ธิดา
ถาวรเศรษฐ : นายกฯ
ประยุทธ์...ถอยจริงหรือ?
22 ต.ค. 63 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
ได้กล่าวในการทำเฟสบุ๊คไลฟ์ทางแฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ และทางยูทูปไลฟ์ ช่อง UDD news Thailand โดยกล่าวว่า
หลายคนอาจจะยังไม่หายเหนื่อยกับการติดตามสถานการณ์ชุมนุมที่บ้าน
ไม่ว่าจะมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อวานนี้ (21 ต.ค.) หรือบางส่วนก็อาจจะไปร่วมชุมนุม
แต่ว่าคนที่ติดตามในนั้นก็จะมีคนทุกรูปแบบที่มีความคิดแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามช่วงที่มีการติดตามนั้น
เนื่องจากมีในขณะนั้นเองก็มีแถลงการณ์จากนายกรัฐมนตรีออกมา ดังนั้น ดิฉันก็อยากจะพูดในประเด็นที่ว่า
นายกฯ ประยุทธ์...ถอยจริงหรือ?
คือเวลาอารมณ์ที่ท่านออกมาในขณะนั้นม็อบกำลังเดินทางไปที่ทำเนียบ
ท่านอาจจะเตรียมมาก่อนก็ได้ แต่ท่านรู้ว่าจะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์
ท่านอาจจะไม่แน่ใจคาดไม่ได้ว่าบิ๊กเซอร์ไพรส์จะเป็นอย่างไร แต่ก็คงไม่น้อย
เพราะว่าภาพที่ท่านเห็นการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สี่แยกเกษตร
รวมทั้งมีม็อบเกิดขึ้นในทุกสถานที่ ในรั้วมหาวิทยาลัยและในจังหวัดต่าง ๆ
เป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็น
และเป็นม็อบที่ไม่เหมือนม็อบเก่า ๆ เป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้
ตัวนายกฯ ประยุทธ์ที่ออกมาพูดขณะนั้นม็อบอยู่ในลักษณะ "เชิงรุก" และรุกมามาก สิ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนก็คือ การออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างร้ายแรงซ้อนขึ้นมาจาก
พ.ร.ก.ฉุกเฉินเดิมที่มีอยู่ แสดงว่ามันไม่ได้ผล นั่นก็คือประชาชนออกมานับแสนคน
ถ้ารวมแล้วปฏิกิริยาต่อต้านของประชาชนในแต่ละวัน ถ้าเรารวมทุกที่ ดิฉันว่านับล้านคน
และที่สำคัญก็คือเป็นเยาวชนคนหนุ่มสาว อันนี้แตกต่างจากวันที่ 19 ก.ย. ที่สนามหลวง
ซึ่งจะมีประชาชนอยู่อาจจะครึ่ง ๆ แต่ว่าตอนนี้เราจะเป็นว่าเป็นเยาวชน 80-90%
มันมีลักษณะแตกต่าง มันมีพลานุภาพมาก
เพราะฉะนั้นเวลาที่นายกฯ ออกมาพูด
ที่ดิฉันพูดมาทั้งหมดแปลว่าอยู่ในสภาพกดดัน คืออยู่ดี ๆ ก็ไม่พูดหรอก
แต่พอออกมาพูดก็แปลว่าตัวเองกำลังเจอกับการกดดันซึ่งน่ากลัว ทำนายไม่ได้
และเป็นอะไรที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมไม่เคยเจอแบบนี้ในอดีต
แม้ตัวเองจะมีอำนาจทุกอย่างในการออกกฎหมาย บังคับใช้กฎหมาย ใช้กำลังติดอาวุธ
กึ่งติดอาวุธ หรือกำลังกดดันทางกายภาพ
การกดดันของเยาวชน-ประชาชนเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวนะในทัศนะของดิฉันว่ามันเป็นอะไรที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมรับมือยากกับความเข้มแข็งของเขา
ซึ่งเขาไม่มีอะไรเลย ความอ่อนเยาว์ของวัย ความบริสุทธิ์ใจ และการที่ “คนที่ไม่มีอะไร”
สู้กับ “คนที่มีทุกอย่าง” ในสายตาชาวโลก ลองคิดดูซิว่าเรื่องนี้มันสะท้อนอะไร
คือเป็นการต่อสู้ที่ไม่สมกันเลย ยิ่งกว่าผู้ใหญ่รังแกเด็กนะ
ดังนั้นจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว! เมื่อคนที่มีทุกอย่างสู้กับคนที่ไม่มีอะไรเลย
มีแต่จิตใจที่บริสุทธิ์และความอ่อนเยาว์ของเขา
นี่แหละจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลายคนอาจจะคิดว่ามันต้องพ่ายแพ้!
ไม่ใช่นะคะ ในทัศนะดิฉัน นี่แหละ...ชนะ!!!
ยิ่งคุณใช้กำลัง
ไม่ว่าทางกฎหมายหรือใช้อาวุธมาจัดการกับคนที่ไม่มีอะไรเลย คุณจบเห่เลย!
อย่างที่เขาบอกว่าใช้น้ำฉีดมันธรรมดา
แน่นอนว่ากับคนเสื้อแดงคุณยิงเปรี้ยง ๆ ๆ กระสุนยางเริ่มต้นแต่จากนั้นก็เป็นกระสุนจริงหมดเลย ยิงจากที่สูงด้วย ไม่ได้ใช้น้ำอะไรเลย
สำหรับคนเสื้อแดงก็ต้องยอมรับว่าอาภัพมากคือถูกกระทำ
แต่ว่ามีความพร่ามัวของสายตาของสังคมที่มาบดบัง
ทำให้ได้รับความเห็นใจจากสังคมอาจจะน้อยไปสักหน่อย นอกจากนั้นก็มีข่าวสารปลอมที่มาปฏิบัติการ
IO ที่ทำให้คนไม่เข้าใจความจริง
แต่ในทัศนะดิฉัน ยิ่งคุณมีกำลังเท่าไหร่
ยิ่งคุณเข้มแข็งเท่าไหร่ แล้วคู่ต่อสู้คุณไม่มีกำลังเลย
นี่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด!
แล้วเมื่อคุณบอกว่าถอย ออกมาบอกว่าจะถอน
(พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างร้ายแรง) คือ ถอน หรือ ไม่ถอน ไม่ใช่การถอยนะ
คุณถูกทำให้ถอยเพราะว่าคุณออก พ.ร.ก. มา เขาก็ไม่สนใจ
นั่นแปลว่าเยาวชนและประชาชนไม่ยอมรับการปกครอง ไม่ยอมรับกฎหมายที่คุณออกมา
เพราะฉะนั้นคุณถอนอย่าคิดว่ามันเป็นการถอยและเป็นบุญคุณนะ
ไม่ใช่คุณถอยเองค่ะ ประชาชนทำให้คุณถอย
เพราะว่าอย่างไรเสียก็บังคับไม่ได้!
คุณบังคับประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้
แต่คุณไปเที่ยวจับแกนนำ นี่แหละคุณกำลังสร้างความน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่ตามมา
คำถามที่เราตั้งว่าก็คือ นายกฯ
ประยุทธ์...ถอยจริงหรือ?
ในประเด็นการถอนพ.ร.ก.
ดิฉันคิดว่ามันไม่ใช่การถอย เป็นการถูกบังคับให้ยกเลิก
ดิฉันไม่แน่ใจว่าศาลแพ่งที่ตัดสินตอนนี้จะตัดสินให้เป็นอย่างไร
แต่สมมุติศาลติดสินว่าการออกพ.ร.ก.ไม่ถูก เขาก็บอกว่า ผมบอกแล้วนี่ว่าผมจะถอย
แล้วผมจะถอนพ.ร.ก.นี้
ดังนั้นนอกจากถูกบังคับด้วยประชาชนไม่ยอมรับ
ยังถูกบังคับด้วยอาจจะมีคำตัดสินของศาลก็ได้ ในทัศนะดิฉันข้อนี้ไม่ใช่การถอย
อย่าเอามาอ้างว่าผมถอยแล้วทำไมคุณไม่ถอย
อันที่สองที่บอกว่าการเปิดให้มีเวทีรัฐสภา
ในทัศนะของดิฉันก็คือ มันยังไม่ใช่เป็นการยอมแก้ มันไม่ได้หมายความว่าที่ประชาชนและเยาวชนเรียกร้องว่าให้แก้รัฐธรรมนูญตามแบบของประชาชน
นั่นก็คือเขียนใหม่ทั้งฉบับ ทุกมาตรา แล้วก็ใช้ สสร. ไม่ใช่ใช้สสร.เป็นมือแค่ยกมือแล้วตั้งกรรมการมาร่าง
แต่สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นคนตั้งกรรมการในการร่างรัฐธรรมนูญเอง
ไม่ใช่รัฐบาลนี้ตั้ง ไม่ใช่กระทั่งสภาตั้งด้วยซ้ำ
ซึ่งจริง ๆ
อันนี้มันตรงกับที่นปช.เคยยื่นมาตั้งแต่ปี 55 เราทำแบบนี้แหละ
แต่ว่าตอนนั้นพรรครัฐบาล (เพื่อไทย) เขาคิดอีกแบบหนึ่ง แต่สสร.มีลักษณะยกมือ
คือมีกรรมการร่าง เราไม่เห็นด้วย ที่เราเสนอเป็นแบบเดียวกับ iLaw
และที่ประชาชนทำทุกวันนี้
ดิฉันมองว่าการเปิด
ซึ่งเจตนาของส.ส.เดิมเขาเปิดเพื่อบีบให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง
แต่นี่คุณยกเลิกไปแล้ว ทีนี้จะทำอะไร ถามว่าเขาจะมาพูดเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญและแก้แบบประชาชนได้หรือไม่
ดิฉันคิดว่าข้อนี้คุณโยน คุณเพียงแต่ว่าเปิด นี่ก็ไม่ใช่การถอย
เพราะดิฉันก็ยังไม่เชื่อว่าวุฒิสมาชิกจะยอม ถ้าคุณออกมาเอง
เอาเนื้อหาของฉบับประชาชน แล้วรัฐบาลเสนอร่างตัวนี้เข้าสภาเลย
อย่างนั้นยังจะพอเรียกได้ว่าถอยบ้าง
แต่คุณเปิดเฉย ๆ
ในทัศนะดิฉันไม่เรียกว่าถอย แล้วดิฉันก็ยังไม่เชื่อว่าวุฒิสมาชิกจะยอม
แม้กระทั่งตามร่างของพรรคพปชร.เอง หรือพรรคฝ่ายค้านเอง อาจจะไม่ยอม
เพราะว่าการให้อำนาจส.ว.และการแต่งตั้งส.ว. มันเป็นเรื่องผลประโยชน์และแนวคิดจารีตนิยมอำนาจนิยมของส.ว.เอง
เป็นกลุ่มสุดโต่ง
ดังนั้นกลุ่มสุดโต่งตัวนี้จะยอมยกมือแก้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลต้องมีคำสั่งจริง
ๆ ซึ่งขณะนี้ดิฉันยังไม่เชื่อ
ดังนั้นดิฉันยังไม่คิดว่านี่เป็นการถอยโดยการเปิดรัฐสภา
อันที่สามที่สำคัญ เขาบอกว่าให้ลาออกไปใน
3 วัน มันเป็นไปได้เหรอ? ถ้าลาออกจริงนะ ดิฉันจะมาทำเฟสบุ๊คไลฟ์บอกว่า “อ๋อ...ถอยค่ะ”
แต่ตอนนี้ไม่มีเรื่องลาออก ไม่เชื่อหรอกว่าถอย สิ่งที่คุณจะออกมาบอกว่าแล้วใครจะมาทำ?
เมื่อวานนี้ดิฉันได้พบกับอดีตนายทหารรุ่นหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นฉูดฉาดผาดโผน
เขายิงคำถามสุดท้ายกับดิฉัน แล้วเขาคิดว่าคงเป็นคำถามเด็ดที่ดิฉันจะตอบไม่ได้
เขาบอกว่า ถ้าไม่เอาประยุทธ์แล้วจะเอาใคร?
ดิฉันบอกว่านี่เป็นวิธีคิดและวิธีถามที่ไม่อาจเรียกได้ว่าก้าวหน้า
วิธีคิดของคนที่ก้าวหน้านั้นก็คือไม่ยึดติดกับบุคคล ดิฉันจะไม่พูดหรอกว่านายกฯ
เลวตรงไหนหรืออะไร ปล่อยให้คนอื่นเขาพูด
เพราะดิฉันเห็นเขาสรรเสริญอยู่ทุกวันวันละหลายรอบ
แต่ดิฉันบอกเขาไปบอกว่าเรายึดหลักการ เราไม่สนใจบุคคล
ขอให้ระบอบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมีเสถียรภาพ
นักธุรกิจเขาจะได้ทำงานได้ ธุรกิจจะได้เติบโตได้
ทหารก็จะเป็นทหารอาชีพ
เยาวชนก็จะได้มีอนาคต
แข่งขันกับคนทั่วโลกได้
มันไม่ใช่เป็นแบบอย่างนี้
ทำไมคุณจะต้องมาบอกว่าถ้าไม่มีประยุทธ์แล้วประเทศไทยต้องพังพินาศ
ดิฉันเชื่อว่านายกฯ ประยุทธ์จะต้องออกมาบอกว่าไม่มีผมแล้วใครจะทำ
เพราะฉะนั้นดิฉันไม่เชื่อว่าถอยจริง!
สุดท้าย
สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าไม่ถอยเลยก็คือการใช้กฎหมาย
คุณไม่มีเลยที่คุณจะสั่งให้งดการคุกคามเด็ก แน่นอนคุณอาจจะไม่ได้ใช้รถฉีดน้ำ เพราะไม่รู้จะใช้ได้ยังไง
ใช้ก็โดนด่า แล้วก็ใช้ไม่ทันเพราะไม่รู้ว่าเด็กเขาไปทางไหน ยังไม่ชัดเจนในเรื่องการใช้กำลัง
แต่ที่ชัดเจนคือการใช้กฎหมาย
คุณไปจับน้องมายด์ (ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล) ในเวลากลางคืน ทั้ง ๆ
ที่น้องมายด์เขาช่วยพวกคุณนะ ตอนที่ม็อบมาถึงจุดนั้น (ทำเนียบ)
แล้วมันต้องมีใครสักคนช่วย
1) ช่วยให้ความปลอดภัยกับนายตำรวจและคนที่มารับ
นั่นต้องแปลว่าเป็นคนที่น่าเชื่อถือระดับหนึ่งที่ทำให้ม็อบหยุดได้
2) ต้องให้คำตอบที่น่าเชื่อถือ
ม็อบจะได้ยุติและเลิกได้ สร้างม็อบก็ว่ายากนะ แต่ตอนที่จะให้ม็อบยุตินี่มันยากกว่า
ดิฉันจะบอกให้
ดังนั้นนี่เขาช่วยคุณแต่คุณไปจับเขา
ดิฉันนั่งมองแล้วยังขอบใจ แต่ดิฉันก็รู้ในใจว่าน้องมายด์นี่เสี่ยง
แต่ภาพที่เห็นดิฉันเข้าใจว่าเขาต้องการให้มันราบรื่นด้วยดี ดังนั้นที่บอกว่าถอย
ไม่เชื่อเลย ไม่มีอะไรสักอย่างที่บอกว่าถอย จับเอา ๆ
คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณกำลังจะสร้างสิ่งที่...ถ้าใช้สำนวนของเสนีย์ เสาวพงศ์
คือคุณกำลังจะสร้าง “ปีศาจ” ขึ้นมา
“ปีศาจ” นั้นก็คือความน่ากลัวที่คุณถือประชาชนเป็นปีศาจ
ที่เขาพูดกันทุกวันว่า “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
แล้วคุณคิดว่านี่คือ “ปีศาจ”
นี่แหละคุณยิ่งจับคุณจะยิ่งสร้างปีศาจที่คุณกลัวขนาดใหญ่ขึ้นมา
ดิฉันสรุปได้ว่าคุณไม่ถอยเลย คุณไม่ตระหนักว่าน้องมายด์เขาไปช่วยนะ ทำให้ทุกอย่างมันราบรื่น แล้วไม่รู้จะจับใครอีก เขาเป็นเยาวชนที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น ในทัศนะดิฉันคุณยังไม่ได้ถอยเลย เพราะฉะนั้นอย่าพูดว่าถอยคนละก้าว แต่ว่ายิ่งคุณทำ คุณอย่าคิดว่าคุณจัดการได้เหมือนคนรุ่นก่อนนะ นี่ไม่ใช่แล้ว คนรุ่นใหม่ ปีศาจที่มันมีเทคโนโลยี มันน่ากลัวกว่าปีศาจแบบเก่านะคะ อ.ธิดากล่าวในที่สุด