เพนกวินฝากทนายมาบอกว่า
“คุกไม่อาจทำลายกระดูกสันหลังและความเป็นคนได้” / พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีอะไรเหลือให้ประชาชนเชื่อมั่นอีกแล้ว!
ยูดีดีนิวส์ : 30 ต.ค. 63 เล่าข่าวหน้าเรือนจำฯ กับ อ.ธิดา ผ่านการทำ Facebook Live ที่แฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ และ Youtube Live ช่อง UDD news Thailand เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 63 เริ่มการสนทนาโดย อ.ธิดา เล่าว่า เท่าที่ทราบแดน 1 ก็จะมีคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข และเอกชัย หงส์กังวาน ส่วนแดน 2 (แดนเดียวกับณัฐวุฒิ) ก็จะมี เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์, ทนายอานนท์ นำภา, ไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก และ “เพนกวิน” ฝากข้อความผ่านทนายมาว่า “คุกไม่อาจทำลายกระดูกสันหลังและความเป็นคนได้”
อ.ธิดา อธิบายความว่า เยาวชนที่อยู่ในเรือนจำเหล่านี้ยังแข็งแกร่ง และต้องการสื่อสารมายังพี่น้องว่า “ไม่ต้องห่วง” นอกจากนี้ยังสื่อสารถึงฝั่งที่จับตัวเขา ที่มองประชาชนและเยาวชนอย่างเขาเป็นศัตรูว่า แม้นคิดว่าจะจำกัดอิสระภาพและทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากอย่างไรก็ตาม แต่ไม่อาจทำลายความเป็นคน ไม่อาจทำลายกระดูกสันหลัง คือเขาไม่อาจ “งอ” หรือ “ก้มหัว” ให้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้!
อ.ธิดากล่าวว่า สำหรับคุณณัฐวุฒิ ดิฉันก็ทำหน้าที่เป็นผู้เล่าข่าวจากข้างนอกให้ฟัง แน่นอนก็มีผู้ที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำแล้วได้ออกไป ก็ไปพูดนอกเรือนจำบ้าง ส่วนหนึ่งก็ขอบคุณณัฐวุฒิที่ดูแลเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันเราก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า ม็อบที่เกิดขึ้นตอนนี้มันแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง ทั้งวิธีคิด วิธีทำงาน และการนำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝั่งจารีตนิยมและอำนาจนิยมยังไม่เข้าใจ
ยังใช้วิธีเดิมคือเอาม็อบมาเผชิญม็อบ แล้วโจมตีว่าม็อบเหล่านี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง เช่น มีพรรคการเมืองมาชี้นำ และกลายเป็นเรื่องต่างชาติเข้ามาหนุนหลัง ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขัน คือนอกจากตัวเองไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแบบที่เยาวชนเขาปรับตัวแล้ว ยังใช้วิธีคิด วิธีทำงาน แบบเดิม อ.ธิดากล่าว
ดังนั้นจึงมีคนแบบเดิมเช่น คุณสนธิ ออกมาพูดเป็นทำนองว่าขณะนี้เงื่อนไขของการรัฐประหารซึ่งเขาใช้คำพูดว่า “ปฏิวัติ” อ.ธิดากล่าวว่า พวกนี้สับสนกับคำว่า Revolution คำว่า “ปฏิวัติ” นั้นใช้ไม่ได้กับจารีตนิยม อำนาจนิยม ใช้คำว่ารัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชนเท่านั้น
อ.ธิดาอธิบายว่า Revolution นั้นเขาหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองที่ก้าวหน้า แต่ว่าคุณสนธิก็เอามาใช้ประมาณชี้นำ ก่อนหน้านั้นที่ต้องการให้มีการใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 แล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 ปฏิเสธมาแล้ว (คือคืนอำนาจให้พระเจ้าอยู่หัว แล้วเป็นคนตั้งรัฐบาล อะไรประมาณนั้น) แต่คุณสนธิวันนี้ก็ยังคิดแบบเดิม กลุ่มรัฐบาลและอำนาจนิยมทั้งหลายก็คิดแบบเดิม
โลกมันเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน เยาวชนลูกหลายที่ออกมาเขาก็เปลี่ยน วิธีคิด วิธีทำงาน ไม่เหมือนเดิม แต่ว่ากลุ่มจารีตนิยม อำนาจนิยม ยังเหมือนเดิม!!! ก็มีคนมาชี้แนะทางออก ก็คือ ทำรัฐประหารใหม่อีกครั้ง ซึ่งดิฉันก็คิดว่ามันคงไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว
วันนี้ที่ดิฉันตั้งใจจะพูดในประเด็น
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอะไรเหลือให้ประชาชนเชื่อมั่นอีกแล้ว!!!
เพราะว่าจากสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูด และผลของการพูดคุยในรัฐสภาตามมาตรา 165 แล้ว พล.อ.ประวิตร ก็ออกมาบอกเลยว่านายกฯ จะอยู่ต่ออีก 4 ปีตามกติกา คือพูดเหมือนไม่มีอะไรจะเกิดขึ้น พูดเหมือนมองไม่เห็นว่ามีกลุ่มเยาวชน ประชาชนนับแสนออกมาประท้วงทุกวัน แล้วบัดนี้สิ่งที่เขาเรียกร้องก็คือให้นายกฯ ออกไป และสอดคล้องกับฝ่ายค้านในรัฐสภา
แต่แน่นอนพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลก็ยังชื่นชม ซึ่งทำให้พล.อ.ประยุทธ์อาจจะยิ่งเข้าใจผิด มองว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนท่าน และสิ่งที่ท่านทำมานั้นถูกต้องมาตลอด นั่นก็คือทำรัฐประหารเพื่อแก้ปัญหาในยุคนั้น (รัฐบาลยุคนั้นเลว) คนที่ออกมาสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและต่อต้านการทำรัฐประหารนี่ก็เป็นพวกที่เลว
เพราะงั้นท่านก็คือซุปเปอร์ฮีโร่และเป็นมาจนถึงปัจจุบันนี้
อันนี้ที่ดิฉันมองว่าฝ่ายจารีตนิยมทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกฯ รวมทั้งคนอื่น ๆ ซึ่งยินดีสนับสนุนการทำรัฐประหาร
การสืบทอดอำนาจ ได้ออกมาแสดงตัว แสดงความคิดเห็นชัดเจน
ดิฉันอยากจะบอกว่ามันตรงกันข้าม
ในทัศนะของดิฉันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีอะไรเหลือให้เกิดความเชื่อมั่น ในขณะที่ท่านคิดว่าท่านเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ท่านเป็นคนดี ท่านทำถูก ท่านกู้บ้านกู้เมือง เพียงแต่ท่านสนใจศึกษาข้อมูลที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการใหม่ ๆ นักวิชาการสายที่ก้าวหน้าที่อยู่ข้างประชาชน ท่านนั่งอ่านเงียบ ๆ ก็ได้ ถ้าท่านอ่านหนังสือเหมือนกับเด็ก ๆ รุ่นนี้ ดิฉันคิดว่าบางทีความคิดท่านอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง แน่นอนจุดยืนท่านไม่เปลี่ยน แต่ว่าข้อมูลด้านอื่น ๆ มันอาจจะได้เข้าไปสู่ทางความคิดบ้าง เพราะว่าท่านไม่แปลกใจหรือว่าทำไมเด็ก ๆ เยาวชนพวกนี้ถึงสามารถออกมาเป็นกองหน้าได้
ใคร ๆ ก็ออกมาเป็นกองหน้าได้ ถ้าหากว่า
1)
เขามีจุดยืนที่ถูกต้อง
2)
เขามีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง
3)
เขามีวิธีคิดและวิธีทำงาน ที่ถูกต้อง
และที่สำคัญทั้งหมดต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง
นั่นจึงจะประสบชัยชนะในการนำพาประชาชนได้
แต่ดิฉันบอกได้เลยว่าท่านไม่มีทั้ง 3 อย่าง จุดยืนท่านก็ไม่ถูก เพราะท่านไม่มีจุดยืนอยู่ที่ประชาชน ไม่ได้มีจุดยืนอยู่ที่ระบอบประชาธิปไตย ข้อมูลองค์ความรู้ท่านก็เอาแต่เฉพาะในส่วนที่มีข้างเดียว ขับเคลื่อน-เขียน-พูด โดยฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยมด้านเดียว วิธีคิด วิธีทำงาน ก็ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ในขณะที่เยาวชนได้พัฒนาทั้ง 3 อย่างนี้ ในท่ามกลางเวลาซึ่งคนรุ่นก่อนอาจจะไม่ได้ปรากฎตัว ไม่ได้แสดงตัว เขามีจุดยืน เขามีองค์ความรู้ แต่วิธีคิด วิธีทำงาน อาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหมือนกับเยาวชนปัจจุบัน
ดิฉันอยากจะบอกว่า ทำไมถึงไม่มีอะไรเหลือให้น่าเชื่อถือ เพราะว่าต้นทุนของท่านนั้นจริง ๆ ตั้งแต่ปี 53 การที่ท่านเข้าไปปราบปราม แน่นอนความรับผิดชอบสูงสุดอยู่ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นคนเซ็นในฐานะผู้รับผิดชอบ แต่การกระทำกับประชาชนอย่างเหี้ยมโหดในปี 53 หมายความว่าอันนี้มันอยู่ในบัญชีของความทรงจำอยู่แล้ว
จากนั้นมีการเล่นละคร 2 หน้า คือด้านหนึ่งก็เป็น ผบ.ทบ. ที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายกฯ แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าสู่ทฤษฎีสมคบคิดก็ได้ นั่นก็คือมีรายละเอียดที่แม้กระทั่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เปิดเผยว่าได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันดีมาตลอด ก็เข้าข่าย 2 หน้า หน้าหนึ่งต่อรัฐบาล อีกหน้าหนึ่งต่อฝั่งที่ต้องการล้มรัฐบาล
ดังนั้นต้นทุนของท่านที่หมดไป ตั้งแต่การปราบประชาชนอย่างโหดเหี้ยมปี 53 แล้วมาจนกระทั่งการทำรัฐประหารปี 57 และการทำรัฐประหารครั้งนั้นประชาชนส่วนหนึ่งก็ยังให้โอกาส ไม่มีการลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะท่านบอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะกลับมาเหมือนเดิม มันงดงามที่ไหน? แล้วอีกเพลงก็เป็นเพลงสะพาน เข้าทำนองว่าอยากจะแต่งเพลงประมาณ Bridge Over Troubled Water แต่สะพานของท่านข้ามมหาสมุทรหลายรอบแล้วก็ยังไม่ถึงฝั่ง
หมายความว่าจากปี 57 มาจนกระทั่งมีการเลือกตั้งในปี 62 ประชาชนให้โอกาส สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือท่านไม่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา ก่อนหน้านั้น (หลังจากปี 53) ท่านก็บอกว่าไม่ทำรัฐประหาร ไม่เป็นนายกฯ เราออกมาดักคอหลายที ท่านก็ทำทุกอย่าง เมื่อไม่เคยรักษาสัญญาเลย แล้วในที่สุดมาหลังจากปี 57 การเขียนรัฐธรรมนูญก็เป็นรัฐธรรมนูญที่เลวที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยมีมา ในทัศนะของดิฉัน
เพราะว่ารัฐธรรมนูญอื่นเขาไม่กล้าแต่งตั้ง ส.ว. วิธีนี้ และไม่กล้าให้อำนาจ ส.ว. มาถึงขนาดนี้ พูดได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แย่ที่สุดที่ลดทอนอำนาจประชาชน ที่ดูหมิ่นประชาชน และต้องการสืบทอดอำนาจ อันนี้เป็นที่หนึ่ง (ถ้าให้คะแนน) มาจนกระทั่งท่านมาเป็นนายกฯ
สรุปว่าการอยู่ในอำนาจกว่า 6 ปี นับจากปี 57 มาจนถึง 63 ไม่ได้ทำให้ประชาชนดีขึ้นเลย นอกจากไม่รักษาสัญญา ความสามารถในการเป็นผู้นำรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ รู้จักแต่สร้างหนี้แล้วก็แจกเงิน ขนาดเอาคนที่เคยทำงานกับคุณทักษิณมาทำ แต่ท่านลืมคิดไปว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปทุกวัน โลกเปลี่ยนไปทุกวัน เพราถ้าคิดแบบจารีตก็คือทุกอย่างหยุดนิ่ง หาวิธีแก้ปัญหาแบบไหนก็ทำแบบเดิม เช่นทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีก ยังจะลอกแบบวิธีทำงานของไทยรักไทย ก็คิดว่ามันเป็นสูตรเดียว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบัญชีเลือดที่ท่านทำเอาไว้ แล้วบัญชีของการไม่รักษาสัญญา ประชาชนให้โอกาสมามาก สุดท้ายที่สุดคือการคุกคามประชาชน มีทั้งการปราบปรามที่ตอนนี้ไม่สามารถจะทำแบบเดิมได้ UN ก็ได้มีการส่งสารมาจริงจังจากเจนีวาโดยผู้เชี่ยวชาญและเรียกร้องว่ารัฐบาลจะทำแบบนี้ไม่ได้ หลายท่านก็บอกว่าแบบนี้มันผิดพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพในการเมืองการปกครอง ไม่จำเป็นต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ แต่ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้!
เพราะท่านเผชิญกับม็อบของประชาชนซึ่งเป็นสันติ 100% (500% ด้วยเอ้า) แถมมีการแสดงซึ่งได้ข่าวว่าวันนี้เขาจะมีทั้งภาพ งานเขียน การ์ตูน เขาไม่มีอาวุธเลย แล้วแถมเป็นเด็ก ดังที่ดิฉันบอกแล้วว่า ม็อบหรือผู้ต่อต้านที่เป็นเยาวชนแล้วไม่มีอะไรเลยนี่น่ากลัวที่สุด แต่ท่านก็ยังทำแบบเดิม โอเคที่ท่านอาจจะลด ไม่ใช้ปืน แบบเมื่อตอนปี 53
ตอนปี 53 ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง มีสไนเปอร์จากที่สูงยิงเปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง หัวกระจุย เลือดกระจายเลย ตอนนี้ก็ทำไม่ได้ แต่ใช้วิธีปราบ จับกุมคุมขัง UN เขาก็บอกว่าให้ปล่อยให้หมด
ซึ่งที่ “เพนกวิน” บอกว่าการจับกุมคุมขังไม่สามารถที่จะทำลายกระดูกสันหลังและความเป็นคนได้ คือเขาไม่ยอมงอหรอก ยิ่งจับม็อบนี้มันไม่ใช่ม็อบที่ สมมุติว่าคุณจับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อก่อน มีคุณสนธิ มีคุณสุเทพ แม้กระทั่งคนเสื้อแดงดิฉันจะบอกให้ เขาก็มีความเป็นตัวของตัวเองแล้วนะในยุคนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องมีแกนนำ เพราะว่าเนื้อหาของความก้าวหน้า เนื้อหาของเป้าหมายที่เขาจะไปมันอยู่ในหัวเขา ไม่จำเป็นต้องมีแกนนำ อย่าว่าแต่เยาวชน คนเสื้อแดงในอดีตที่เขาเดินออกมาร่วม หรือกระทั่งคนทำงานซึ่งไม่เคยเป็นเสื้อสีอะไรก็ตามที่ออกมาร่วมนั้นเพราะเขามีเป้าหมายร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเขามีองค์ความรู้ เขาไม่จำเป็นมีใครมาชี้บอกให้เขาทำ 1-2-3-4-5 เขาสามารถเอาโทรโข่งออกมาจากบ้านได้
การคุกคามประชาชน ความพยายามที่จะจับกุมคุมขัง มันก็ยังเป็นสิ่งที่ทำอยู่ ดิฉันอยากจะถามว่าแล้วมันเหลืออะไร? คือคุณไม่มีเครดิตในเรื่องคำมั่นสัญญา ใครจะไปเชื่อคำพูด เพราะคุณพูดมาสารพัด ไม่ทำรัฐประหาร ไม่เป็นนายกฯ ไม่สืบทอดอำนาจ แต่ที่พูดว่าไม่นี่คุณทำทั้งนั้น อย่างคุณสุจินดาพูดหนเดียวนะ ผิดสัญญาครั้งเดียวคนยังยอมรับไม่ได้ ถามว่าคุณผิดสัญญามากี่ครั้ง
สุดท้ายความไม่สามารถของคุณ ต่อให้คุณผิดสัญญา สมมุติว่าคุณเก่งจริงนะ มีความสามารถนำพาประเทศไปได้นะ คุณอย่าอ้างเรื่องโควิดนะ อันนั้นมันเป็นผลงานของหมอซึ่งเขาเก่งอยู่แล้วในประเทศไทย ขีดความสามารถด้านสาธารณสุขไม่ใช่ความสามารถของคุณ คุณไม่มีขีดความสามารถในการนำพาประเทศ คุณไม่มีความน่าเชื่อถือในเรื่องสัญญา คุณผิดสัญญามาตลอด
สุดท้ายสิ่งที่ขัดแย้งกันกับเสรีภาพของประชาชนทั่วไปในปัจจุบัน ซึ่งคนชั้นกลางเป็นคนส่วนใหญ่ในโลก แต่คุณคุกคาม จับเยาวชนเข้าคุก วันก่อนปราบเยาวชนโดยการฉีดสีหรือใช้อาวุธอะไรก็ตาม คุณทำไม่ได้คุณก็ใช้วิธีนี้ ถามว่าแล้วมันจะมีอะไรเหลือ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าจุดยืนของคุณก็ยังเหมือนเดิม ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องต้องการ
ดังนั้นคุณคืออุปสรรค สิ่งที่เขาไม่ต้องอาจจะไม่ได้บอกว่าคุณเลว 1-2-3-4-5 ไม่จำเป็น เขาไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีความเชื่อถือ
ดิฉันอยากจะถามว่า คุณประยุทธ์เข้าใจหรือเปล่าว่าคุณไม่ใช่ฮีโร่นะ คุณเป็นฮีโร่ของกลุ่มสุดโต่งจารีตนิยม คุณไม่ใช่ฮีโร่ของประชาชน คุณอย่าเข้าใจผิด!
“เยาวชนต่างหากที่ตอนนี้เป็นฮีโร่ของประชาชน เป็นความหวังของประชาชน คนอายุ 10 กว่าปี ไปจนถึง 20 กว่าปี เขาคือคนที่จะดูแลประเทศในอนาคต เขาไม่เอาคุณ ดังนั้นไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ดิฉันพูดความจริงนะ ไม่เชื่อก็แล้วแต่” อ.ธิดากล่าวในที่สุด