โฆษก
บช.น. เผย #ม็อบ14พฤศจิกา64 มีผู้ถูกยิง 2 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย
ระบุในสถานการณ์ที่ชุลมุน ยากที่จะสรุปว่าใครกระทำผิดและใครก่อเหตุ
วันนี้
(15 พฤศจิกายน) พล.ต.ต. จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง
ผบช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น. เปิดเผยผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย
Inside Thailand ว่า จากการชุมนุม #ม็อบ14พฤศจิกา64
และใช้เส้นทางบริเวณถนนอังรีดูนังต์ เบื้องต้นมีผู้ชุมนุมบาดเจ็บรวมทั้งหมด
3 ราย
โดยมีอาการบาดเจ็บจากการถูกยิง 2 ราย
รายแรกถูกยิงบริเวณไหปลาร้า ซึ่งขณะนี้ปลอดภัยแล้ว ส่วนอีกรายเป็นชายอายุ 23
ปี มีอาการหนักมากที่สุด เนื่องจากถูกยิงบริเวณลิ้นปี่
ทำให้เศษกระดูกทิ่มบริเวณใกล้ปอด
จึงต้องทำการรักษาและติดตามรายละเอียดจากแพทย์อีกครั้ง
โดยขณะนี้โรงพยาบาลตำรวจได้ประสานงานกับโรงพยาบาลจุฬาฯ แล้ว ทั้งนี้
ยังไม่มีการสอบปากคำผู้บาดเจ็บหนักทั้ง 2 ราย
ในส่วนของผู้ชุมนุมที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยบริเวณแขนซ้ายอีก
1 ราย ได้เดินทางเข้าแจ้งความบริเวณสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน
เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดแล้ว อย่างไรก็ตาม
ยังไม่สามารถระบุชนิดของกระสุนได้
จึงต้องมีการตรวจสอบชิ้นส่วนของอาวุธในบาดแผลอีกครั้ง
พล.ต.ต. จิรสันต์
ยังได้กล่าวถึงการตั้งแนวรั้วหน่วงของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้าห้างสยามพารากอนและแยกเฉลิมเผ่า
เพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมใช้เส้นทางดังกล่าว และเปลี่ยนไปใช้เส้นทางถนนพญาไท
แต่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้รื้อแผงกั้นและผลักดันจนสามารถใช้เส้นทางอังรีดูนังต์ได้
จนถึงจังหวะหน้าสถาบันนิติเวชวิทยา
ซึ่งผู้ควบคุมกำลังได้ให้ตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแนวรั้งหน่วงบริเวณนี้
ทำให้มีการเผชิญหน้ากันที่บริเวณนั้น
“เกิดการเผชิญหน้า
ซึ่งต่อมาก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าแนวของ คฝ. ปาเข้ามาในหน้าแนวของ
คฝ. คล้ายๆ ระเบิด ตรงนั้นก็มีสถานการณ์และมีเสียงปืนยิงประมาณ 6-7 นัด แล้วก็มีผู้บาดเจ็บ 2 คน
ซึ่งตรงนี้ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อตรวจพิสูจน์ว่าใครยิงปืน ใครปาระเบิด”
พล.ต.ต. จิรสันต์ กล่าว
พล.ต.ต. จิรสันต์ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า
ในสถานการณ์ที่มีการชุลมุน เมื่อมีการกระทำความผิด การที่จะสรุปว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดและใครเป็นผู้ก่อเหตุ
น่าจะเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลาในการรวบรวมหลักฐาน อย่างไรก็ตาม
จะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
ทั้งนี้ จะมีการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของผู้บาดเจ็บบริเวณไหปลาร้าวันนี้
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์