเอกชัย ระหว่างที่เขาถูกคุมขังในปี 2566 เขาได้เกิดอาการฝีในตับ และถูกส่งตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งแพทย์ตรวจพบก้อนที่ตับขนาด 11×8 เซนติเมตร จากนั้นจึงได้รับการส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลราชวิถี โดยแพทย์เฉพาะทางได้ทำการเจาะระบายหนองออกจากฝีในตับ และมีการนัดหมายให้กลับมาติดตามอาการในภายหลัง


จนถึงปัจจุบัน (14 พ.ย. 2568) เอกชัยถูกคุมขังระหว่างต่อสู้ชั้นฎีกาในครั้งนี้เป็นเวลา 71 วันแล้ว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เอกชัยหงส์กังวาน #มาตรา110 #คืนสิทธิประกันตัวประชาชน