ม็อบ
#ส้นสูงส่งเสียง บุกทำเนียบ ชี้! งานบริการก็คืองาน เรียกร้องรัฐเยียวยาผลกระทบโควิด นำพัสดุบรรจุส้นสูงที่ถูกรัฐบาลตีกลับมาเปิดอ่าน
วันนี้ (22/12/64 ) เวลา 10.00 น. ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์
และตัวแทนผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนพนักงานบริการจากหลากหลายจังหวัดอาทิ
เชียงใหม่,
เชียงราย, ลำปาง, กรุงเทพฯ,
สมุทรสาคร, อุดรธานี, มุกดาหาร,
ขลบุรี, ภูเก็ต, กระบี่,
ประจวบคีรีขันธ์ เดินทางนำกล่องพัสดุที่บรรจุส้นสูงของตัวแทนพนักงานบริการหลากหลายจังหวัดที่ได้จัดส่งไปให้รัฐบาลพร้อมข้อความเรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาพนักงานบริการ
เนื่องจากคำสั่งปิดสถานบริการในสถานการณ์โควิด แต่กลับถูกรัฐบาลตีกลับทุกคู่
มาเปิดอ่านที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
ทันตา
เลาวิลาวัณยกุล มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์
และผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในฐานะตัวแทนพนักงานบริการอาบอบนวด
กล่าวถึงที่มาที่ไปในในการจัดงานครั้งนี้ผ่านจดหมายเปิดผนึกว่า
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ มกราคม ปี 2563
จนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลากว่า 426 วัน ที่รัฐบาลสั่งปิดสถานบริการ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พนักงานบริการได้เรียกร้องกับรัฐบาลมาโดยตลอด
ครั้งแรกเราส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลในวันที่ 20 เมษายน 2564
และยื่นหนังสือสอบถามอีกครั้งในวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลโดย เรียกร้องให้รัฐดำเนินการเยียวยาพนักงานบริการเนื่องจากคำสั่งปิดสถานบริการ
เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทต่อเดือน ให้กับพนักงานบริการและคนทำงานในสถานบริการทุกคนจนกว่าสถานบริการจะกลับมาเปิดดำเนินกิจการได้
ทั้งนี้รวมไปถึงคนทำงานในสถานบริการที่มีการจ้างงานชั่วคราวหรือรายครั้ง
คนทำงานอิสระและครอบคลุมถึงคนทำงานที่เป็นชาติพันธุ์และแรงงานข้ามชาติ
แต่รัฐบาลยังคงเพิกเฉยไม่มีการเยียวยาใด
ๆ พนักงานบริการได้รับการเยียวยาอยู่เพียง 90 วันในโควิดระลอกแรกจากโครงการเราไม่ทิ้งกัน
เป็นเงินจำนวน 15,000 บาท เห็นชัดว่าว่ารัฐบาลไม่ใส่ใจ ทิ้งกลุ่มคนทำงานบริการภาคกลางคืนไว้ข้างหลัง
ตั้งแต่ระลอกที่ 2-3 รัฐบาลยังคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีเพียงเงื่อนไขเลื่อนลอย
ต้องมีประกันสังคม ต้องได้รับการรับรองจากสมาคมฯ
ยิ่งสร้างกำแพงการเข้าถึงการเยียวยา
โควิดส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้สถานบริการขนาดกลางและขนาดเล็กต้องปิดตัวลง
พนักงานถูกให้ออก เกิดภาวะตกงานทั่วประเทศ
อีกทั้งการบริหารจัดการแก้ไขของรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพและล่าช้า
แม้ว่ารัฐบาลจะได้ออกมาตรการต่าง ๆ มาช่วยเหลือประชาชน เช่น โครงการเราชนะ
เราไม่ทิ้งกัน เรารักกัน หรือเงินช่วยเหลือจากประกันสังคม
ซึ่งพบว่าเงินเยียวยาไม่เพียงพอ ไม่ทั่วถึง บางมาตรการก็เข้าไม่ถึง โดยเฉพาะพนักงานบริการที่ไม่มีประกันสังคมมีถึง
90% และพนักงานบริการที่เป็นแรงงานข้ามชาติหรือชาติพันธุ์
ในการแพร่ระบาดโควิด19
ปัจจุบัน รัฐบาลมีคำสั่งให้ปิดสถานบริการต่อเนื่องออกไปอีกจนถึง 16 มกราคม 2565
พนักงานบริการที่มีความหวังว่าจะได้กลับมาทำงาน
ต้องประสบปัญหาเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่กำลังเตรียมตัวกลับมาทำงาน
เงินเก็บได้หมดไปนานแล้ว หนี้สินเพิ่มขึ้น ทางออกไม่มี ไม่ได้รับการเยียวยา
เกิดผลกระทบหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อพนักงานบริการ
การหางานใหม่เป็นไปได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน
นี่จึงเป็นอีกครั้งที่พนักงานบริการต้องออกมาเรียกร้องด้วยตนเอง
เนื่องจากรัฐบาลปฏิเสธไม่รับพัสดุส้นสูงที่มีข้อเรียกร้องของพวกเรา
ดังนั้นเราจึงต้องมาพูดความลำบากด้วยเสียงของตนเอง
กิจกรรมอ่านข้อความบนส้นสูงส่งเสียง
ของพนักงานบริการให้รัฐบาลฟังจนกว่ารัฐบาลจะได้ยิน รับรู้ และเร่งการเยียวยาให้กับพนักงานบริการ
หนังสือฉบับนี้ยังยืนยันข้อเรียกร้องเดิมให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเยียวยาให้กับพนักงานบริการตามข้อเรียกร้องดังกล่าวโดยเร่งด่วนและมีแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้
มีตัวแทนจากรัฐบาลออกมารับหนังสือข้อเรียกร้อง พร้อมย้ำว่านายกฯ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคนทุกสาขาอาชีพ
และจะนำหนังสือข้อเรียกร้องของพี่น้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีตามลำดับต่อไป
ด้านอังคณา
นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในฐานะอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(กสม.) กล่าวว่าส่วนตัวรู้สึกชื่นชม Empower ในความพยายามปกป้องสิทธิของพนักงานบริการ
เพราะที่ผ่านมาพนักงานบริการถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนทำงานที่ไม่มีเกียรติ
ไม่มีศักดิ์ศรี อีกทั้งยังได้รับการดูถูกจากสังคม เหมือนเป็นงานชั้นต่ำ
และไม่มีที่ยืนในสังคมเช่นเดียวกับคนทำงานในอาชีพอื่น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ Empower
ท้อถอย ในทางกลับกัน Empower ได้พัฒนาตนเองทั้งความรู้และการทำงานร่วมกับเครือข่ายเพื่อให้คนในสังคมตระหนักและยอมรับว่า
"งานบริการคืองาน" ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับงานประเภทอื่น
เพราะเป็นงานที่สร้างรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัว
รวมถึงเป็นการนำรายได้มาสู่รัฐผ่านระบบภาษีเช่นเดียวกับงานทั่วไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
สำหรับการเยียวยาของรัฐที่ยังเป็นปัญหากับพนักงานบริการนั้น
อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า รัฐไม่ได้มองว่า
"งานบริการคืองาน" เช่นเดียวกับงานอื่น ๆ
ในทางกลับกันรัฐยังมองว่างานบริการเป็นความผิดตามกฎหมาย เป็นเรื่องน่าละอาย
และมองว่างานบริการเป็นงานที่เสื่อมเสียเกียรติ หรือขัดต่อศีลธรรม
ทำให้พนักงานบริการถูกกีดกันออกจากระบบหลักประกันการทำงานต่าง ๆ และเข้าไม่ถึงสวัสดิการต่าง
ๆ จากรัฐ เช่น สิทธิในหลักประกันสังคม ในกรณีต้องตกงาน หรือขาดรายได้ หรือเจ็บป่วย
หรืออยู่ในภาวะไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ที่เห็นได้ชัดเจน
เช่นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส หรือ COVID 19
เมื่อสถานบริการถูกปิด ทำให้พนักงานบริการไม่มีรายได้
และไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายจากการขาดรายได้เช่นเดียวกับคนทำงานทั่วไป
แม้จะมีการเรียกร้องต่อรัฐ แต่รัฐบาลไม่เคยมีท่าทีตอบรับ
หรือให้หลักประกันเพื่อให้พนักงานบริการได้รับการเยียวยาที่เท่าเทียมกับผู้ทำงานด้านอื่น
ที่ผ่านมาพนักงานบริการจึงเป็นกลุ่มคนทำงานที่ถูกทอดทิ้งให้เผชิญความยากลำบากแต่เพียงลำพัง
"รัฐบาลควรปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาชนว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม
ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงความช่วยเหลือเยียวยาและสวัสดิการจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน
นอกจากนี้รัฐบาลควรปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบของสหประชาชาติ
(CEDAW) และคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Working
Group on Business and Human Rights) เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิในการทำงานและป้องกันการแสวงประโยชน์จากพนักงานบริการในรูปแบบต่างๆ
อีกทั้งเพื่อให้พนักงานบริการผู้ซึ่งเป็นกลุ่มคนทำงานที่มีความเปราะบางสามารถมีชีวิตในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง"
นางอังคณาระบุ
#ส้นสูงส่งเสียง #ม็อบ22ธันวา64
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์