แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.72
ตอน : กฎหมายและความยุติธรรมขึ้นอยู่กับระบอบและผู้มีอำนาจของระบอบนั้น
ๆ
[วิพากษ์ระเบียบกระทรวงกลาโหม 5 พ.ย. 64]
วันนี้ยังเป็นความต่อเนื่องของเรื่องราวว่าด้วยปัญหากฎหมายสำคัญ
คือกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมทั้งมาตรา 116 อื่น ๆ
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องใหญ่และคงจะเป็นเรื่องยาว
ดิฉันก็เลยลองมาคุยในเรื่องของปัญหาหลักการ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอารมณ์
ไม่ได้เกี่ยวว่าใครเลือกข้างใคร พรรคไหน พูดอย่างไร
แต่ว่าก็เป็นลักษณะของดิฉันซึ่งอาจจะถือว่าเป็นผู้สูงอายุแล้วก็ได้
ก็ถือว่าปัญหาสำคัญที่สุดเวลาเรามีเรื่องอะไรที่จะต้องนำมาแก้นำมาขบคิด
ปัญหาเรื่องแรกที่สุดคือปัญหาจุดยืน เราพูดอยู่บนจุดยืนอะไร
เราพูดอยู่บนจุดยืนผลประโยชน์ประชาชน พูดอยู่บนจุดยืนผลประโยชน์พรรคการเมือง
พูดอยู่บนจุดยืนผลประโยชน์บุคคล หรือชนชั้น หรือกลุ่มคนที่มีอำนาจ
สำหรับดิฉันจะพูดอยู่บนจุดยืนและผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวลชนพื้นฐาน คนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ พูดง่าย ๆ
ว่าเป็นประโยชน์ของผู้ถูกปกครอง ไม่ใช่ผู้ปกครอง เป็นประโยชน์ของผู้ถูกกดขี่
ไม่ใช่ประโยชน์ของผู้กดขี่
ดังนั้น
ที่ดิฉันจะพูดก็ยืนยันอีกครั้งว่าดิฉันพูดตามหลักการ
ประเด็นที่ดิฉันจะพูดเป็นประเด็นรวม ก็คือ
“กฎหมายและความยุติธรรม”
ขึ้นอยู่กับระบอบและผู้มีอำนาจของระบอบนั้น ๆ
จากการที่เรารับฟังคนส่วนต่าง
ๆ ออกมาพูดในปัญหาเรื่องของมาตรา 112 พรรคการเมืองชักมาเป็นแถวเลย คืออะไร?
ก็คือไม่ให้แก้ ไม่ให้ยกเลิก ส่วนหนึ่งก็คือแก้ ยกตัวอย่างเช่น พรรคก้าวไกล
หรือพรรคเสรีรวมไทย พรรคการเมืองส่วนหนึ่งก็บอกจะนำปัญหาเข้าไปยังเวทีรัฐสภา
หรือจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ยกตัวอย่างเช่น ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ก็นำเสนอว่าเป็นปัญหาของการบังคับใช้ ไม่ได้เป็นปัญหาที่ตัวกฎหมาย
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ควรแก้ หรือแก้ไม่ได้ อันนั้นอาจจะเป็นคำพูดเร็ว ๆ
เมื่อรับฟังเรื่องราว ซึ่งเราก็จะเห็นคนสองปีกใหญ่ ยังเป็นสองปีกสองขั้วแบบเดิม
แต่ดิฉันอยากจะดูหลักการและเหตุผล
ยกตัวอย่างที่สำคัญก็คือฟากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร
ออกมาพูดเหมือนกันเลยว่า “ไม่ยกเลิก ไม่แก้ เพราะนี่คือปัญหาความมั่นคง
เป็นปัญหาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” นี่คือเหตุผลว่าเป็นเรื่องของชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ไม่ยกเลิก ไม่แก้ไข
ซึ่งถ้าเอาหลักของดิฉันมาจับ
ก็คือคุณพูดอยู่บนจุดยืนอะไร มันก็แปลได้ว่า จุดยืนที่พูดเป็นความมั่นคงของใคร
เป็นความมั่นคงของระบอบการเมืองการปกครอง
เป็นความมั่นคงของรัฐที่สืบทอดอำนาจมาจากการทำรัฐประหารเพื่อให้รัฐดำรงอยู่อย่างแข็งแรง
หรือเปล่า? ใช่หรือไม่ใช่? “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ของคุณก็ต้องตีความ
ชาติของคุณคืออะไร ศาสนาและพระมหากษัตริย์
ถ้าตีความ
“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ในทัศนะของดิฉันเขากำลังตีความน่าจะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจจะเลย ร.5 ร.6
ไปด้วย ท่านไม่มีความรู้เลยเหรอที่จะรู้ว่ายุค ร.5 ร.6 นั้น
การใช้กฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ทำกันอย่างไร เพราะมีการพัฒนาแล้ว
มันไม่ใช่กฎหมายตราสามดวงสมัยอยุธยา ไม่ใช่ ร.1 ร.2 ร.3 นั่นแปลว่าอะไร?
กฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์แม้กระทั่งยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังไม่ได้อยู่กับที่เลย
ยังมีการปรับปรุง มีการเปลี่ยนแปลง ป้องกันการกลั่นแกล้ง โทษยังไม่สูงเท่าปัจจุบัน
ถามว่า พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ รู้หรือเปล่า?
หรือคนที่บอกว่าปรับปรุงไม่ได้ แก้ไม่ได้ กฎหมายดีแล้ว คุณรู้เรื่องราวมั้ย
ว่าไอ้กฎหมายนี่มันล้าหลังยิ่งกว่า ร.5 ร.6
ถามว่าทำไมเขาไม่ทำแบบยุคโบราณ
ลากคอลากลิ้นเอามาตัด แหวกแก้ม ทำอะไรทุกอย่าง เผาทั้งเป็นหรืออะไร
ทำไมเขาไม่ทำแบบนั้น? เขาจำเป็นต้องแก้กฎหมายในสมัยร.5 แก้ยาวนาน ร.5 ร.6
จนกระทั่งมาถึงยุคอาจารย์ปรีดี กว่าที่คนต่างประเทศจะยอมรับกฎหมายประเทศไทยได้
เราต้องเสียเอกราชทางศาล เพราะอะไร? มันไม่ได้เกี่ยวกับการบังคับใช้
มันเกี่ยวกับเนื้อหากฎหมายที่มันไม่เป็นไปตามหลักสากล เราจึงเสียเอกราชทางศาล
นี่คือหลักการที่ดิฉันพูดว่า เอาแม้กระทั่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ท่านก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าอยู่อย่างนี้อยู่ไม่ได้ คนในบังคับ คนก็ไปอยู่ในอังกฤษ
ฝรั่งเศส อะไรต่าง ๆ หมด ศาลไทยตัดสินไม่ได้ เพราะอะไร?
เขาไม่ได้บอกว่าผู้พิพากษาไม่ดี แต่เขาบอกกฎหมายไทยเขายอมรับไม่ได้!
ซึ่งในขณะนี้เดี๋ยวก็รอดูว่าปัญหาคิงส์เกตที่เราใช้มาตราป่าเถื่อน
มาตรา 44 ไปจัดการเขา มันไม่เป็นไปตามหลักสากล ที่แล้วมามันมีปัญหา
แล้วตอนนี้ถ้าออกมาว่าแพ้
คำถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ซึ่งอ้างความมั่นคงของประเทศหรืออะไรก็ตามในการใช้มาตรา 44
ในการทำรัฐประหารแล้วใช้มาตรา 44 แล้วออกมาจัดการ คุณอยู่ในโลกยุคใหม่
เขารับไม่ได้ แล้วคุณจะเอาผลประโยชน์ของประเทศไปแลก
เพราะว่าคุณไม่สามารถที่จะรับผิดชอบได้หรอก ความเสียหายนี้มันเป็นระดับเป็นหมื่นล้าน
เพราะฉะนั้น
ดิฉันขอพูดว่ามีอะไรที่ปรับไม่ได้ ไม่มี ปรับได้หมด
ขนาดพระมหากษัตริย์ก็ยังต้องปรับ เพราะถ้าไม่ปรับตอนนั้น
เราจะไม่ใช่แค่เสียเอกราชทางศาล อาจจะต้องเสียไปหมดเลย
ตอนนั้นต้องยอมเสียเอกราชทางศาล ยอมเสียดินแดนไปเยอะแยะเลย
เหตุผลเพราะว่าจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้
จะรักษาอาณาเขตขอบเขตจำนวนหนึ่งเอาไว้ ยอมเสียเอกราชทางศาล ซึ่งจริง ๆ
แล้วเท่ากับเราเสียเอกราชโดยพฤตินัย แม้นไม่ได้แสดงออกชัดเจน
นี่คือเหตุผลที่ดิฉันอยากจะพูดเรื่องว่า
ทำไมกฎหมายถึงจะปรับปรุงไม่ได้
แล้วกฎหมายความยุติธรรมที่เราพูดว่าขึ้นอยู่กับระบอบและผู้มีอำนาจ
นั่นคือในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้มีอำนาจก็คือกษัตริย์
พระมหากษัตริย์ก็จัดการได้เลย ยอมเสียเอกราชทางศาล
แล้วก็ตั้งคณะขึ้นมาปรับปรุงใหม่หมดเลย นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้โครงสร้างตุลาการไทยไม่ได้มีการปรับใหม่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เพราะมัวแต่สาละวนแก้กฎหมายให้ทันสมัย เพื่อให้ได้เอกราชทางศาลกลับมา ในขณะนั้นไม่ได้มานั่งแก้ว่าสถาบันตุลาการต้องมาขึ้นกับประชาชนอย่างไร
เพราะมัวแต่สาละวนแก้กฎหมาย
ดังนั้น
นี่คือสิ่งที่ดิฉันอยากจะบอกว่าตัวกฎหมายสำคัญซิคะ ถ้าไม่สำคัญ
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจะไม่แก้ได้อย่างไร
และโดยเฉพาะกฎหมายดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ มีการปรับแก้ และปรับแก้ที่สำคัญในปี 2475
เพื่อไม่ให้มีปัญหาก็คือมีการละเว้นเอาไว้ในกรณีพูดสุจริต พูดตามรัฐธรรมนูญ
เป็นประโยชน์กับสาธารณะ
หมายความว่าขณะนี้
2475 เอาเรื่องความมั่นคงของพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของประเทศ
คือไม่ใช่เป็นปัญหาพระมหากษัตริย์อย่างเดียว
แต่ความมั่นคงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน นี่คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญซึ่งมันเป็นเส้นแบ่งว่านี่คือระบอบประชาธิปไตยหรือเปล่า
ถ้าเป็นระบอบประชาธิปไตย ประชาชนก็ต้องถูกปกป้องด้วย เพราะพูดความจริง
พูดแล้วเป็นประโยชน์กับประเทศชาติประชาชน ไม่ได้มีการใส่ร้าย ไม่ได้มีการบิดเบือน
ไม่ได้มีการกล่าวเท็จ ต้องคุ้มครองประชาชนด้วย
แต่ว่าต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แล้วโทษขั้นสูง ปี 2475 ก็ไม่ได้แก้ ก็ 7
ปีมาเหมือนกัน แต่หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญก็คือการละเว้นโทษ เพราะว่าแม้กระทั่งใน ร.5
ร.6 โทษขั้นต่ำก็ไม่มีดังที่ดิฉันเคยพูดไป
ดิฉันอยากจะถามว่าขณะนี้ที่มีการพูดอ้างเหตุผล
“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ดิฉันจะเน้นไปที่รัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ และ
3บิ๊กเป็นสำคัญ เพราะว่าถ้าถามก็คือนอกจากมันจะเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบปลอม ๆ
เป็นประชาธิปไตยสีเทา เป็นประชาธิปไตยที่แบบสืบทอดอำนาจ
เป็นประชาธิปไตยที่องค์กรอิสระและการตรวจสอบและรัฐธรรมนูญมาจากการทำรัฐประหารจากการยึดอำนาจทั้งสิ้น
ดังนั้นถามว่าก็เป็นผู้มีอำนาจจริง เพราะว่ามีคนบอกว่า
อย่างคุณทักษิณบอกในสมัยยุคคุณทักษิณไม่เห็นมันจะมีปัญหาที่คนถูกฟ้องร้อง 112 เลย
เพราะมีกระบวนการในการคัดกรองหรืออะไรก็วาไป
ดิฉันต้องการวิพากษ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการวิพากษ์ระเบียบกระทรวงกลาโหม
ว่าด้วยประมวลจริยธรรมและการรักษาจริยธรรม อันนี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ
ลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 น่าสนใจ คืออะไร?
ลิ้งค์ ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยประมวลจริยธรรมและการรักษาจริยธรรม พ.ศ. 2564 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/272/T_0001.PDF
คือพูดง่าย
ๆ ว่านี่เป็นการกระชับพื้นที่ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เน้นเรื่องจริยธรรม
คุณธรรม ในนี้ดิฉันอ่านตั้งแต่หน้าแรกจะว่าพูดถึงคุณธรรมจริยธรรมอะไรต่าง ๆ
รวมทั้งหมวดที่ 1 ประมวลจริยธรรม ที่ดิฉันบอกกระชับพื้นที่คืออะไร?
6.1
ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
โดยการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งเขตอำนจรัฐ
และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งจักต้องพิทักษ์ รักษา ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และเชิดชูรักษาไว้
ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
รวมถึงการนำหลักคำสอนที่ถูกต้องของศาสนามาปฏิบัติให้เกิดคุณธรรมนำไปสู่ความประพฤติและการปฏิบัติตนตามประมวลจริยธรรมกระทรวงกลาโหมอย่างเคร่งครัด
ดิฉันมองแล้วว่าในข้อ
6 ที่ว่าเป็น 6.1 นี้ เป็นการกระชับพื้นที่ในประเด็นของความมั่นคง “ชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์” ซึ่งในทัศนะของดิฉันคิดว่าที่มีอยู่แล้วมันก็หนักข้อแล้ว
อันนี้มันยิ่งหนักเข้าไปอีก มันมีปัญหาอะไรที่ท่านต้องมาเน้นขนาดนี้
ดิฉันก็เคยเล่าให้ฟังว่าไปดูที่หน่วยงานความมั่นคงพูดถึงอุดมการณ์แนวนโยบายก็เน้นแบบนี้
เพราะฉะนั้นในทัศนะของดิฉัน ดิฉันว่ามันเลย ร.5 ร.6 ไปนะ คืออุดมการณ์ “ชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์” ดิฉันอยากจะบอกอีกครั้งว่ามันเกิดคำขวัญนี้ในสมัย ร.6
เพราะในช่วงยุคนั้นมันเกิดปัญหาของทางเศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะเศรษฐกิจก็เป็นห่วงว่าพ่อค้าชาวจีนเข้ามายึดแก่นเศรษฐกิจของประเทศ
จนกระทั่งพระองค์ท่านได้เขียน “ยิวแห่งบูรพาทิศ” หมายถึงประเทศจีน
ก็คือลักษณะที่เน้นปัญหาเรื่องเชื้อชาติเป็นสำคัญ
ดิฉันคิดว่าการที่ออกประมวลจริยธรรมออกมาใหม่เป็นการกระชับพื้นที่ในประเด็น
“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เช่น
6.3
กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม โดยการยืนหยัดกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เป็นธรรม และถูกกฎหมาย
ดิฉันไม่เห็นมีคำว่า
“ผลประโยชน์ประเทศชาติประชาชน” อยู่ตรงไหนเลยตั้งแต่ดูมา ข้อ 6 ไล่มาเรื่อย ๆ มา
6.4 พูดถึงชาติ แต่เป็นการพูดที่เป็นนามธรรม แต่ไม่มีคำว่า “ประชาชน”
เราไม่สามารถที่จะมีเวลาพูดได้ยาวมาก
แต่ดิฉันอยากจะเรียนว่า ไป ๆ มา ๆ ประเด็นเรื่องของกฎหมาย เรื่องการขอแก้ 112
ประเด็นการจับกุมคุมขัง อย่างนี้เป็นความกล้าหาญหรือเปล่าที่กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
จนกระทั่งไม่ได้สนใจว่าในทางสากลเขามองยังไง กระทั่งเด็ก ๆ ก็เอาไปคุมขัง
ไม่ให้ประกันตัว กลัวจะไปทำความผิดซ้ำ คือพิพากษาไปเลย
ดิฉันอยากจะถามว่ามันเป็นกระบวนการยุติธรรมที่จะได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากคนทุกหมู่เหล่ามั้ย
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ประเด็น
“ชาติ” ก็ไม่ใช่แผ่นดินนะ “ชาติ”
มันจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดมีราษฎร มีประชาชน มีพลเมือง
หลายเชื้อชาติด้วยนะ
ในขณะนี้ดิฉันเห็นแม้กระทั่งในคลับเฮ้าส์แล้วก็ที่พูดกันโวยวายกันเรื่องดูถูกคนอีสาน
ก่อนหน้านี้สมัยยุคตอนที่พรรคเพื่อไทยได้เลือกตั้งมาใหม่ ๆ หรือยุคพรรคไทยรักไทย
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ คุณเจริญ คันธวงศ์ ก็เคยพูดออกมาว่า
คนอีสานเป็นได้แต่คนรับใช้กับเด็กปั๊ม
แล้วก็มีการพูดถึงเรื่องคนภาคเหนือว่าผู้หญิงภาคเหนือก็คือเร่ขายตัวเป็นโสเภณี
แล้วก็ลามปามมาว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ ดิฉันไม่ใช่คนในพรรคเพื่อไทย ไทยรักไทย
แต่ดิฉันจำเป็นที่จะต้องพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคำว่า “ชาติ”
จะต้องประกอบด้วยประชาชนทุกชนชาติ นี่ก็เป็นการกดขี่แบบหนึ่ง
เพราะว่ามันเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนยุคโบราณ
แล้วก็ถืออย่างภาคอีสานก็เป็นมณฑล ลาวกาว ลาวเฉียง อะไรอย่างนั้น คือไม่ใช่คนไทย
เป็นการดูถูกกดขี่ทางเชื้อชาติซึ่งยังมีมรดกมาจนถึงปัจจุบัน คนโน้นก็ลาว ลาวโน่น
ลาวนี่ แล้วมีไทยอยู่ตรงไหน?
ดิฉันเคยทำงานวิจัย
ก็ถือโอกาสพูดเสียเลย ดิฉันไปเฉพาะภาคกลางนะ ไม่อยากไปแถวชายแดน
ลองทำวิจัยแล้วก็ถามคนในหมู่บ้านในภาคกลาง
ดิฉันอยากจะรู้ว่าหมู่บ้านที่เราไปหาข้อมูลนั้น ครั้งนั้นดิฉันทำวิจัยเรื่อง
“การรักษาตัวเองเมื่อเวลาเจ็บป่วยของคนไทยทำอย่างไร” อยากจะรู้เรื่องการใช้สมุนไพร
หรือเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องหมอบ้าน เรื่องการใช้ยาด้วยตัวเองเพื่อทำงานวิจัย
แต่ดิฉันก็จะมีการวิจัยถามเรื่องประวัติหมู่บ้านด้วย
เชื่อมั้ยว่าไม่มีคนไทยสักหมู่บ้านเลย ดิฉันงงมาก ไปแปดริ้วก็เจอคนเขมร
ไปอยุธยาก็เจอลาวเวียงจันทน์ ลงมากระทั่งถึงประจวบฯ ก็ไม่ใช่ เพชรบุรี สุพรรณบุรี
ไม่ใช่ทั้งนั้น ดิฉันนึกว่าอยุธยามันต้องเจอแน่ ๆ ไม่ใช่
ดังนั้น
คำว่า “ชาติ” มันเป็นองค์ประกอบของประชาชนพลเมืองที่อยู่ในขอบเขตประเทศนี้
มันอาจจะมีวัฒนธรรมต่างกัน ถ้าคุณเข้าใจคำว่า “ชาติ” ถูก
มันก็จะลดปัญหาเรื่องชายแดน 3 จังหวัดภาคใต้แน่นอน
แล้วเราก็คงไม่มีเรื่องราวแบบที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างในวงการศาสนาเช่น
กลุ่มครูบาต่าง ๆ ครูบาศรีวิชัยต้องมาถูกลงโทษ
เพราะว่าเขามีวิธีการทางศาสนาซึ่งไม่ได้เหมือนภาคกลาง ไม่ได้เหมือนในกรุงเทพฯ
ซึ่งอาณาจักรคุมศาสนจักร ศาสนจักรคือพระก็เป็นพระ ไม่ได้เกี่ยวกับทางอาณาจักร
แต่ว่าในประเทศไทยกลายเป็นว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ถ้าคิดเป็นความมั่นคงแบบนั้นก็คือ อาณาจักร ศาสนจักร
และทุกอย่างต้องรวมศูนย์อยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์
เพราะฉะนั้นที่ดิฉันพูดในประเด็นนี้ก็คือว่า
กฎหมายและความยุติธรรม ขึ้นอยู่กับระบอบและผู้มีอำนาจของระบอบนั้น ๆ
ในขณะนี้ความพยายามในการจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่อยากให้คนได้สืบทอดอำนาจมา 7
ปี 8 ปี เป็นรัฐบาลอีกต่อไป ที่เด็ก ๆ
เขาถือเป็นข้อ 1 แล้วต้องการให้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มาจากประชาชน
ซึ่งก็ตรงกับที่นปช.เคยทำตั้งแต่ปี 2555
ที่เราออกรณรงค์แล้วก็เนื้อหาของที่นปช.เสนอเหมือนกับที่ประชาชน ไอลอร์
เสนอเดี๋ยวนี้ เหมือนกันเด๊ะเลย ไม่มีผิด
แต่ตอนนั้นก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลของพรรคเพื่อไทยไม่เอา เขาก็มีอีกชุดหนึ่ง
ดิฉันอยู่ในภาคประชาชนที่ขมขื่น มองเห็นอนาคตและรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แต่ว่าเราไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงภววิสัยได้ เราทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด
แต่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในเวลานั้น ก็รับไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น
ดิฉันก็อยากจะเสนอต่อทุกฝ่ายในเชิงหลักการว่า คุณพูดอยู่บนจุดยืนอะไร?
ชาติของคุณคืออะไร? มันเป็นชาติที่ปรับปรุงมาใหม่ที่คนเท่ากันมั้ย?
หรือเป็นชาติที่มีทาส มีไพร่ มีขุนนาง ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับขุนนางและสถาบัน
นั่นก็คือชาติในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ศาสนาก็เช่นกัน
ก็คือต้องถูกควบคุมภายใต้อาณาจักร ประหนึ่งเป็นเครื่องมือในการปกครอง
ต้องพูดกันตรง ๆ เช่นนั้น
ส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์
เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือในยุคสมัยใหม่ที่เป็นระบอบประชาธิปไตย
มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราก็ยังเป็นราชอาณาจักร
แต่ว่าอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแต่ต้องเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน
ไม่ใช่รัฐธรรมนูญของขุนศึกขุนนาง
ดังนั้น
การเรียกร้องดิฉันคิดว่ามันยาก เพราะความยุติธรรมกับกฎหมายมันขึ้นกับระบอบ
ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริง
กฎหมายต้องเปลี่ยน รัฐธรรมนูญต้องเปลี่ยน เปลี่ยนได้ ไม่ใช่เฉพาะการบังคับใช้
และอุดมการณ์ รูปการ จิตสำนึก ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่ยิ่งวันยิ่งแก้แบบนี้
แบบที่ออกมาเป็นระเบียบกระทรวงกลาโหม 5 พฤศจิกายน หมาด ๆ
มันยังแสดงให้เห็นว่าเป็นระเบียบกลาโหมยังกับยุค ร.5 ร.6 ดิฉันว่าถ้าท่านยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ท่านคงบอกว่าอันนี้ใช้ไม่ได้
ยิ่งมีการรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีกปี
2490 ล้าหลังกว่าปี 2489 และ ปี 2475, ปี 2519 ล้าหลังกว่าปี 2490, ปี 2560
ก็ยิ่งล้าหลังกว่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถาบัน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ยิ่งถอยหลัง อันนี้เป็นทัศนะของดิฉัน
เพราะฉะนั้น
ในขณะที่เราประชาชนมีการเรียกร้อง
แต่ดิฉันอยากจะให้มีความเข้าใจว่าในอีกฝั่งหนึ่งก็คือฝั่งรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจนั้น
เขายังมีคำว่าความมั่นคง มีคำว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ในอีกระบอบหนึ่ง
ไม่ใช่ระบอบนี้ แต่ถ้าเรายืนยันว่าเราเป็นระบอบประชาธิปไตย
ก็สู้ในระบอบประชาธิปไตยอย่างนี้แหละ แต่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขาติดป้ายว่าระบอบประชาธิปไตย
แต่จริง ๆ มันอีกระบอบหนึ่ง พูดยังไงก็ฟังไม่รู้เรื่อง อธิบายยังไง
บอกเหตุผลยังไงก็ไม่ฟัง มันเป็นปัญหาความมั่นคง สิ่งที่เราจะเจอก็เจอแบบนี้แหละ
แต่ว่าเราอาจจะไม่พึงพอใจ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่ากลุ่มคนเหล่านี้ยังเป็นกลุ่มคนในระบอบเก่า รักษาระบอบเก่าเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นที่ควบคุมไพร่ฟ้าประชาชนในระบอบเก่าค่ะ
#มาตรา112
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์