“พรรคประชาชน” กระทุ้งรัฐบาล 5 ข้อทบทวนแนวทางบริหารจัดการน้ำท่วม
เรียกร้องชี้แจงการตัดสินใจแผนระบายน้ำ-เยียวยาประชาชนอย่างเป็นธรรม เร่งทบทวนแผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาวก่อนกู้เงินมาลงทุนเพิ่ม
หลังผ่านไปสิบปีโครงการยังไม่คืบ
วันที่
13 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคประชาชนนำโดย
เดชรัต สุขกำเนิด
ที่ปรึกษาผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต,
ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา เขต 1 พรรคประชาชน
และ สุรพันธ์ ไวยากรณ์ สส.นนทบุรี เขต 1 พรรคประชาชน
ร่วมแถลงข้อเสนอถึงรัฐบาลเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางขณะนี้
โดยกล่าวว่า
พรรคประชาชนตระหนักในความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนจากปัญหาอุทกภัยและได้พยายามอย่างต่อเนื่องในการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว
โดยเมื่อวันที่ 17
ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาชนได้หารือกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(สทนช.) จากนั้นวันที่ 21 กันยายน 2568 ยังได้นำเสนอข้อคิดเห็นต่อ สทนช. กรมชลประทาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท
สำหรับสถานการณ์น้ำในปีนี้
พรรคประชาชนทราบดีว่าปริมาณน้ำฝนในปี 2568 ในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของภาคกลาง
มีมากกว่าปีปกติประมาณ 15% และมีฝนตกหนักมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน
หน่วยงานที่รับผิดชอบได้พยายามบริหารจัดการเพื่อผ่อนหนักเป็นเบา
และพยายามแจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบเป็นระยะตลอดมา รวมถึงการแจ้งเตือนผ่านระบบ cell
broadcast
อย่างไรก็ดี
ประสบการณ์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากสถานการณ์น้ำท่วมที่ต่อเนื่องยาวนานนับเป็นเวลาเกือบ
4 เดือน
ได้สะท้อนจุดที่พรรคประชาชนเห็นว่ารัฐบาลควรต้องทบทวนอย่างจริงจังและแก้ไขอย่างเร่งด่วนใน
5 ประเด็นด้วยกัน
ข้อเสนอที่หนึ่ง
ทบทวนแนวคิด “ท่วมในทางก่อนท่วมในทุ่ง”
จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พรรคประชาชนได้รับแจ้งว่ารัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการระบายน้ำในช่วงน้ำหลาก
จากเดิมจะมีการนำน้ำเข้าทุ่งเจ้าพระยาตอนล่างทั้ง 10 ทุ่ง ตั้งแต่วันที่ 15
กันยายนของแต่ละปี (หลังการเก็บเกี่ยวข้าว)
มาเป็นการให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งและท่วมในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ
(แนวคันกันน้ำคือถนนที่คู่ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่ง) แทน
ส่วนการให้น้ำเข้าทุ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย
เหตุผลสำคัญที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการน้ำ
เพราะเห็นว่าการระบายน้ำออกจากทุ่งรับน้ำในช่วงน้ำลด
ทำได้ช้ากว่าการระบายน้ำในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำ
จึงจะใช้การระบายน้ำเข้าทุ่งเมื่อจำเป็นเท่านั้น
แต่การดำเนินการเช่นนั้น
ทำให้น้ำที่เอ่อล้นตลิ่งไม่สามารถแผ่ไปสู่ทุ่งต่างๆ ได้ตามธรรมชาติ
แต่ค้างอยู่ในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำ และเมื่อมีการเพิ่มการระบายน้ำ
ก็ยิ่งยกระดับน้ำที่ท่วมในพื้นที่นอกแนวคั้นกันน้ำ
ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนริมน้ำดั้งเดิม ทั้งในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและท่าจีนให้สูงขึ้น
จนกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมสูงขึ้นและนานขึ้น
บางพื้นที่เผชิญกับน้ำท่วมสูงมาเป็นเวลากว่า 4 เดือน
และกลายเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลเปิดประตูระบายน้ำเพื่อนำน้ำเข้าทุ่ง
โดยหวังว่าจะลดระดับน้ำที่ท่วมในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำลงมาบ้าง
จึงเห็นได้ว่า
แนวทางการจัดการน้ำของรัฐบาลได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชุมชนที่อยู่ริมน้ำและอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ
จนประชาชนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
พรรคประชาชนเสนอให้รัฐบาลทบทวนแนวคิดดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
ในระยะสั้น 3
ข้อ
(1)
ควรพิจารณาลดปริมาณน้ำสูงสุด (Peak Flow) ที่ระบายลงสู่พื้นที่เสี่ยง
โดยตัดยอดน้ำลงสู่พื้นที่ทุ่งรับน้ำที่ยังมีศักยภาพในการรับน้ำได้อีกประมาณร้อยละ 10
ของความสามารถในการรองรับน้ำของพื้นที่ดังกล่าว
(2)
ควรยกระดับการแจ้งเตือนการระบายน้ำล่วงหน้า จากเดิมล่วงหน้า 6
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เปลี่ยนเป็นล่วงหน้า 24 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
และไม่ใช่เฉพาะการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเท่านั้น
แต่รวมถึงการระบายในคลองและในทุ่งในแต่ละจุดด้วย
เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่รับน้ำมีเวลาเพียงพอในการเตรียมการรับมือและขนย้ายสิ่งของ
(3)
รัฐบาลต้องเพิ่มความเข้มข้นในการสื่อสารเชิงรุก
อธิบายแนวทางและเหตุผลในการจัดการระบายน้ำหลากในแต่ละช่วงเวลา
ให้ประชาชนมีความเข้าใจว่ารัฐบาลตัดสินใจบนเหตุผลหลักการใด
การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใดบ้าง
โดยต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้สะท้อนความเดือดร้อนและเสนอความเห็นในการบริหารจัดการน้ำด้วย
หากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ส่วนนี้
อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ประชาชนแต่ละพื้นที่ต้องมาขัดแย้งกันเอง
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกปี
นอกจากนี้
รัฐบาลควรตอบคำถามต่อข้อสังเกตของประชาชนเกี่ยวกับการไม่ระบายน้ำไปยังบางจุด
บางเส้นทาง หรือบางช่วงเวลา โดยไม่มีการแจ้งเหตุผล
ซึ่งอาจทำให้ประชาชนรู้สึกคลางแคลงใจและนำไปสู่การตั้งคำถามต่อความเป็นธรรมในการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาลเอง
ส่วนในระยะยาว
ในสถานการณ์ที่น้ำท่วมสูง
รัฐบาลควรระบายน้ำเข้าทุ่งตามกรอบเวลาและตามเกณฑ์การระบายน้ำที่กำหนด
โดยจ่ายค่าชดเชยการเสียโอกาสให้แก่เจ้าของพื้นที่ในทุ่งรับน้ำตามสมควร
ข้อเสนอที่สอง
ทบทวนแนวทางการเยียวยาประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมยาวนาน
แม้ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169.986 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 โดยมีอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นรูปแบบเหมาจ่ายอัตราเดียวครัวเรือนละ 9,000
บาท สำหรับที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน (หรือไม่เกิน 7 วันแต่บ้านเรือนเสียหาย)
แต่การกำหนดเกณฑ์การเยียวยาที่เป็นอัตราเดียว
โดยมิได้คำนึงถึงระยะเวลาความเสียหายที่แตกต่างกัน ระหว่างน้ำท่วม 7-8 วัน
กับ 3-4 เดือน
ทำให้พี่น้องประชาชนที่ถูกน้ำท่วมในระดับที่สูงขึ้นและยาวนานขึ้น
ตามแนวทางการจัดการน้ำดังที่ได้กล่าวไป รู้สึกไม่พอใจและไม่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น
รัฐบาลควรปรับแก้
ด้วยการกำหนดเกณฑ์การชดเชยเยียวยาสำหรับพื้นที่ที่น้ำท่วมเป็นเวลานาน เช่น 9,000
บาท/เดือน แทนการจ่ายอัตราเดียว 9,000 บาท
ไม่ว่าจะท่วมนานแค่ไหนก็ตาม
ในระยะยาว
รัฐบาลควรปรับปรุงเกณฑ์การจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำท่วม
รูปแบบต่างๆ ที่ประเทศไทยประสบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นโคลนถล่มเมื่อปี 2567 หรือน้ำท่วมยาวนานในปี 2568
ข้อเสนอที่สาม
ทบทวนการดูแลความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย
สถานการณ์หนึ่งที่เห็นได้ชัดจากภาวะน้ำท่วมปี
2568 คือแม้ว่าในแง่ของการเตือนภัย รัฐบาลพยายามพัฒนาระบบเตือนภัยได้ดีขึ้น
แต่การเผชิญเหตุสำหรับผู้ที่ต้องประสบภัย กลับแทบไม่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเลย
ภาพของประชาชนที่ต้องมาตั้งเต็นท์ตั้งบ้านเรือนกันริมถนนยังเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไป
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง ตั้งแต่ชัยนาทถึงอยุธยา
และทั้งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีน
สิ่งที่รัฐบาลควรปรับปรุง
คือการกำหนดมาตรฐานการดูแลผู้ประสบภัยที่เพียงพอ เช่น การจัดศูนย์พักพิงที่เหมาะสม
การจัดเตรียมห้องน้ำ/สุขา การจัดเตรียมอุปกรณ์จำเป็น เช่น เรือและชูชีพ
และการมีหน่วยงานเข้ามาช่วยดูแลความปลอดภัยทั้งของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
โดยสนับสนุนงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการในแต่ละพื้นที่
ข้อเสนอที่สี่
การฟื้นฟูชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำในระยะยาว
แม้ว่าในข้อเสนอที่หนึ่ง
พรรคประชาชนจะเสนอให้รัฐบาลทบทวนแนวทางการระบายน้ำแบบท่วมในทางก่อนท่วมในทุ่ง
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
และชุมชนเหล่านี้ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนอีกในอนาคต
พรรคประชาชนจึงเสนอให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูและวางแผนรับมือสำหรับชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ
ทั้งในระยะสั้น เช่น
การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่เสียหายโดยเร่งด่วน
การจัดเตรียมศูนย์พักพิงสำหรับผู้อพยพ และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเผชิญเหตุ
ส่วนในระยะยาว
รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณสำหรับการยกระดับบ้าน (หรือดีดบ้าน)
ให้พ้นจากระดับน้ำท่วมสูงสุด
การจัดระบบสาธารณูปโภคใหม่ให้รองรับภาวะน้ำท่วมสูงและยาวนาน
หรือในบางพื้นที่ต้องการเสริมแนวคันกั้นน้ำริมตลิ่งริมน้ำให้สูงขึ้น
เพราะฉะนั้น
รัฐบาลจะต้องหารือและวางแผนร่วมกับประชาชนในพื้นที่ชุมชนเหล่านั้นว่าจะฟื้นฟูชุมชนในทิศทางใด
โดยรัฐบาลต้องจัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอและต่อเนื่องจนกว่าจะดำเนินการฟื้นฟูชุมชนในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำได้สำเร็จเสร็จสิ้น
ข้อเสนอที่ห้า
ทบทวนความเป็นไปได้ในการทำโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ หลังส่อไม่เสร็จตามแผน
ทุกครั้งที่พรรคประชาชนและคณะกรรมาธิการหรืออนุกรรมาธิการสอบถามถึงแนวทางป้องกันน้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน
หน่วยงานของรัฐจะหยิบยกเอาแผนป้องกันน้ำท่วมเจ้าพระยา-ท่าจีนที่องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น
(JICA) ช่วยจัดทำไว้ตั้งแต่ปี 2557 มาอธิบาย
โดยแผนดังกล่าวมีโครงการสำคัญ 9 โครงการ
ที่จะช่วยให้ลุ่มน้ำเจ้าพระยาสามารถรองรับน้ำได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกกว่า 900
ลูกบาศก์เมตร/วินาที (จากความสามารถในการรับน้ำของลุ่มเจ้าพระยาที่ 3,400
ลูกบาศก์เมตร/วินาที ขยายเป็น 4,300 ลูกบาศก์เมตร/วินาที)
และสามารถลดพื้นที่น้ำท่วมได้ 2.4 ล้านไร่
โดยคาดหมายให้แล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งคือปีนี้
แต่เมื่อสอบถามรายละเอียด
พบว่า 9 โครงการดังกล่าว ยกเว้นโครงการคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร
ที่ใกล้เปิดดำเนินการ โครงการที่เหลือแทบไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง
ไม่สามารถระบุได้เลยว่าโครงการเหล่านี้จะแล้วเสร็จและใช้ป้องกันน้ำท่วมได้เมื่อไรกันแน่
ไม่ว่าจะเป็น
-
โครงการคลองชัยนาท-ป่าสัก เพิ่งเริ่มดำเนินการ และป่าสัก-อ่าวไทย
ยังไม่ได้ดำเนินการ
-
โครงการคลองระบายน้ำตามแนวถนนวงแหวน รอบที่ 3 ยังไม่ได้ดำเนินการ
-
โครงการคลองระบายน้ำแนวเหนือ-ใต้
จากทุ่งรับน้ำระหว่างเจ้าพระยาและท่าจีน เพื่อลงสู่อ่าวไทยโดยตรง
ยังดำเนินการไม่ได้ เพราะติดขัดทางเทคนิคในช่วงที่ผ่านกรุงเทพมหานคร
ที่อาจจะต้องทำอุโมงค์ขนาดใหญ่เพื่อรับน้ำ
-
การปรับปรุงศักยภาพการระบายน้ำของแม่น้ำท่าจีน
ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบและจริงจัง
เพราะฉะนั้น
ก่อนที่รัฐบาลจะเดินหน้าไปกู้เงินจากภายนอกตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังได้ให้ความเห็นไว้
พรรคประชาชนเสนอให้รัฐบาลทบทวนว่า โครงการทั้งหมด
(ยกเว้นคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร) ยังมีความเป็นไปได้ในการดำเนินการหรือไม่
ถ้ายังมีความเป็นไปได้ แผนการลงทุนในโครงการดังกล่าวจะดำเนินการตั้งแต่ปีใด
และแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด และหากโครงการใด ที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด รัฐบาลจะมีแนวทางหรือโครงการใดทดแทน
และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการ
สรุป
พรรคประชาชนเชื่อว่า
หากรัฐบาลนำประเด็นทั้งประเด็นที่พรรคประชาชนนำเสนอไปทบทวนอย่างจริงจัง
จะทำให้การป้องกันน้ำท่วมที่หนักและยาวนาน และการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัย
ทำได้ดีขึ้น ทั้งในระยะสั้น (คือเดี๋ยวนี้) ระยะถัดไป (คือปีหน้า) และในระยะยาว
หรือการลดความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมหนักและยาวนานเช่นนี้อีก
สุดท้าย
พรรคประชาชนขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย
เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
และช่วยบริหารจัดการน้ำอยู่ในขณะนี้
ขอให้ทุกคนปลอดภัยและพ้นจากอุทกภัยครั้งนี้โดยเร็ว
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วม











