วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563

“อานนท์” ย้ำ 14 ต.ค. ประชาชนทุกกลุ่มผนึกกำลังไล่ประยุทธ์และคณะออกทันที! ย้ำ ค้างคืนราชดำเนิน – สนามหลวง / "ไมค์" ถ้านายกฯ ไม่ลาออก ท่านคงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีในการปลุกมวลชนออกมา

 



“อานนท์” ย้ำ 14 ต.ค. ประชาชนทุกกลุ่มผนึกกำลังไล่ประยุทธ์และคณะออกทันที! ย้ำ ค้างคืนราชดำเนิน – สนามหลวง / "ไมค์" ถ้านายกฯ ไม่ลาออก ท่านคงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีในการปลุกมวลชนออกมา


ยูดีดีนิวส์ : 6 ต.ค. 63 นายอานนท์ นำภา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในงานรำลึก 6 ตุลา ภายหลังจากได้รับรางวัล “จารุพงษ์ ทองสินธุ์” โดยนายอานนท์ได้เปิดเผยความรู้สึกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ว่า


จริง ๆ รู้สึกถึงคนที่เสียชีวิตมากกว่าครับ รู้สึกเหมือนกับการส่งไม้ต่อของคนที่เสียชีวิตให้กับคนใหม่ที่ออกมาต่อสู้ ผมไม่รู้สึกว่าประวัติศาสตร์มันได้ขาดตอนไปแต่ประการใด ผมรู้สึกว่าการต่อสู้มันสอดคล้องและต่อเนื่องกัน

 

ผมคิดว่าข้อเสนอของ “ธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ทั้ง 10 ข้อ เป็นข้อเสนอที่แทบจะเอ่ยขึ้นมาอย่างฉับพลันหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ด้วยซ้ำ คือการขอให้มีการไต่สวนเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้นำคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาพิจารณาคดี ในการหยุดยั้งการขยายพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ มันเป็นความบังเอิญที่แทบจะไม่น่าเชื่อว่าข้อเสนอนั้นจะมาปรากฎในยุคปี 63 ผมคิดว่าทุกอย่างมันสืบเนื่องและต่อเนื่องกัน

 

ทุกวันนี้เราเห็นคนที่ต่อสู้ก่อนปี 19 ด้วยซ้ำที่อยู่ในแววตาของคนรุ่นใหม่

 

เราเห็น “จิตร ภูมิศักดิ์”

เราเห็น “กุหลาบ สายประดิษฐ์” ในแววตาของสื่อมวลชนหลายคนที่ออกมานำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา

เราเห็นนิสิต นักศึกษา นักเรียน ที่ออกมาต่อสู้

 

ผมคิดว่ามันเป็นความบังเอิญอย่างยิ่งและเป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์เข้าสู่ปัจจุบันอย่างลงตัวมาก คือเราเห็นภาพคนเดือนตุลากับคนปัจจุบันนี้มันมีลักษณะคล้ายกันมาก สมัยก่อนอาจจะแต่งตัวนักศึกษา สมัยนี้อาจจะแต่งตัวเป็นเทรนเกาหลี แต่ในแววตาของความมุ่งมั่นมันมีความเหมือนกัน คล้ายกันมาก แม้แต่กระบวนการในการต่อสู้ก็มีความคล้ายกันมาก

 

ผมคิดว่าคนที่ออกมาเคลื่อนไหวตอนนี้เป็นลักษณะการมายืนยันความจริงว่าเราไม่ผิด รุ่นพี่เราไม่ผิด และเราจะมาทำให้สังคมมันเปลี่ยนแปลงในรุ่นของเรา เพราะผมเห็นความมุ่งมั่นที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม เห็นหลายคนพูดด้วยสำเนียงภาษาที่คล้ายคลึงกับสมัยนั้นด้วยซ้ำ เราได้เห็น “เพนกวิน” ในเงาของ “สมศักดิ์ เจียมฯ” ข้อเสนอทั้ง 10 ก็มาปรากฏในรุ่นนี้ ผมว่ามันสอดคล้องกันและเหมือนเป็นการรับไม้ต่อกัน

 

ที่น่าหวาดกลัวของชนชั้นนำไทยก็คือ เรามีกำลังมากขึ้น มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีคนร่วมมากขึ้น ในขณะที่ฝ่ายที่เป็นชนชั้นนำไทยมีความศักดิ์สิทธิ์ความศรัทธาลดลง คนที่ร่วมกับชนชั้นนำไทยลดลง

 

สำหรับวันที่ 14 ต.ค. นี้จะเป็นการชุมนุมที่เป็นปกติ เป็นการชุมนุมของความพร้อมเพราะวันที่ 14 ต.ค. มันเป็นวันทำงาน การที่คนออกมาชุมนุมมันต้องมีความพร้อมและมีความมุ่งมั่นที่จะมาร่วมชุมนุมจริง ๆ ดังนั้นวันที่ 14 จะเป็นตัวชี้วัดกระแสสังคมได้เป็นอย่างดี

 

และ 14 จะเป็นการชุมนุมที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน กระบวนการในการจัดการเวที จัดการคนปราศรัย จัดการการพักแรม จัดการการเคลื่อนไหวต่อจากนั้น ผมคิดว่ามันเป็นไปโดยความตั้งใจ ภาพที่เราเห็นเวทีของนักศึกษาในภาพใหญ่สองเวทีทั้ง “ปลดแอก” ทั้ง “ธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ในวันนั้นจะเหมือนกับการรวมตัวกันเป็นครั้งสำคัญ รวมทั้งในส่วนภูมิภาคก็จะเข้ามาร่วมด้วย

 

ต่อความคาดหวังในการเปลี่ยนแปลง นายอานนท์ กล่าวว่า เราได้เปล่งเสียงออกไปหลายครั้งในการชุมนุม แต่มันไม่ได้รับการตอบรับจากชนชั้นนำไทย การชุมนุมในวันที่ 14 นี้ จะเป็นการชุมนุมในลักษณะการประท้วงและการกดดัน การขยับเพดานการเรียกร้อง ไม่ใช่การชุมนุมเพื่อแสดงพลังแล้วกลับบ้านอย่างเดียว

 

เพราะเมื่อการชุมนุมธรรมดามันไม่ได้รับการตอบรับ การขยับเพดานมันก็เป็นเรื่องธรรมดา โดยมีข้อเรียกร้องเพียงข้อเดียวคือให้รัฐบาลประยุทธ์พร้อมองคาพยพออกไป เมื่อออกไปแล้วให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อให้สถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง เราจะไม่แยกเป็น 1-2-3 มันคือข้อเรียกร้องเดียว หมายถึงว่าเป้าหมายเรามันมีแค่ข้อเดียว แต่กระบวนการมันอาจจะเป็นขั้นเป็นตอน

 

สำหรับคำที่ว่านี่เป็น “การต่อสู้ม้วนเดียวจบ” นายอานนท์ กล่าวว่า ม้วนเดียวไม่ได้หมายความว่าจบในวันเดียว เป็นม้วนเดียวที่เป็นการเริ่มต้น เป็นการขยายการต่อสู้แบบต่อเนื่องม้วนเดียวจบ

 

นายอานนท์ยังกล่าวด้วยว่า ถ้านายกฯ ไม่ออกไปไม่ว่าด้วยวิธีใด ไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญในเงื่อนไขที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแน่นอน เมื่อไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราก็ไม่มีทางที่จะเอาสถาบันกษัตริย์มาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญได้อย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องเดียวกัน ข้อเรียกร้องเดียวกัน แต่มันอยู่ที่ขั้นตอน ลำดับ และวิธีการแค่นั้นเอง

 

ความยืดเยื้อของการชุมนุม นายอานนท์กล่าวว่า ถ้าคนมาเป็นล้านก็คงจบในวันเดียว ถ้าคนมาเป็นแสนก็อาจจะมีการพักรอคนที่อยู่ต่างจังหวัดเข้ามา จะยืดเยื้อแค่ไหนก็อยู่ในสถานการณ์ในวันนั้น แต่เพื่อน ๆ นิสิต นักศึกษา น้อง ๆ มัธยมทุกกลุ่มได้คุยกันและร่วมกันวางมาตรการในการจัดชุมนุมแล้วครับ และยืนยันว่าการชุมนุมในวันที่ 14 นี้เป็นการชุมนุมค้างคืน ไม่กลับบ้านแน่ ๆ ซึ่งพื้นที่ในการชุมนุมคือตลอดถนนราชดำเนิน สนามหลวง รวมทั้งที่อื่น ๆ ที่มีปัญหาด้วย ส่วนจะมีการเคลื่อนขบวนหรือไม่นั้นอยู่ที่มวลชน

 

ทั้งนี้เป็นความตั้งใจในการชุมนุมก็คืออยากแสดงพลังเพื่อกดดันให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ออกไปและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ข้อเรียกร้องหนึ่งในนั้นที่มีการหยิบยกขึ้นมาคือเรียกร้องให้ทางสภาเปิดวิสามัญในการรับร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ลำพัง ส.ส. มีแนวโน้มที่จะรับร่างรัฐธรรมนูญสูงมากถ้าไม่มี ส.ว. นายอานนท์ยืนยันเรื่องมาตรการกดดันมีแน่นอน

 

นายอานนท์ กล่าวถึงประเด็นการปราศรัยในวันที่ 14 ว่า ทุกปัญหามันเป็นปัญหาเดียวกัน การเน้นเรื่องสถาบันกษัตริย์เรายังยืนเหมือนเดิมในความเข้มข้น ความแหลมคม และข้อมูลใหม่ ๆ ยังมีนำเสนอเหมือนเดิม แต่เราจะเน้นในประเด็นอื่นที่ยังไม่ชัดเจนให้มันชัดเจนเท่า ๆ กับสถาบันกษัตริย์ เช่น ปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลประยุทธ์ ปัญหาของรัฐสภาที่มันเป็นเผด็จการรัฐสภาอย่างแน่ ๆ เราจะทำให้ชัดเจนขึ้น

 

เรายืนยันที่จะซ่อมแซม ปรับปรุง และจูนสถาบันกษัตริย์ให้อยู่กับสังคมไทยอย่างแท้จริง ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปล้มล้างหรือจาบจ้วงอย่างที่หลาย ๆ คนกล่าวหา นายอานนท์ ยังกล่าวอีกว่า “ฟางเส้นสุดท้าย” ในสังคมไทยผมว่าไม่มีแน่นอน แต่ถ้ามันเกิด “น้ำผึ้งหยดเดียว” ขึ้นมาผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งสำคัญมีแน่นอน

 

อยากให้รัฐปฏิบัติต่อเราเหมือนเราเป็นพลเมือง เป็นราษฎร เป็นเพื่อนร่วมชาติ และฟัง ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงอันจะนำไปสู่ประวัติศาสตร์ที่มันซ้ำรอย พวกเราสัญญาว่าการต่อสู้ของพวกเราอยู่ในกรอบของกฎหมาย อาจจะมีการล่วงล้ำ ล่วงเกินกฎหมายที่มันไม่ยุติธรรมไปบ้าง เช่น การชุมนุมบนท้องถนนอาจจะทำให้พี่น้องประชาชนไม่สะดวกในการสัญจรบ้าง แต่พวกเราสัญญาว่าจะอยู่ในกรอบของความเป็นไปได้ ของความสมเหตุสมผลในการชุมนุม

 


ทางด้านนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ได้กล่าวถึงการได้รับรางวัล “จารุพงษ์ ทองสินธุ์” ในวันนี้ว่า ภูมิใจกับสิ่งที่เราออกมาเคลื่อนไหวและมีคนเห็นในความประสงค์หรือเป้าหมายของเราที่ทำเพื่ออะไร และตนคิดว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ใช่ภาระหน้าที่ของใคร แต่เป็นเรื่องของทุก ๆ คน เป็นหน้าที่พลเมืองตามที่คุณครูเคยสอนมา เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องทำ

 

ไมค์ กล่าวว่า เราเรียนรู้จากอดีตเพื่อที่จะนำมาใช้กับปัจจุบัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในเหตุการณ์ปัจจุบันจะไม่ย้อนกลับไปเหมือนกับในอดีต แล้วเราก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะในโซเชียลหรือการสื่อสารต่าง ๆ มันครบถ้วนสมบูรณ์

 

การชุมนุมครั้งนี้เราตั้งเป้าคือให้ประยุทธ์ลาออกโดยทันที ถ้าทำไม่ได้ท่านก็คงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่จะปลุกให้มวลชนออกมาขับไล่ท่าน เพราะตลอดระยะเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่มาไม่ได้มีประสิทธิภาพตามที่เราเห็นเลย วันที่ 14 นี้ก็คงมาไล่กันอย่างจริงจัง พร้อมกันนี้ก็อยากจะขอร้องวิงวอนท่านประยุทธ์ให้รับฟังเสียงประชาชนหน่อย และถ้าตกลงกันได้ เจรจากันได้ ผมก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี มันจะได้เกิดความสงบ ไม่เกิดความขัดแย้งใด ๆ ที่อาจจะนำไปสู่การนองเลือด และสิ่งต่าง ๆ ที่คาดหวังด้วยการที่ท่านเป็นผู้นำประเทศ การรับฟังประชาชนถือว่าเป็นหน้าที่หลักของท่านด้วยซ้ำ อยากให้ท่านลงมารับฟังปัญหาประชาชนอย่างแท้จริงและร่วมกันแก้ปัญหาไปด้วยกัน ไมค์ ภาณุพงศ์ กล่าวในที่สุด.