‘ปดิพัทธ์’ ชี้แจงข้อกฎหมาย ยันผู้ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
สามารถเสนอชื่อโหวตเป็นนายกฯ ได้ มั่นใจ 8 พรรคร่วมรักษาเจตจำนง
จัดตั้งรัฐบาลของประชาชนสำเร็จ
วันนี้
(14 มิ.ย. 66) ปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ ส.ส.พิษณุโลก
เขต 1 พรรคก้าวไกล ชี้แจงกรณีวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
ตอบคำถามสื่อมวลชนระบุผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
หากอยู่ระหว่างถูกฟ้องร้องมีคดีความ และมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ถ้าศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะไม่สามารถเสนอชื่อผู้นั้นเป็นนายกฯ ได้ โดยอ้างกรณีธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อปี 2562
ปดิพัทธ์
กล่าวว่า วิษณุคงเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อน ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงบ่อย
ตัวบทกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยตนขอชี้แจงเป็นรายประเด็นรวม 3 ประเด็น
เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร
ประเด็นที่หนึ่ง
หากมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ
ว่าสิ้นสมาชิกภาพไปแล้วหรือไม่ ซึ่งสำหรับพรรคก้าวไกล ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ
คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ที่ปัจจุบันกำลังถูกบรรดานักร้องทางการเมือง
ร้องเรียนกรณีการถือหุ้นไอทีวี เข้าข่ายถือหุ้นสื่อ
เป็นลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3)
ตนมั่นใจว่าพิธาสามารถชี้แจงกรณีหุ้นสื่อไอทีวีได้
และเดินหน้าตามกระบวนการสู่การเป็นนายกฯ ตามความคาดหวังของประชาชน
แต่หากเรื่องนี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ
และศาลเห็นควรให้มีการหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
ก็เป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการเป็น ส.ส. เท่านั้น แต่โดยคุณสมบัติ
พิธายังคงเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นคนละตำแหน่งและคนละกรณี
จึงย่อมไม่ส่งผลทางกฎหมายต่อการเสนอชื่อพิธาต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกฯ
ดังนั้น
ความเห็นของวิษณุที่ว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
จะไม่สามารถเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ จึงไม่ถูกต้อง
กรณีเคยเกิดขึ้นแล้วกับธนาธรเมื่อปี
2562 ครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
ขณะนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 และมีการอ่านคำสั่งในวันแรกของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกประธานและรองประธานสภาฯ
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ต่อมามีการนัดประชุมรัฐสภาในวันที่
5 มิถุนายน 2562 เพื่อลงมติเลือกนายกฯ
ขณะนั้นมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ธนาธร ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ
ซึ่งไม่ได้มีปัญหาทางกฎหมายใดๆ โดยผลการลงมติของรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์
ชนะจนได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ
ดังนั้น
ที่วิษณุกล่าวว่ากรณีธนาธร “โหวตเลือกนายกฯ ไปแล้ว 2 วัน จึงถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
2 สมัย” นั้น น่าจะเป็นการจดจำช่วงเวลาคลาดเคลื่อน
ประเด็นที่สอง
กรณีการเข้าชื่อตรวจสอบสมาชิกภาพ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ที่วิษณุระบุว่า
“ถ้าฝั่ง ส.ว. จะยื่นก็ใช้ 25 คน” นั้น
เมื่อกลับไปดูมาตราดังกล่าว
เห็นได้ชัดเจนว่ากำหนดให้ ส.ส. ‘หรือ’ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ
‘แต่ละสภา’ มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก
ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่ง ‘แห่งสภานั้น’ สิ้นสุดลง
หมายความว่า
ให้สมาชิกของแต่ละสภาสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกของสภาเดียวกัน
เช่น ส.ส. เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ส. หรือ ส.ว. เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ว.
จึงไม่ได้หมายความว่าให้ ส.ส. เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ว. หรือ ส.ว.
เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ส. ตามที่วิษณุระบุ
ดังนั้น
เมื่อพิธาเป็น ส.ส. จะให้ ส.ว.
เข้าชื่อเพื่อมาตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของพิธา ที่เป็น ส.ส.
ตามที่วิษณุกล่าว ก็ดูเป็นความเข้าใจรัฐธรรมนูญผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป
ประเด็นที่สาม
ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวว่า กรณีผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
มีขั้นตอนกฎหมายใดที่ขัดขวางไม่ให้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่ และวิษณุระบุว่า
“ปกติการแต่งตั้งตำแหน่งใดก็ตาม เป็นพระราชอำนาจ กรณีแต่งตั้งข้าราชการประจำ
ผู้พิพากษาอัยการอธิบดี หรือแม้แต่ขอประธานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ได้มีข้อตกลงกับสำนักพระราชวังมา 2-3 ปีแล้วว่าให้เข้มงวดกวดขัน
ถ้ามี ก็ให้กราบบังคมทูลขึ้นไปว่า มีเหตุแบบนี้อยู่ แล้วจะโปรดเกล้าฯ อย่างไร
ก็แล้วแต่” โดยในกรณีโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ
ผู้ที่รับผิดชอบคือประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ตนเห็นว่าการให้ความเห็นของวิษณุแบบนี้
แม้เป็นความพยายามอธิบายกระบวนการที่ทำกันมา แต่ต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งอื่นๆ
ที่ยกตัวอย่างคือข้าราชการประจำ
ต่างจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายการเมืองโดยแท้และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
การยกมาเปรียบเทียบแบบนี้ จะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระทบต่อพระราชสถานะทรงดำรงความเป็นกลางทางการเมืองและศูนย์รวมจิตใจ
ในเมื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
เป็นผู้มีอำนาจและต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว วิษณุก็ไม่ควรอ้างถึงพระมหากษัตริย์
ซึ่งถ้าตนเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ตนพร้อมรับผิดชอบ
ปดิพัทธ์
กล่าวต่อว่า ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
รัฐบาลเดิมควรส่งมอบงานให้ว่าที่รัฐบาลใหม่
ตนพูดเช่นนี้ไม่ได้ต้องการละลาบละล้วงหรือล่วงเกินใคร
แต่ต้องการร่วมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่ผู้ได้รับมอบความไว้วางใจจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง
จะได้รับส่งมอบงานเพื่อเตรียมความพร้อมเป็นรัฐบาล ทำงานรับใช้ประชาชนต่อไป
“ส่วนการให้ความเห็นของอาจารย์วิษณุ ไม่ทราบว่าให้ความเห็นในฐานะอะไร
ถ้าในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ก็คงจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเท่าใดนัก
เพราะประชาชนจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าอาจารย์วิษณุในฐานะรองนายกรัฐมนตรีกำลังชี้นำใครหรือองค์กรใดอยู่หรือไม่
แต่ถ้าพูดในฐานะนักวิชาการ อดีตอาจารย์สอนกฎหมาย ก็คงห้ามปรามกันไม่ได้
เพราะเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่ง” ปดิพัทธ์กล่าว
ปดิพัทธ์
ทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ตาม ตนมั่นใจว่าจะไม่มีใครหรือองค์กรใด
สามารถขัดขวางเจตจำนงของประชาชนที่มอบความไว้วางใจให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคกว่า
27 ล้านเสียง
ซึ่งจะเป็นพลังให้มุ่งหน้าสู่การจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนจนสำเร็จ
เพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยและเพื่อส่งมอบนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน