วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

‘เศรษฐา’ ประกาศก้องกลางกรุงเทพฯ ‘พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30’ พร้อมเป็นผู้นำแห่งความเปลี่ยนแปลง เตือนต้องอย่าให้ซ้ำรอยปี 2562 พลาดไป 17 ที่นั่งจนประเทศตกสู่หลุมดำ ต้องชวนกา ‘เพื่อไทย’ ให้แลนด์สไดล์ไปด้วยกัน

 


เศรษฐา’ ประกาศก้องกลางกรุงเทพฯ ‘พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30’ พร้อมเป็นผู้นำแห่งความเปลี่ยนแปลง เตือนต้องอย่าให้ซ้ำรอยปี 2562 พลาดไป 17 ที่นั่งจนประเทศตกสู่หลุมดำ ต้องชวนกา ‘เพื่อไทย’ ให้แลนด์สไดล์ไปด้วยกัน


วันที่ 5 พฤษภาคม 2566 เวลา 19.00 น. พรรคเพื่อไทย เปิดแคมเปญใหญ่สู้ศึกเลือกตั้ง 2566 ‘เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ประเทศเปลี่ยนทันที’ โดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวแสดงความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่ 30 พร้อมพาประเทศไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิทธิเสรีภาพ และพาไทยกลับไปยืนบนเวทีโลกอย่างสง่างาม เพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานในวันข้างหน้า


นายเศรษฐา ทวีสิน เริ่มต้นกล่าวว่าในวันนี้ ตนเองรู้สึกเห็นใจคนรุ่นใหม่ และคนกรุงเทพที่ต้องต่อสู้อย่างปากกัดตีนถีบ เติบโตมาโดยที่ไม่มีโอกาสได้ทำตามความฝัน เพราะมีปัญหารอบตัวเต็มไปหมดทั้งค่าครองชีพที่สูงสวนทางรายได้ที่ลดลง สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ตลอดจนกฎระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ขัดขวางความฝันของคนรุ่นใหม่คนกรุงเทพที่อยากจะเป็น


นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ สิ่งที่ต้องทำจะต้องทำหลายอย่างเริ่มต้นไปในเวลาเดียวกันเพราะปัญหาวันนี้รุมเร้าเข้ามาทุกด้าน เริ่มต้นจากเรื่องปากท้อง ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจว่า ค่าไฟแพงขึ้นทุกวันทำไมเขาไม่แก้ แต่พอจะเลือกตั้งค่อยคิดจะมาแก้ ยังไม่นับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของคนแรงงานที่อยู่กับที่แทบไม่ได้ขยับขึ้น ทั้งที่รายจ่ายและค่าครองชีพ เรื่องน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งเราจะผลักดันเรื่อง พ.ร.บ.อากาศสะอาดให้ทุกคนได้สิทธิพื้นฐานด้านการหายใจ


นอกจากนี้ เรื่องสิทธิเสรีภาพ ตนน้อยใจเมื่อได้ยินนักการเมืองผู้ใหญ่ไล่คนออกนอกประเทศที่เขาอยากมีส่วนร่วม ถ้าเขาไปได้หมายความว่าเขาเป็นคนมีศักยภาพ และประเทศเรากำลังสูญเสียทรัพยากรสำคัญไป ดังนั้น เราควรให้เสรีภาพ ให้พื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยแสดงความเห็นในกรอบของกฎหมาย และถ้ารัฐบาลไหนบอกว่าลูกหลานชังชาติ รัฐบาลนั้นต่างหากควรออกไป และเรื่องนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับการเกณฑ์ทหาร เพราะการเกณฑ์ทหารคือการลิดรอนสิทธิของพี่น้องที่เขาควรได้ไปเป็นครู วิศวกร แพทย์ หรือชาวสวนชาวไร่ ไม่ใช่ต้องมาถูกบังคับ ดังนั้น ควรยกเลิกเกณฑ์หาร เปลี่ยนเป็นสมัครใจเพื่อสร้างทหารมืออาชีพที่มีเกียรติ


ในส่วนของนโยบายการพัฒนา กรุงเทพมหานคร นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางความเจริญ เศรษฐกิจ ความหลายหลายทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ รวมถึงเรื่องเสรีภาพและความเท่าเทียม ผู้นำประเทศที่ผ่านมาไม่เคยสนใจไปพูดคุยเจรจาการค้าการลงทุนกับผู้นำหรือนักลงทุนต่างประเทศเพื่อเปิดตลาดหารายได้ใหม่ให้ประเทศเลย ยกตัวอย่างไนจีเรีย ที่เขากำลังจะเป็นประเทศมหาอำนาจเพราะมีประชากรมากถึง 300 ล้านคนในอีก 10 ปีข้างหน้าเราต้องคิดว่าเราจะค้าขายอะไรกับเขา ไม่ใช่มีหน้าที่แค่ไปเชิญมาประชุมกินผัดไทถ่ายภาพแล้วก็กลับ


ประเด็นเรื่องกฎหมาย ที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน ก็เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องแก้ที่ระบบราชการ เราจะทำราชการให้เป็นรัฐบาลและราชการดิจิทัล มีจุดบริการประชาชน One stop service ยกตัวอย่าง ทูตอิสราเอลท่านเล่าว่า มีนักลงทุนสนใจมาสร้างโรงงานด้าน Food tech ธุรกิจเนื้อที่สะกิดจากวัวและมาเจริญเติบโตในแลป ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ตลาดโลกต้องการ เขายื่นเรื่องขออนุญาต อย.จนเขารอไม่ได้ต้องย้ายฐานไปตั้งโรงงานที่สิงคโปร์ นี่คือปัญหาพื้น ๆ ที่เจอ ที่เราต้องแก้


นอกจากนี้ ในด้านต่างประเทศ ได้พบทูตมากกว่า 23 ประเทศ เขาต่างบอกว่าอยากมาลงทุนในประเทศไทย แต่เขาคอยดูก่อนว่า ใครจะเป็นรัฐบาล เตรียมจะทำจดหมายเชิญไปเยือนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนด้านการค้า ซึ่งคณะพรรคเพื่อไทยหลายท่านก็ได้พูดคุยหารือกันหลายเรื่องรวมถึงเรื่องประมง ICC ซึ่งเราก็จะเจรจาแก้ไขปัญหาเมื่อเป็นรัฐบาล


ในเรื่องการกระจุกตัวของชุมชนเมือง นายเศรษฐา ให้ความเห็นว่า ความเจริญต้องไม่กระจุกอยู่แต่ต้องกระจายออกไป เริ่มต้นที่นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่จะเริ่มต้นกระจายเม็ดเงินสร้างความเจริญให้ท้องถิ่น ไม่ใช่แค่จังหวัดใหญ่ แต่รวมถึงจังหวัดรองทั้งด้านเศรษฐกิจและท่องเที่ยว และเมืองควรมีระบบขนส่งสาธารณะในราคาที่เหมาะสม คือนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เพราะทุกวันนี้ราคาสูงคนชั้นกลางพอจ่ายแต่คนชั้นล่างไม่มีโอกาสได้เข้าถึงทั้งที่ขนส่งสาธารณะ ควรเป็นสาธารณะให้ทุกคนได้จริง


ท้ายสุด คือเรื่องจุดยืนของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก มีเอกราช แต่เราต้องมีผู้นำมีความสามารถออกไปเจรจาไม่ใช่แค่การค้า แต่ไปแสดงจุดยืนบนเวทีโลกได้ทั้งในเรื่องแนวทางสันติภาพ การไม่รุกรานประเทศอื่นรวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย


เราไม่มีเวลาให้ใครก็ตามเข้ามาลองของ ต้องเป็นผู้นำตัวจริงเท่านั้น ถึงเวลาที่เราต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ พรรคที่มีนโยบายเข้าใจปัญหาประชาชน วันนี้ผมมีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย แต่ผมไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ผมมายืนตรงนี้ มาที่นี้ ผมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำซึ่งความเปลี่ยนแปลง ถ้าผมไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ผมไม่เป็นดีกว่า ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะนำมาซึ่งอนาคตที่ดีกว่าของลูกหลานทุกคน ประสบการณ์ 30 ปีในวงการธุรกิจสร้างบริษัทจนเป็นแนวหน้าของประเทศ ผมมีความพร้อม ผมมาอยู่พรรคเพื่อไทยที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน วันนี้พรรคเพื่อไทยมีทั้งคนที่มีประสบการณ์ มีคนรุ่นใหม่ที่เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง 4 ปีที่แล้วเราพลาดไป 17 ที่นั่ง เป็นจุดเปลี่ยนประเทศที่ทำให้ประเทศตกสู่หลุมดำ จนทำให้ “จนแล้ว จนอยู่ จนอีก” วันที่ 14 พฤษภาคม พรรคเพื่อไทย พร้อมทุกมิติ เป็นวันคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนคนไทยทุกคน นโบายดีดีที่พูดไปจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์” นายเศรษฐา กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #เลือกตั้ง66