วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

กลุ่ม24มิถุนาฯ ร่วมกับเครือข่ายแรงงานฯ พร้อมแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ร้องรัฐบาล"เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย" ที่ทำเนียบรัฐบาล ยื่น 5 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน จี้"ประยุทธ์"แก้ปัญหาปากท้อง ลั่นหากไม่คืบหน้าพร้อมจัดชุมนุมใหญ่

 


กลุ่ม24มิถุนาฯ ร่วมกับเครือข่ายแรงงานฯ พร้อมแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ร้องรัฐบาล "เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย" ที่ทำเนียบรัฐบาล ยื่น 5 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน จี้ "ประยุทธ์" แก้ปัญหาปากท้อง ลั่นหากไม่คืบหน้าพร้อมจัดชุมนุมใหญ่


วันนี้ (30 พ.ย. 64) เวลา 10.30 น. ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ประตู 3 น.ส.ธนพร วิจันทร์ หรือ ไหม เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน พร้อมด้วย ตัวแทนจากองค์การบริหารองค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ตัวแทนองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย, นายเจษฎา ศรีปลั่ง เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี เดินทางมายื่นหนังสือต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านนายพันศักดิ์ เจริญ ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน ศูนย์บริการประชาชน เพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชน "เพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม เพิ่มรายได้  ลดรายจ่าย"


โดยเวลา 10.00 น. ผู้นัดหมายจัดกิจกรรมพร้อมมวลชนรวมตัวกันในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) เตรียมตั้งขบวนพร้อมชูป้ายข้อเรียกร้องต่าง ๆ เช่น ให้เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา, ให้ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม, ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสาธารณะ (BTS/MRT) ครึ่งราคา เป็นต้น


กระทั่ง 10.30 น. นายเจษฎา ศรีปลั่ง กล่าวว่า การเดินทางมาในวันนี้ไม่ได้มาชุมนุม แต่เป็นเพียงการมายื่นหนังสือเท่านั้น จากนั้นชวนผู้ร่วมกิจกรรมถือป้ายขัอเรียกร้องเดินข้ามฝั่งจากสำนักงานกพร. มายังประตู 3  หน้าทำเนียบรัฐบาล


ต่อมาเริ่มการปราศรัย ขณะที่มวลชนร่วมยืนชูป้ายระหว่างปราศรัยไปด้วย ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบกระจายกำลังเฝ้าดูสถานการณ์


ด้าน "ธนพร วิจันทร์ " เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนกล่าวว่า วันนี้คนทำงานทุกกลุ่มได้รับผลกระทบจากการบริหารงานของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา กฎหมายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุถูกประยุทธ์ปัดตก หมายความว่ารัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของปัญหาของประชาชน


วันนี้แนวร่วมเครือข่ายฯ จึงมายื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลปัญหาของประชาชน ถ้าทำไม่ได้รัฐบาลก็ต้องออกไป แล้วให้คนมีความสามารถเข้ามาแทน 


ธนพร กล่าวย้ำข้อเรียกร้องของกลุ่มแนวร่วมฯ ในวันนี้คือรัฐต้องเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่มากเพราะหารแล้วก็ตกวันละ 100 บาท เท่านั้น 


ต่อมาตัวแทนนิสิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวว่า การศึกษาสำหรับนิสิตนักศึกษาตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่มีวัคซีนไม่เพียงพอต่อความต้องการและวัคซีนที่มีก็ไม่มีคุณภาพ ทำให้ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ มีเด็กจำนวนมากต้องหลุดจากการศึกษา ต้องกู้เงินเพื่อให้ตัวเองยังเรียนต่อไปได้ เด็กสูญเสียโอกาสและอนาคตของตัวเอง ค่าใช้จ่ายและภาระของผู้ปกครองก็เพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ จึงขอตั้งคำถามว่าอนาคตของชาติกำลังถูกทำลายแล้วรัฐบาลจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือ?


จากนั้น "ศรีไพร นนทรีย์" สหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวย้ำว่า คนชราควรได้รับเงิน 3,000 บาทต่อเดือนจากเดิมที่ปัจจุบันได้เพียง 600 บาท หรือวันละ 20 บาทเท่านั้น ไม่มีทางที่จะพอใช้ ยิ่งหลายคนเป็นคนจนที่ลูกหลานไม่สามารถดูแลได้ รัฐต้องดูแลมากกว่านี้ การเรียกร้องเบี้ยคนชราไม่ได้มากเลย เฉลี่ยแล้วคิดเป็นวันละ 100 บาทเท่านั้น หรือกินข้าวสามมื้อตกมื้อละ 33.33 บาทเท่านั้น รัฐต้องหันมาเหลียวแลประชาชนอย่างที่บอกว่าจะทำตามสัญญา ดังนั้นรัฐบาลต้องจัด 3,000 บาทให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด


ตามด้วย สมยศ พฤกษาเกษมสุข จากกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย กล่าวว่า การเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าและเพิ่มค่าครองชีพ เพิ่มสวัสดิการ คือการกระจายเงินไปให้คนชรา คนพิการ เด็กเล็ก เป็นการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม อย่างค่าเบี้ยเลี้ยงเด็กเล็ก ก็จะขอให้เพิ่มจาก 800 บาทเป็น 1,200 บาทต่อเดือนและขยายเวลาถึงอายุ 12 ปี 


ซึ่งจะเป็นการกระจายเงินสู่ฐานรากและถึงมือประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐควรทำ ไม่ใช่เอาเงินไปซื้อรถถัง โดยทางกลุ่มที่จัดกิจกรรมวันนี้จะผลักดันประเด็นปากท้องต่อไป 


ปิดท้ายด้วย "ธนพร" ปราศรัยสรุปห้าข้อเรียกร้องอีกครั้ง ได้แก่

.

1. เพิ่มเงินยังชีพผู้สูงอายุและผู้พิการถ้วนหน้าจากเดิมเดือนละ 600 บาท เป็นเดือนละ 3,000 บาท สร้างหลักประกันการดำรงชีพให้กับบุคคลเหล่านี้ ให้สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า


2. เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรในระบบประกันสังคมจากเดือนละ 800 บาท เป็น 1,200 บาท และขยายอายุเงินสงเคราะห์บุตร จาก 6 ปี เป็น 12 ปี


3. ลดค่าบำรุงการศึกษาหรือค่าเทอม และค่าใช้จ่ายการศึกษาของนักเรียนและนักศึกษาลงอีก 50 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลา 3 ปี (2565-2567) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน พร้อมทั้งบรรจุครูอัตราจ้างและพนักงานสัญญาจ้างในระบบการศึกษาให้เป็นข้าราชการประจำ


4. ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสาธารณะ (BTS/MRT) ครึ่งราคา 


5. ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) จาก 7% เป็น 5% เพื่อให้สินค้าอุปโภคบริโภค และภาคบริการมีราคาถูกลง รวมทั้งยกเลิกภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ให้น้ำมันราคาถูกลงอีกลิตรละ 6 บาท


จากนั้นนายพันศักดิ์ เจริญ ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน ศูนย์บริการประชาชน เป็นตัวแทนรับหนังสือจากกลุ่มเครือข่ายฯ พร้อมกล่าวว่าจะนำข้อเรียกร้องส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรีและจะมีการเชิญผู้มายื่นหนังสือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแนวทางแก้ไขปัญหาในอนาคตต่อไป ก่อนประกาศยุติกิจกรรมในเวลาประมาณ 11.10 น.  


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม็อบ30พฤศจิกา64