คนเดือนตุลารวมตัวร่วมเป็นนายประกันผู้ต้องหาทางการเมือง อ่านแถลงการณ์ของ"ธงชัย วินิจจะกูล" ใฝ่ฝันถึงวันที่ดีกว่า ด้าน 'ชาญวิทย์ เกษตรศิริ' ระบุ ละอายใจถ้าไม่ได้ช่วย ย้ำคนยุคนี้ตื่นตัวเรื่อง 112 มากกว่า 10 ปีก่อน
วันนี้ (3 พ.ย. 64) กลุ่มคนเดือนตุลาเพื่อประชาธิปไตย หรือ OctDem ประกอบด้วยนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินอาวุโส นายสุธรรม แสงปทุม อดีตแกนนำนักศึกษาและผู้ต้องหาคดี 6 ตุลา นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกมนตรี
โดยมีนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความสิทธิมนุษยชนและอดีตผู้นำนักศึกษา 6 ตุลาคม 2519 เป็นผู้ประสานงาน และได้มีการเตรียมหลักทรัพย์ของทางกลุ่มเพื่อมาใช้ในการประกันตัวในวันนี้อีกด้วย
.
ทั้งนี้มีตัวแทนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและแจกแถลงการณ์ "ฝันถึงวันพรุ่งไม่ใช่อาชญากรรม" ต่อสื่อมวลชน
.
ด้านนายแพทย์ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ตัวแทนกลุ่ม OctDem ให้สัมภาษณ์ว่า ความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่ควรจะเป็นเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่คิดเรื่องเป็นความมั่นคงหรือจะต้องจับกุมคุมขัง ซึ่งคนรุ่นใหม่บางคนติดคุกหลาย 10 ปี ถือว่าเป็นการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
.
ขณะที่นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า การมาเป็นนายประกันให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ถือเป็นความจำเป็นทางใจ เพราะในเมื่อลูกศิษย์ดำเนินการในนี้หรือผลักดันการแก้ไขยกเลิกมาตรา 112 มาถึงขั้นนี้ได้ หากตนและคนอื่นๆเฉยๆจะถือเป็นสิ่งที่น่าละอายโดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นอาจารย์ ซึ่งอายุมากแล้ว จะอยู่ได้นานแค่ไหน จึงไม่จำเป็นจะต้องคิดมากที่จะต้องมาประกันตัวลูกศิษย์ และเห็นว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าคนเหล่านี้ที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ ถ้ารักษาชีวิตและหลักการเอาไว้ได้ ก็จะเป็นผู้นำของประเทศชาติ
.
ฉะนั้นในแง่ของหลักนิติธรรมหลักนิติรัฐ จึงต้องการให้ฝ่ายตุลาการผู้พิพากษาเคารพต่อหลักการนี้ ซึ่งคณะนิติศาสตร์ของทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ก็สอนไว้อย่างนี้ ดังนั้น ส่วนตัวหรือความจำเป็นที่จะต้องยึดหลักนิติรัฐนิติธรรมให้เป็นที่ประจักษ์สังคมไทยโดยรวม
.
ศาสตราจารย์ชาญวิทย์ ระบุด้วยว่า จุดยืนของตนและคนอื่นๆต่อมาตรา 112 เคยมีการขับเคลื่อนมาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน แต่การผลักดันในรัฐสภาไม่คืบหน้า แม้สามารถรวบรวมรายชื่อบุคคลได้กว่า 20,000 รายชื่อก็ตาม จึงเห็นว่าการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในห้วงนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน คือเยาวชนคนหนุ่มสาวยุคปัจจุบันตื่นตัวมากกว่าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นความประทับใจและความเศร้าใจคือ ที่คนเหล่านั้น จะต้องถูกจับกุมคุมขังอยู่ในคุกโดยขัดกับหลักนิติรัฐนิติธรรมเป็นเวลานาน
.
ทั้งนี้ได้มีการอ่านคำแถลงของกลุ่มคนเดือนตุลาฝ่ายประชาธิปไตย ที่เขียนโดย นายธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นอดีตแกนนำนักศึกษาและผู้ต้องหาคดี 6 ตุลา 2519
.
โดยคำแถลงระบุดังนี้ หรือความเป็นไทยคือการหลงยึดติดอดีตจนพร้อมจะขับไล่ไสส่งคนที่ใฝ่ฝันถึงวันที่ดีกว่าให้ออกไปพ้นสังคมไทย
.
ความไม่ลงรอยกันของความฝันคนละชนิดเป็นธรรมดาของทุกสังคม แต่ผู้ทรงอำนาจของไทยมักกล่าวหาคนที่ปรารถนาวันพรุ่งที่ดีกว่า ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกหาว่าเป็นคนที่เพี้ยน ถูกส่งเข้าคุก 17 ปีอย่างเทียนวรรณ หรือเข้าโรงเลี้ยงคนบ้าอย่าง ก.ศ.ร. กุหลาบถูกจับเป็นกบฏ อย่างคณะ ร.ศ. 130 ถูกตามล้างทำลายชั่วชีวิตชั่วลูกหลานอย่างผู้นำคณะราษฎร หรือถูกดับชีวิตเพื่อกำราบให้หยุดฝันอย่างเพื่อนของเราเมื่อ 6 ตุลา
.
รัฐไทยไม่เรียนรู้สักทีว่าความใฝ่ฝันถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เป็นปกติวิสัยของคนทุกยุคสมัย ไม่มีทางหยุดยั้งได้เพราะเป็นธรรมดามนุษย์ แทนที่จะถกเถียงต่อสู้กันทางความคิดอย่างอารยชน กลับทำร้ายอย่างป่าเถื่อนและกำราบปราบปรามด้วยกฎหมายอย่างอยุติธรรม ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรมีใครถูกทำร้าย สละชีวิต หรือสูญเสียเสรีภาพแม้แต่คนเดียว เพียงเพราะต่อสู้เพื่อความฝันของเขาอย่างสันติ
.
รัฐยังคงกระทำผิดเช่นเดิม ๆ กับเยาวชนคนหนุ่มสาว ณ วันนี้ ทั้ง ๆ ที่การประกาศฝันถึงวันพรุ่ง ไม่ใช่อาชญากรรม เมื่อคราวพวกเราอายุเพียงประมาณ 20 ปี เราใฝ่ฝันถึงสังคมนิยมจึงถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน เพื่อนเราหลายพันคนถูกผลักไสไปสู่ป่าเขา พวกเรา 18 คนถูกจับเข้าคุกโดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ และห้ามประกันตัวอยู่เกือบหนึ่งปีครั้นคดีความขึ้นศาลทหารเพียงอีกปีเดียวก็พิสูจน์ว่าเราคือผู้บริสุทธิ์ แต่ผู้เข่นฆ่าในนามของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์กลับลอยนวลพ้นผิดไปเช่นเคย
เรารู้ดีว่าการติดคุก เพราะประเทศนี้ ห้ามผู้คนคิดฝันนั้น ก่อให้เกิดแผลบาดลึกขนาดไหนต่อผู้คนทั้งสังคม เราจึงขอให้ผู้ทรงอำนาจในกระบวนการยุติธรรมโปรดตระหนักว่า ท่านมีโอกาสที่จะยุติความโหดร้ายป่าเถื่อนลงเสียที แล้วช่วยกันประคับประคองให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างสันติและเจ็บปวดน้อยกว่านี้
.
ผู้ทรงอำนาจในทุกสถาบันหลักและในกระบวนการยุติธรรมควรมีสายตากว้างไกล อำนวยให้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีผู้ถูกทำร้ายในนามของความยุติธรรมปลอม ๆ อีกต่อไป
.
ไม่ควรทิ้งหลักการเพียงเพื่อตอบสนองความหลงว่าตัวเองสูงส่ง หลงยึดมั่นในอำนาจ หรือเพราะความหวาดกลัว หาไม่แล้วความยุติธรรมบนแผ่นดินนี้ก็จบสิ้น เราจึงเรียกร้องต่อผู้ทรงอำนาจในสถาบันหลักของรัฐและในกระบวนการยุติธรรม โปรดอย่าทำผิดพลาดเช่นที่เคยทำมาอีกเลย เพราะผู้คนกำลังจะสิ้นความเคารพเชื่อถือในทุกสถาบันจนสุดจะกอบกู้ได้อีกต่อไป
.
คนหนุ่มสาวในขณะนี้ไม่ได้ต้องการโค่นล้มสถาบันหลักใด ๆ เขาป่าวประกาศความฝันว่าทุกสถาบันต้องปรับตัว เขาวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเพื่ออนาคตของคนทั้งประเทศ แต่ความซื่อตรงไม่มีสอพลอ กลับกลายเป็นการดูหมิ่น เป็นอาชญากรรมในสายตาของคนเขลาและคนหน้าไหว้หลังหลอกที่โหนเจ้าหาอำนาจ
.
คนหนุ่มสาวที่ถูกกุมขังไม่ได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยซ้ำไป เขาขอเพียงสิทธิประกันตัวด้วยถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามที่รับรองโดยรัฐธรรมนูญ เขาขอเพียงได้ต่อสู้คดีอย่างยุติธรรม
.
เพื่อยืนยันว่าการประกาศฝันถึงวันพรุ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่อาชญากรรม ใครที่ถือว่าความฝันของคนหนุ่มสาวเป็นภัยต่อความมั่นคง เท่ากับเขายอมรับว่าสถาบันหลักของไทยง่อนแง่นเต็มที แต่แทนที่จะปลูกศรัทธาให้กลับมาใหม่ กลับใช้อำนาจและกฎหมายเข้าปราบปรามอย่างป่าเถื่อน
.
ดังนั้นหากยังทำเช่นนี้ต่อไปอีก ประวัติศาสตร์จะจารึกว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีส่วนสำคัญในอัตวินิบาตกรรมของสถาบันนั้น
.
อย่าให้ผู้คนโจษขานว่าตุลาการไทยไร้หลักกฎหมาย รับใช้อำนาจอยุติธรรมอย่างไร้อิสระ ไร้ศักดิ์ศรี และไร้น้ำยา เป็นแค่เครื่องใช้ไม้สอยของอำนาจไว้บังคับให้ราษฎรหมอบคลาน เป็นผู้ใหญ่ที่โหดร้ายรังแกเด็ก
.
ถ้าหากยังปฏิเสธสิทธิการประกันตัวของคนหนุ่มสาวเหล่านั้น โปรดระวังให้ดีว่าพวกเขาจะออกมาจากคุกในเร็ววันพร้อม ๆ กับการพังทลายของสถาบันหลักทั้งหลาย เพราะผู้คนสิ้นศรัทธากับสถาบันเหล่านั้นและกระบวนการยุติธรรม
.
เพราะคนที่มิใช่ทาสมีธรรมชาติต้องยืนตัวตรง ความอดทนของเขาต่อการถูกบังคับให้หมอบคลานใกล้จะหมดแล้ว และถ้าจะเป็นเช่นนั้น อย่าโทษคนหนุ่มสาวว่ากระทำผิดซ้ำซาก เพราะผู้มีอำนาจเองต่างหากที่ดื้อรั้นกระทำผิดซ้ำซากอย่างไม่น่าเชื่อว่าท่านผู้ทรงเกียรติจะคิดสั้น ๆ และใจมืดบอดถึงเพียงนั้น
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ปล่อยผู้ต้องหาทางการเมือง