ธิดา ถาวรเศรษฐ : เราสู้มาแล้ว
และเราจะสู้ต่อไป
ยูดีดีนิวส์ : เมื่อวันที่
10 ต.ค. 63 เวลา 10.30 น. อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ พร้อมด้วย นพ.เหวง โตจิราการ
ได้เดินทางมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อเยี่ยม “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”
ซึ่งถูกคุมขังภายหลังคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งจำคุก 2 ปี 8 เดือน เมื่อ 26 มิ.ย. 63 ในคดีการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์
ปี 50
จากนั้น
อ.ธิดา กล่าวในการทำ
Facebook Live เล่าข่าวหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ความว่า
ได้คุยกับคุณณัฐวุฒิถึงประเด็นที่มีคนตั้งคำถามว่า
นี่จะเป็นการกลับมาอีกครั้งของคนเสื้อแดงหรือเปล่า?
ซึ่งทั้ง
อ.ธิดาและคุณณัฐวุฒิ มีความเห็นตรงกันว่า
นี่เป็นเรื่องที่เราสู้มาแล้วและเราจะยังสู้ต่อไป!
หมายความว่า
“คนเสื้อแดง” สู้มาแล้ว 10 กว่าปี และเราก็จะยังสู้ต่อไป
มันจะจบที่รุ่นเยาวชนหรือจบที่รุ่นของคนอายุ 60-70 คนเสื้อแดง หรือเปล่าก็ไม่รู้ สำหรับ
“ณัฐวุฒิ” พูดได้ว่าเป็นคนรุ่นการต่อสู้หลังรัฐประหารปี 49 ของคนเสื้อแดงจริง ๆ
ส่วน อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, อ.จรัล ดิษฐาอภิชัย, คุณวิสา คัญทัพ อันนี้สู้มายาวตั้งแต่ 14 ตุลา ก็ยังไม่จบ
เมื่อเยาวชนเขากล้าประกาศว่า
“จบที่รุ่นเรา” ดิฉันก็เห็นด้วย
เพราะถ้ามาคิดดูอย่าง อ.ธงชัย วินิจจะกูล อายุไม่ถึง 20 ปี ตอน 6 ตุลา 19 แต่ อ.ธงชัย ไม่เคยวางมือในการต่อสู้ เพียงแต่การต่อสู้ของ อ.ธงชัย ไม่ได้อยู่บนท้องถนน แต่อยู่บนฟากวิชาการ ดังนั้นดิฉันขอชื่นชม
อ.พวงทอง
ภวัครพันธุ์ ซึ่งทำภารกิจของคนที่ถูกสังหารเมื่อ 6 ต.ค. 19 และเอื้อเฟื้อมาถึง “คนเสื้อแดง”
ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่ากรณีของคนเสื้อแดงและเหตุการณ์ปี 53
เป็นนักวิชาการส่วนน้อยที่จะมีความเห็นใจและเข้าใจ อันนี้ก็ขอชื่นชม
บัดนี้เมื่อเยาวชนเขามีสายตาที่ชัดเจนและเข้าใจมากขึ้น
กลับเป็นการช่วยปัญญาชนรุ่นก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำให้มองเห็นว่าที่แท้แล้ว “คนเสื้อแดง”
ก็ต่อสู้มาแล้วและพร้อมจะต่อสู้ต่อไปด้วยกันกับเยาวชน และไม่จำเป็นจะต้องมี “แกนนำ”
แบบเดิม เอาเนื้อหาและเป้าหมายเป็นหลัก
อาจมีข้อเรียกร้องระหว่างทางไม่เหมือนกัน
เปรียบเหมือนกับเรามีปัญหากองอยู่ข้างหน้า คนรุ่นก่อนอาจเดินเข้าประตูหนึ่ง
แต่คนรุ่นใหม่บอกว่าทำแบบนั้นไม่สำเร็จ แต่ถามว่ามันสูญเปล่ามั้ย อ.ธิดาตอบว่าไม่สูญเปล่า
เพราะว่าประวัติศาสตร์ ความรู้ บทเรียนการต่อสู้ของคนรุ่นเก่าก็จะเป็นถนนให้กับคนรุ่นใหม่
เขาอาจจะแสวงหายุทธวิธีใหม่ ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าประตูใหม่ที่มาคุณไต่สูงเพดานเกินไป
แต่ อ.ธิดา คิดว่า เขาเชื่อว่ามันอาจจะดีกว่าในสิ่งที่ได้ทำมาแล้ว อาจดูโลดโผน
แต่ในทัศนะ อ.ธิดา คิดว่ามันยังอยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เพียงแต่ว่าฉบับของจารีตนิยม
อำนาจนิยม เป็น ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แบบไทย ๆ
แต่คนรุ่นใหม่และประชาชนจำนวนหนึ่ง
ไม่เอาแบบไทย ๆ แต่เอาแบบชัดเจนว่าอำนาจเป็นของใคร ของประชาชน
หรือของกลุ่มคนชั้นนำหยิบมือเดียว หรือว่าอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ความคิดและวิธีการของคนรุ่นใหม่ก็อยากให้คนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยศึกษาให้ดี
แล้วก็มองในแง่ดี เพราะอนาคตเป็นของพวกเขา เขามองแล้วว่าคนรุ่นเก่ายังไม่สามารถสร้างประเทศไทยที่ดีให้กับพวกเขาได้
เขาจำเป็นต้องลงมือเอง!
หลายคนสู้ตั้งแต่ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 ยังไม่สำเร็จ แต่เขาก็ไม่ท้อถอย ยกตัวอย่าง อ.ธงชัย วินิจจะกูล, อ.สุรชาติ บำรุงสุข, อ.เกษียร เตชะพีระ, อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ และคนจำนวนมากซึ่งถูกกระทำ และมองเห็นเพื่อนซึ่งถูกกระทำ ก็ได้พยายามในการส่งสารและหาวิธีการที่จะแก้ไขปัญหาแบบที่ยั่งยืน มันจึงใช้เวลา
สำหรับ
“คนเสื้อแดงและนปช.” ถ้าไปศึกษาให้ดี อย่างที่ดิฉันบอกสำคัญมากก็คือ นโยบายข้อที่
1 ต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนไทยอย่างแท้จริง
เมื่อก่อนหลายคนก็ทนคำว่า
“ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
ไม่ได้ มาโวยวายโจมตี นปช. ดังนั้นเราจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่เขาก็ฉลาด ก็ไม่เป็นไร
ถึงแม้ว่าคำ “ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
มาเติมเอาหลังรัฐประหาร 90 คือเป็นรัฐธรรมนูญที่ถอยหลังมาก
ของนปช. ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนไทยอย่างแท้จริง
ของเยาวชน ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
อ.ธิดากล่าวว่า ดังนั้น
อย่าไปตกอกตกใจกับเรื่องเหล่านี้ รายละเอียดเป็นประเด็น ๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เป้าหมายปลายทางก็คือสิ่งนี้ซึ่งมันก็ควรจะเหมือนกัน และดิฉันคิดว่าคนทั่วไปก็ต้องเห็นด้วย
เพราะถ้าเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยมันแปลชัด ๆ ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
โดยไม่ต้องมีสร้อยอะไรมาต่อเลย ไม่ว่าจะเป็นสร้างคำว่า
ที่อำนาจเป็นของประชาชนไทยอย่างแท้จริง หรือ ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
อ.ธิดา กล่าวว่า
เราสู้มาแล้วและเราจะสู้ต่อไป คำว่า “เรา”
หมายถึงพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหมด รวมทั้งคนเสื้อแดงด้วย
และที่เราสู้มาแล้ว เยาวชนตอนนี้เพิ่งจะมารับรองว่า...อ๋อ สู้มาเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ปัญญาชนก่อนหน้านี้กลับดูถูกดูหมิ่น
ซึ่งดิฉันคิดว่ามันยังเป็นบุญของประเทศนี้ที่ปัญญาชนคนรุ่นใหม่เข้าใจ ศึกษา
และอ่านหนังสือ
ในทัศนะของดิฉันคิดว่ามันเป็นเวลาที่ดีที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่าง
เปิดประตูหลาย ๆ บาน คนที่ดูหน้าต่าง-ประตูบานเดียวก็ลองมาดูบานอื่นที่เด็ก ๆ
เขาเปิดให้คุณเห็นหลายช่อง คุณบังคับห้ามเปิดประตูหน้าต่างบานอื่น ให้ดูช่องทางเดียว
แล้วเยาวชนจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และแข่งขันกับเยาวชนประเทศอื่นได้อย่างไร ถ้าถูกบังคับให้เดินประตูเดียว
มองเห็นประตูเดียว
คนที่กลัวว่าเด็กจะถูกปราบ!
ปัญหาก็คือคนที่มีอำนาจในการปราบปราประชาชนและองค์กรความมั่นคงทั้งหลาย
(กอ.รมน. สมช. สำนักข่าวกรองแห่งชาติ)
ถ้าคุณยังมีความคิดแบบเดิมเหมือนสมัยรัชกาลที่ 6 ถือความมั่นคงของชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ตามแบบที่คุณคิด มันไปไม่ได้กับโลกสมัยใหม่และวัฒนธรรมของโลกที่ต้องมีการแข่งขันกัน
ดิฉันมองว่ามันเป็นเวลาที่เราน่าจะยินดีที่มันมีการเปิดประตู-หน้าต่างมาก
ๆ แล้วเยาวชนบอกว่าเราช่วยกันทำให้บ้านนี้น่าอยู่และอยู่ได้นาน เป็นบ้านที่เหมาะสมสำหรับประชาชนในอนาคตของประเทศ
ทั้งบ้าน ทั้งสวน และสถานที่ของประเทศไทย จะต้องเป็นที่อยู่ที่สร้างสรรค์
มีเสรีภาพ คนมีความเท่าเทียม ที่สำคัญมีภราดรภาพ คนรักใคร่กัน
สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ดีงามของประเทศ
ดิฉันคิดว่า 14 ต.ค. นี้
แม้ข้อแม้เขาจะบอกว่าให้รัฐบาลออกไป หรือว่าคุณประยุทธ์ออกไป ดิฉันเข้าใจเอาว่าเพราะเขามองว่าคุณประยุทธ์นั้นคือ
“อุปสรรค” ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ อาจจะดูเหมือนกับน่ากลัว
แต่อยากให้พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจว่าเยาวชนเขามองอย่างนั้น
เขามองไม่เห็นทางว่าคุณจะสามารถแก้ไขปัญหาประเทศได้ ถ้าคุณประยุทธ์เข้าใจก็ไม่เห็นจะต้องโกรธเคืองและปราบปราม
ดิฉันมองว่า 14 ต.ค.
เป็นวาระที่ประชาชนทั้งหลายควรจะร่วมกันเปิดศักราชใหม่ของการต่อสู้ที่จะทำให้ประเทศนี้มีการเปลี่ยนแปลงในเส้นทางที่มีความมั่นคง
มีเสถียรภาพทางการเมืองแบบอารยประเทศ เพราะเยาวชนของเรามีความสามารถ
แข่งขันกับประเทศอื่นได้ แต่ถ้าอยู่ในประเทศที่มันเหมือน “นรก” เขาจะขึ้นจาก “นรก”
แล้วไปแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างไร?
ดังนั้น เอาใจช่วยอย่างเดียวไม่พอ
ในทัศนะดิฉันก็คือ ต้องเข้าใจเขาด้วย สำหรับตัวดิฉันเองเป็น “กำลังใจ”
แต่ไม่ได้เป็น “กำลังจริง”
ที่อยู่ที่พี่น้องประชาชน
แต่บอกได้คำสุดท้ายอีกครั้งหนึ่งว่า
เราได้สู้มานานแล้วและเราจะสู้ต่อไป ด้วยกัน!!!