“รุ้ง
ปนัสยา” อ่านคำแถลงปิดคดี ก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดี
ในวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยว่าคำปราศรัยของ
“รุ้ง-ไมค์-อานนท์” ในวันที่ 10 ส.ค. 63 จะเข้าข่ายการใช้สิทธิเสรีภาพในการล้มล้างการปกครองฯ
หรือไม่? ซึ่งก่อนหน้านี้ทางทนายของพวกเราได้ขอศาลให้มีการไต่สวนผู้ที่เชี่ยวชาญ
แต่ศาลก็ไม่ได้อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าเอกสารที่ทางรัฐให้มาเพียงพอแล้วต่อการที่จะวินิจฉัย
ซึ่งทางเราเองเราก็เลยต้องมาอยู่ตรงนี้ ณ วันนี้ ที่จะฟังคำวินิจฉัยโดยที่ไม่มีการไต่สวนมาก่อน
ซึ่งพอเป็นเช่นนี้แล้ว หนูก็จะขออ่านแถลงปิดคดี ณ ที่ตรงนี้เลยนะคะ
แล้วหลังจากนี้หนูก็จะเข้าไปในศาลเพื่อรอฟังผลการวินิจฉัย
คำแถลงปิดคดีโดย
รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
ข้อ
1 คดีนี้ศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันนี้ แต่เนื่องจากศาลมีคำสั่งไม่ดำเนินการไต่สวน
ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่กระทบต่อสิทธิในการที่จะได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมของผู้ถูกร้อง
ผู้ถูกร้องขอยื่นคำแถลงปิดคดีประกอบในวันนัดฟังคำวินิจฉัย
เพื่อสรุปข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังต่อไปนี้
ผู้ถูกร้องขอเรียนว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2560 มาตรา 49
โดยเจตนารมณ์ของบทบัญญัตินี้มีขึ้นเพื่อเป็นกลไกทางกฎหมายในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ไม่ให้ได้รับอันตรายจากบุคคลที่ใช้สิทธิเสรีภาพไปในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบดังกล่าว
โดยสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และปรากฏตัวในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ 2
ประการ
ประการแรก
เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชนแต่เพียงองค์กรเดียว
โดยในระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้ การใช้อำนาจรัฐต่าง ๆ
ต้องมีการเชื่อมโยงกับประชาชนตั้งแต่ในระดับรัฐธรรมนูญ ประมุขของรัฐ
องค์กรของรัฐที่ใช้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ล้วนแล้วแต่เมื่อสืบย้อนไปเกี่ยวกับที่มาและแหล่งของอำนาจจะต้องเกาะเกี่ยวกับการให้ความยินยอมของประชาชนผ่านการออกเสียงประชามติ
การเลือกตั้ง การแต่งตั้งโดยผู้แทนประชาชน
หรือใช้อำนาจภายใต้กรอบของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยตัวแทนของประชาชน
ทั้งนี้
ถ้าให้การใช้อำนาจในระบอบดังกล่าวเป็นไปโดยชอบธรรม
และมีรากฐานมาจากเจตจำนงของประชาชน ซึ่งหลักการเหล่านี้ปรากฏในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ
ประการที่สอง
เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีรูปของรัฐเป็นราชอาณาจักร
กล่าวคือมีประมุขของรัฐเป็นพระมหากษัตริย์ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งโดยรับสืบทอดทางสายโลหิต
โดยสถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชน
มีความแตกต่างจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
หรือการปกครองในระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะและเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในประเทศ
ใช้พระราชอำนาจที่เกี่ยวกับภารกิจต่าง ๆ ของรัฐได้โดยพระองค์เอง
และมีอำนาจเหนือกว่าองค์กรที่เป็นตัวแทนของประชาชน
แต่สถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการ
พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดไม่ได้ The King can do no wrong ที่ให้พระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของรัฐแต่ไม่ใช่เจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ
โดยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มีในทางนิติการเท่านั้น
เนื่องจากการใช้พระราชอำนาจใด ๆ
ของพระมหากษัตริย์จะต้องอยู่ภายใต้การแนะนำและยินยอมของสถาบันการเมืองที่มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา
ซึ่งจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองและกฎหมายแทนพระมหากษัตริย์ต่อไป ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยและหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้
จึงทำให้พระมหากษัตริย์ดำรงสถานะเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติและเป็นกลางทางการเมือง
โดยหลักการเช่นนี้
ได้ปรากฏบนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562
โดยรูปแบบและการกระทำที่จะถือว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้
ตัวอย่างเช่น
การใช้สิทธิเสรีภาพโดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศจากประชาชนไปเป็นขององค์กรอื่น
การใช้สิทธิเสรีภาพรณรงค์ให้เปลี่ยนระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีประมุขแบบอื่น
หรือการใช้สิทธิเสรีภาพโดยวัตถุประสงค์เพื่อทำให้การเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติไม่สามารถดำเนินการได้
เป็นต้น
ด้วยข้อกฎหมายเช่นนี้
เมื่อพิเคราะห์กับการกระทำของผู้ถูกร้องเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็ไม่ปรากฎว่าผู้ถูกร้องได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2560 มาตรา 34 คุ้มครองไว้
ไม่ได้เผยแพร่ถ้อยคำปราศรัยหรือข้อความคิดใดต่อสาธารณะในลักษณะที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศจากประชาชนไปเป็นบุคคลอื่น
หรือเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงประมุขของรัฐ จากพระมหากษัตริย์ไปเป็นอย่างอื่นอย่างใด
นอกจากนี้
ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้ง 10 ประการ ผู้ถูกร้องได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายให้ธำรงไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์
และรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ให้เข้มแข็งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายและรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับพระราชอำนาจให้สอดคล้องกับหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดไม่ได้
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ข้อเสนอข้อที่
1 การเสนอให้ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญที่ว่าผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้
แล้วเพิ่มบทบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของพระมหากษัตริย์ได้ ข้อเสนอดังกล่าวไม่ขัดต่อระบอบประชาธิปไตยและหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดไม่ได้
เนื่องจากการกระทำของพระมหากษัตริย์ หากกระทำไปภายใต้คำแนะนำและยินยอมของผู้รับสนองพระราชโองการ
ในทางรัฐธรรมนูญก็ไม่มีบุคคลใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้
แต่หากพระมหากษัตริย์กระทำผิดในทางส่วนตัว
ก็ให้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนพิจารณาจัดการตามรัฐธรรมนูญต่อไปได้
ซึ่งหลักการเช่นนี้ได้ปรากฎมาแล้วในปฐมรัฐธรรมนูญของประเทศไทย อย่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม
(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2475 และสภาผู้แทนราษฎรก็เคยวินิจฉัยความหมายของสถานะอันล่วงละเมิดมิได้ของพระมหากษัตริย์ไปในทำนองด้วยกันนี้ด้วย
ปรากฏตามรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 สมัยสามัญ สมัยที่ 1
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2476
ข้อเสนอข้อที่
2 การเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ก็เป็นไปเพื่อส่งเสริมให้เสรีภาพในการแสดงความคิดและการแสดงออก
ซึ่งเป็นเสรีภาพที่จำเป็นที่สุดในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยขยายวงกว้างออกไป
เพื่อให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศสามารถวิพากษ์วิจารณ์องค์กรรัฐทุกองค์กรที่ใช้อำนาจของประชาชนได้
ข้อเสนอข้อที่
3 การเสนอให้ยกเลิกพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561
และให้มีการแบ่งแยกระหว่างทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลังและทรัพย์ส่วนพระองค์ที่เป็นส่วนตัวของพระมหากษัตริย์ให้ชัดเจน
เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐ
อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรรัฐที่มีความเชื่อมกับประชาชนและรับผิดชอบทางการเมือง
รวมถึงการถูกฟ้องคดีตามกฎหมายแทนพระมหากษัตริย์ตามหลักการบริหารทรัพย์สินของรัฐสมัยใหม่
ข้อเสนอข้อที่
4 การเสนอให้ปรับลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้สถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อให้ต้องการให้พระมหากษัตริย์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนในทุกสถานการณ์
อันจะเป็นการเชิดชูสถานะการเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของพระมหากษัตริย์ให้สูงเด่นยิ่งขึ้น
ข้อเสนอข้อที่
5 การเสนอยกเลิกส่วนราชการในพระองค์และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น เช่น
องคมนตรี ก็เป็นเพียงข้อเสนอเรื่องการปรับเปลี่ยนการจัดระเบียบหน่วยงานของรัฐเท่านั้น
ข้อเสนอข้อที่
6 การเสนอให้ยกเลิกการบริจาคและการรับบริจาคโดยพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินของพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมดนั้น
เป็นไปเพื่อความปรารถนาดีต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลใดแอบอ้างหาผลประโยชน์ในการรับบริจาคเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
และเป็นการป้องกันการนำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์มิชอบ
ข้อเสนอข้อที่
7
การเสนอยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะของพระมหากษัตริย์
ก็เป็นข้อเสนอที่ต้องการส่งเสริมให้พระมหากษัตริย์ดำรงสถานะเป็นศูนย์รวมของคนในชาติ
และเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง ไม่มีการแสดงความคิดเห็นใด ๆ
ที่จะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ในทางสาธารณะได้
ข้อเสนอข้อที่
8
เรื่องการยกเลิกประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันแต่เพียงด้านเดียวจนเกินงาม
ก็มิใช่ข้อเสนอที่มุ่งหมายที่มีลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงประมุขของรัฐจากพระมหากษัตริย์เป็นอย่างอื่นแต่อย่างใด
โดยข้อเสนอดังกล่าวมุ่งความปรารถนาดีที่ไม่ต้องการให้บุคคลใช้พระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป
ข้อเสนอข้อที่
9 การเสนอให้สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎรที่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์
ก็เป็นไปด้วยความปรารถนาดีที่ต้องการสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ
ให้สังคมไทย และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากมลทินมัวหมองต่าง ๆ
ข้อเสนอข้อที่
10 การเสนอให้พระมหากษัตริย์ทรงไม่ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหาร
ก็เป็นข้อเสนอที่มีความมุ่งหมายในการธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและรักษาสถานะที่เป็นกลางไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญของพระมหากษัตริย์
ด้วยข้อเท็จจริงและกฎหมายข้างต้น
ผู้ถูกร้องจึงขอเรียนว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้ง
10 ประการ มิได้เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด
แต่กลับกัน การกระทำของผู้ถูกร้องและข้อเสนอทั้งหมดต่างจะช่วงส่งเสริมให้สถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงด้วย
ผู้ถูกร้องจึงของให้ศาลวินิจฉัยยกคำร้องของผู้ร้อง
#ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง #ม็อบ10พฤศจิกา64
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์