23 องค์กรนิสิต นักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ออกแถลงการณ์ร่วมปฏิเสธคำวินิจฉัยศาลรธน. ยัน 10 ข้อเสนอ จะทำให้สถาบันยืนยงสถาพร เคียงคู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสง่างาม
วันนี้ (11 พ.ย. 64) เพจสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่แถลงการณ์ร่วม 23 องค์กรนิสิต นักศึกษา เรื่อง ปฏิเสธคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า
ตามที่ปรากฏว่าวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยคำร้องของ คุณณฐพร โตประยูร ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กรณีการปราศรัยการชุมนุมทางการเมืองในปลายปี พ.ศ. 2563 ของผู้ถูกร้องทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ คุณอานนท์ นาภา, คุณภาณุพงศ์ จาดนอก และคุณปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย ระบุว่า “การชุมนุมและการปราศรัยของผู้ถูกร้องทั้งสามมีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์โดยชัดแจ้ง เป็นการซัดกร่อนบ่อนทำลายการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการปลุกระดมก่อให้เกิดความวุ่นวายและความ รุนแรงในสังคม เป็นการกระทำใด ๆ ที่มีเจตนาเพื่อทำลาย หรือเพื่อทำให้สถาบันกษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าด้วยการพูด การเขียน หรือการกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้อ่อนแอลง ย่อม แสดงให้เห็นถึงเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
.
ผู้ถูกร้องทั้งสามใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็น โดยไม่สุจริต มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข มิใช่ปฏิรูป ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกการกระทาดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปใน อนาคต” นั้น
.
องค์กรนักศึกษาทั้ง 23 แห่ง ขอปฏิเสธกระบวนการไต่สวนที่ไม่เป็นธรรมและคำวินิจฉัยของศาล โดยขอยืนยันว่า 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของผู้ถูกร้องทั้งสามนั้น เป็นข้อเสนอที่จะทำให้ สถาบันพระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยคงอยู่สถาพรในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างสง่างาม สมกับพระเกียรติยศที่สมเด็จบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทรงดำรงไว้ตั้งแต่ครั้นอดีต ผู้ถูกร้องทั้งสามและผู้ชุมนุมเพียงหวังให้สถาบัน พระมหากษัตริย์ของเรา ปราศจากมลทินและข้อครหาที่จะทำให้พระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ เสื่อมเสีย นามาสู่เหตุผลห้าประการในการขอปฏิเสธกระบวนการไต่สวนและวินิจฉัยของศาล ดังนี้
.
ประการแรก ผู้ถูกร้องทั้งสามท่านมิได้รับโอกาสขอไต่สวนเพิ่มเติมจากศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อ สู้คดีและแสวงหา ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อศาล ด้วยการสั่งงดการไต่สวนโดยอ้างว่าพยาน หลักฐาน ข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการวินิจฉัยแล้ว อีกทั้ง ศาลรัฐธรรมนูญยังยกคาร้องขอเบิกตัวคุณอานนท์ นำภา และคุณภาณุพงศ์ จาดนอก ซึ่งขณะนี้ทั้งสองท่าน ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ฉะนั้น จึงมิอาจเรียกได้ว่ากระบวนการไต่สวนในครั้งนี้ เป็นกระบวนการอันสถิตไว้ซึ่ง ความยุติธรรม
.
ประการที่สอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ยึดถือหลักการที่สาคัญที่สุด ประการหนึ่ง คือ The king can do no wrong พระมหากษัตริย์จะทรงกระทาผิดมิได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกการกระทำ ของพระมหากษัตริย์ถูกต้องเสมอ เพราะพระองค์จะทรงมีพระราชอำนาจในการกระทำอันใดจากัดเท่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะต้องทรงดารงพระองค์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและดารงพระราชสถานะเป็นประมุขของประเทศ ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ จุดมุ่งหมายมิใช่เพื่อหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์ หากแต่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและถกเถียงถึงมูลเหตุแห่งการเสื่อม พระเกียรติ และช่วยส่งเสริมให้สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยธำรงไว้อย่างมั่นคง และสมพระเกียรติยศ
.
ประการที่สาม ถ้อยวลีของคำว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในประเทศไทยนั้น ถูกปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 อันเป็นผลพวงมาจากการรัฐประหารปี พ.ศ. 2490 ดังนั้น เหตุผลการวินิจฉัยของศาลที่อ้างว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ได้บัญญัติ ให้ เรียกระบอบการปกครองว่า “เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จึงไม่อาจเชื่อถือได้
.
ประการที่สี่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ สะท้อนถึงเจตนารมณ์ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของ ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด เพียงแต่ผู้ใช้อานาจนั้นคือ พระมหากษัตริย์ ผ่านกลไกภายใต้รัฐธรรมนูญ มิได้สะท้อนว่าอานาจ อธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์ ดังนั้น เหตุผลการวินิจฉัยของศาลที่อ้างถึงประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทยตั้งแต่ สมัยอาณาจักรสุโขทัยจึงไม่สมเหตุสมผล
.
ประการสุดท้าย การเคลื่อนไหวทางการเมืองและการชุมนุมของผู้ถูกร้องและประชาชนชาวไทยในช่วงเวลา ที่ผ่านมา เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมอันได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ทุกประการ ปราศจากเจตนาที่จะล้มล้างการปกครองของประเทศ มิใช่เป็นการกระทำอันก่อให้เกิดการรัฐประหาร เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมา ฉะนั้น การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เป็นการด้อยค่าสิทธิเสรีภาพของปวงชน ชาวไทยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และทาให้ประชาชนหมดสิ้นศรัทธาที่มีต่ออานาจตุลาการและวงการนิติศาสตร์ประเทศไทย
.
เมื่อลมวสันตฤดูแห่งการเปลี่ยนแปลงได้พัดพามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้แล้ว ท่านมิอาจสร้างกาแพงขวางกั้นลม มิเช่นนั้นกระแสลมนี้จะทวีความรุนแรงเป็นพายุที่พัดพาเศษซากศักดินาล้าหลังคร่าครึ ให้พากันพังทลายลงไปทั้งระบบ เมื่อเลือด ราษฎรที่ถวิลหาประชาธิปไตย ถูกทำให้หลั่งลงบนผืนแผ่นดินนี้ สิ่งที่ท่านได้กลับมาจะมีเพียงสิ่งเดียว คือไฟโลกันตร์แห่งการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนจะลุกโชนขึ้นอย่างควบคุมมิได้ และสุดท้ายประชาชนจะเป็นสถาบันเดียวที่คงอยู่สถาพรในพื้น แผ่นดินนี้ชั่วกัลปาวสาน
.
11 พฤศจิกายน 2564
.
กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อเยาวชน ภาคเหนือตอนล่าง
กลุ่มนิสิต พรรคชาวดิน
คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (10 ตําแหน่ง)
แนวร่วมนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามเพื่อประชาธิปไตย
พรรคก้าวใหม่
พรรคโดมปฏิวัติ
พรรคป๋วยก้าวหน้า
พรรคเสรีธรรมศาสตร์
พรรคแสงโดม
สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยแม่โจ้
สภานักศึกษา องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
สโมสรนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยแม่โจ้
องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร
องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
องค์การบริหาร องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
องค์การบริหาร องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง