วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

กลุ่มกวี-นักเขียน-ศิลปิน-บรรณาธิกา-คนทำงานสื่ออิสระ อ่านคำประกาศ “เราคือเพื่อนกัน ด้วยความหวังและความห่วงใย” หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

 


กลุ่มกวี-นักเขียน-ศิลปิน-บรรณาธิกา-คนทำงานสื่ออิสระ อ่านคำประกาศ “เราคือเพื่อนกัน ด้วยความหวังและความห่วงใย” หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

 

ยูดีดีนิวส์ : 30 ต.ค. 63 เมื่อเวลา 11.00 น. กลุ่มนักเขียน บรรณาธิการ คนทำนิตยสาร ได้เดินทางมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่ออ่านแถลงการณ์ให้กลุ่ม “คณะราษฎร” ที่ถูกจำขังเป็นระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว โดยลำดับแรกคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ ต่อจากนั้นก็เป็นการอ่านบทกวี 4 ท่าน เริ่มจากคุณรณกร โรจน์รัตนดำรง กวีรุ่นใหม่, คุณรอนฝัน ตะวันเศร้า, คุณกฤช เหลือลมัย และคุณวาด รวี ที่จะมาอ่านบทกวีของคุณประกาย ปรัชญา

 

สำหรับแถลงการณ์ที่อ่านโดย คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ มีความว่า

 

คำประกาศเราคือเพื่อนกันด้วยความหวังและความห่วงใย

 

การมาวันนี้ของพวกเราในฐานะกวี นักเขียน ศิลปิน บรรณาธิการ และคนทำงานสื่อ พวกเรามาก็เพื่อจะบอกกับเพื่อนเราที่ถูกคุกคามและถูกจับกุมอย่างไม่เป็นธรรมจนต้องเสียอิสรภาพว่าพวกเขานั้นไม่ได้โดดเดี่ยว  พวกเรามาเพื่อเป็นกำลังใจและแบ่งรับความเจ็บปวดร่วมกัน  พวกเรามาเพื่อยืนยันใตเจตจำนงเสรีและจิตสำนึกที่ต้องการบอกว่าสิ่งที่พวกเขาต่อสู้เรียกร้องนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมชัดเจน  ทั้งนี้ก็เพื่อเปล่งเสียงให้ปรากฏเพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับปัญหาของบ้านเมือง และเพื่อนำประเทศออกจากวิกฤตเชิงโครงสร้างอันเนื่องมาจากฐานอำนาจแบบเผด็จการ

 

นอกจากนั้นความฝันของพวกเขาที่เปล่งเสียงออกมานั้นก็เป็นความฝันร่วมของพวกเราที่อยากจะเห็นประเทศเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและอยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง

 

เราที่มาร่วมกัน ณ ที่นี้เพื่อบอกกล่าวและเป็นประจักษ์พยานว่าข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม นักเรียน นักศึกษา และประชาชนหลากรุ่นหลายวัย ชัดเจน ตกผลึก และชอบธรรม ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็คือ

 

1) เราขอให้รัฐหยุดการคุกคามประชาชนในทุกรูปแบบ ในทันที ให้พวกเขาได้รับสิทธิการประกันตัวและต่อสู้ไปตามครรลองของกฎหมายที่เป็นธรรม รัฐจะต้องไม่ใช้กฎหมายล้นเกิน จับกุมผู้เห็นต่างที่มาแสดงออกอย่างสงบและปราศจากอาวุธ และการหยุดคุกคามประชาชนนั้นให้รวมไปถึงการไม่ทำรัฐประหารที่จะพาประเทศถอยกลับไปสู่ทางตันอย่างไม่รู้จบ

 

2) เรามาเพื่อยืนยันว่าบัดนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือสารตั้งต้นของปัญหาที่ใช้ตัวเองและพวกพ้องเป็นศูนย์บัญชาการของการสืบทอดอำนาจ รูปธรรมที่ชัดเจนก็เช่น การตั้งวุฒิสมาชิกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพื่อมารองรับการสืบทอดอำนาจ แล้วก็ดึงเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งที่ควรจะปกป้องสถาบันให้อยู่เหนือการเมืองเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสมานฉันท์ การบริหารอำนาจแบบรวมศูนย์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพ ได้ทำให้ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่แต่เดิมนั้นต้องการเพียงแค่ยุบสภา ก็ได้สั่งสมความไม่พอใจจนกลายมาเป็นในปัจจุบัน คือเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นแกนกลางของตัวปัญหานั้นต้องลาออกเท่านั้น แล้วก็ให้กลไกของรัฐสภาทำหน้าที่ต่อเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจก่อนที่จะยุบสภา คือการตั้ง สสร. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพื่อยุบเลิกวุฒิสมาชิกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

 

3) ความฝันของเรา ณ ที่นี้อีกประการหนึ่งก็คือ เราอยากเห็นสถาบันในฐานะ The Crown ที่มีความสง่างาม เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่อยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญที่สถาปนามาจากอำนาจของประชาชน และสิ่งนี้เป็นความฝันร่วมที่เราทุกฝั่งฝ่ายความคิดจะต้องเปิดใจเป็นมิตรต่อกัน ไม่จงเกลียดจงชังกัน อย่างมีความเข้าใจตรงกันว่า คำว่า “ปฏิรูป” หรือ Reform นั้น คือการรักษาระบอบให้สง่างาม ไม่ใช่การทำลายระบอบหรือเปลี่ยนระบอบ ดังนั้นจึงต้องเข้าใจให้ตรงกัน ไม่ว่าจะต่างกันทางความคิดในรายละเอียดหรือทางสถานะทางชนชั้นแบบใดก็ตาม เราก็ต้องเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันบนกติกาที่เท่าเทียม แสวงหาวิธีที่จะสร้างให้เกิดวิถีแห่งความปกติทางการเมือง สร้างความสง่างามให้สถาบันที่ตั้งอยู่บนหลักของนิติรัฐนิติธรรม ไม่อดทนต่อความเห็นต่าง

 

เราในฐานะกวี นักเขียน ศิลปิน บรรณาธิการ และคนทำงานสื่ออิสระในพื้นฐานต่าง ๆ เราเชื่อพลังบริสุทธิ์ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่ลงถนนด้วยความสงบและปราศจากอาวุธ เพื่อขอให้ท่านลาออกและหยุดการคุกคาม  พวกเขาทั้งหลายมาชู 3 นิ้ว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ของการเห็นคนเท่ากันในเชิงโครงสร้าง และต่างยังเชื่อมั่นในสันติวิธี ในเหตุผล ในความง่าย ในความงาม ในความจริงใจ

 

พวกเขาเหล่านั้นเชื่อว่าความยุติธรรมและความปกติทางการเมืองจะยังคงเป็นไปได้ในสังคมนี้ และดังนั้นพวกเขาจึงขอแล้วขออีกให้ท่านหยุดข่มขู่คุกคาม ให้พวกเขาได้ใช้สิทธิตามกระบวนการของกฎหมายที่เป็นธรรม พวกเขาไม่ได้ขอมากเกินไปเลย

 

จงปล่อยเพื่อนเราโดยไม่มีเงื่อนไข และหยุดข่มขู่คุกคาม พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นอนาคตของประเทศ เป็นปีกฝันแห่งความเปลี่ยนแปลง ส่วนพวกเราเป็นเพียงลมใต้ปีกของพวกเขาเท่านั้น และลมใต้ปีกจะมีอยู่ตลอดไปในนามแห่งความหวังของราษฎร และความปรารถนาของมวลชนที่ต้องการจะเห็นประเทศก้าวพ้นไปจากกับดักความพินาศ ถอยก้าวแรกของท่านโดยการลาออกเถิด แล้วท่านจะสง่างาม มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่ประเทศจะพ้นไปจากกับดักแห่งอำนาจ อย่าหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้เพิ่มมากขึ้นอีกเลย

 

นี่เป็นความห่วงใย เป็นความกังวล ที่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะมีความเห็นทางการเมืองต่างกันอย่างไร อยู่กันคนละฝั่งแบบไหน เราก็ต้องอยู่ร่วมกันไปให้ได้ต่อไปทั้งบนแผ่นดินและแผ่นฟ้าเดียวกัน

 

หยุดทำร้ายราษฎร หยุดทำลายอนาคต โปรดอย่าทำให้อนาคตไม่มีอนาคต

 

จากกวี นักเขียน ศิลปิน บรรณาธิการ และสื่อมวลชนอิสระ

เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

30 ตุลาคม 2563


******* 


บทกวีของ “คุณรณกร โรจน์รัตนดำรง” กวีรุ่นใหม่ 

(เขียนเมื่อ 13 ต.ค. 63)

 

วันนี้มวลเมฆมหาศาล  ฝนหลั่งกังวานจะร่วงระเบ็งลือชา

วันนี้พฤกษพรรณวรรณาพวงพุ่มผกา  จะระบัดระบำอำนวยพร

วันนี้น้ำนิ่งสิงขรสถลชลธร  จะคลอนขยับครามโครม

วันนี้ผิวเนื้อเหงื่อโทรม  จะไหลประโลมละเลงปลุกเนื้อดินตาย

วันนี้ถ่านเถ้าธุลีทราย  จะคลุ้งขจายตลบกลบแสงสุริยัน

วันนี้เกลียวหญ้าสามัญ  จะเกี่ยวกรกันตวัดเป็นทุ่งสีทอง

วันนี้ธรณีจะเนืองนองเนืองแน่นพี่น้อง เข้าพลิกฟ้าราบบรรลัย

วันนี้ราษฎรจะชิงชัย วันนี้ราษฎรจะชิงชัย 

จงหลีกครรไลให้มหาราษฎรดำเนิน


******* 


ชื่อบทกวี “เราจะดื่มสายรุ้ง” 

โดย “คุณรอนฝัน ตะวันเศร้า” กวีรุ่นใหม่

 

วันหนึ่งเราจะได้เจอกัน 

ในวันที่สายรุ้งลากเส้นผ่านฟ้าได้ยาวพอ

เพื่อให้ทุก ๆ คนได้ดื่มอย่างเท่าเทียม

ในทุกแก้วและในทุกการกลืน

อดทนเพื่อฟังเสียงหวีดหวิวไร้ภาษา

มาเนิ่นนานหลายพุทธศตวรรษ

และในศักราชของเราการรื้อสร้างได้ถูกยิงออกไปแล้ว

การรื้อสร้างได้ถูกยิงออกไปแล้ว

มันถูกยิงขึ้นฟ้าไปแล้ว

ดั่งรอยสักที่นานวันก็ยิ่งซึมลึก

กลายเป็นคำจารึกทางมานุษยวิทยา

ว่าการยอมถอยหลังจะไม่มีอีกต่อไป

เสียงหวีดหวิวจะเปล่งพยางค์สุดท้าย

แมงมุมตัวใหม่กำลังขึ้นใยเป็นครั้งแรก

โมงยามเดียวกับแม่น้ำที่กำลังเปลี่ยวร้าง

ความฝันบินว่อนกลิ่นไอหมอก

และความขลาดเขลาจะค่อย ๆ เน่าเปื่อย

วันนั้นเราจะดื่มสายรุ้งด้วยกัน

#หยุดคุกคามประชาชน #ปล่อยเพื่อนเรา

 

 *******


บทกวีจาก “คุณกฤช เหลือลมัย” นักเขียนและพ่อครัวผู้ทำอาหารอย่างเก่งกาจ

 

ครั้งแล้วครั้งเล่าของโศกนาฏกรรม     

ข้าพบว่าเพียงเพื่อตื่นจากฝันร้าย

มีชีวิตต่อไปโดยปราศจากมิตรสหายมักคุ้น

ดื่มและอาบน้ำจากธารสายเก่า

ท่องบทสวดต่อหน้ารูปเคารพอันเคยเชื่อถือศรัทธา

ข้าต้องเลือกทรงจำและลืมเลือน

โอ..แต่ข้าจะทำอย่างไรเล่า

หญิงสาวแห่งแสงตะวัน

ชายหนุ่มแห่งหมู่ดาว

รอยยิ้มเสียงหัวเราะและเรื่องเล่า

บทสนทนาเหล่านั้นเคยมีอยู่จริง ๆ

ที่การหลับใหลยาวนานเพียงใดก็ไม่อาจทำให้ลบเลือนไปได้

เรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องมีชีวิตต่อไปก็คือ

หลายสิบปีมาแล้วที่ข้าเพียรเสาะหา

ข้าเสาะหามวลไม้ที่แทงยอดลงต่ำ

พยัคฆ์ที่เสพพืชผลผักหญ้าเป็นภักษาหาร

จงอางที่ไม่หวงไข่

ข้าเสาะหาเลือดที่เปลี่ยนสีไปตามน้ำ น้ำที่ไม่เคยแยกสาย

ฟืนที่ไม่กำเนิดไฟ และข้าเสาะหาไฟ

ไฟที่ไม่เผาไหม้กำแพงคุก ไม่หลอมละลายโซ่ตรวนแห่งการจองจำ

ข้าเสาะหาลมที่ไม่พัดผืนธงหลากสีปลิวสะบัด

ดินที่ไม่ยอมกลบฝังหลุมศพเสรีชนและผู้คนที่สยบยอมความอยุติธรรม

ข้าเสาะหาคนที่สยบยอมต่อความอยุติธรรม

ข้าเสาะหาผู้คนที่สยบยอมต่อความอยุติธรรม

ไม่เคย...ข้าไม่เคยพบเลย...ข้าไม่เคยพบเลย

นั่นอาจดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

ในฝันร้ายที่หมายหลับใหลพวกเราอีกครั้ง

ข้ายินดียิ่งนักที่ตื่นอยู่ในโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง

ในดวงตาของท่านทั้งหลาย.


******* 


ชื่อบทกวี “เหตุผลง่าย ๆ” 

เขียนโดย “คุณประกาย ปรัชญา”

อ่านโดย คุณวาด รวี นักเขียนและบรรณาธิการ

 

เพื่อรูปการเปลี่ยนแปรแม้เล็กน้อย       

เพื่อรูปรอยความหวังยังวิบไหว

เพื่อเคลื่อนสิ่งเดิมห่างต่างที่ไป          

ยากยิ่งสิ่งใดใหม่จักได้มา

 

ประวัติศาสตร์ว่ายเวียนเกิดเปลี่ยนผ่าน 

ประวัติศาสตร์ลั่นดานการเปลี่ยนหน้า

ลั่นดานบ้านเมืองเชื่องชินชา             

รถถังรัฐฎาศักดินาธิปไตย

 

ทุกยุคจับกุมกวาดคุมขัง                  

ไพร่ยังเหลือจึงยังสังหารไพร่

ตายก่อนประกาศกล้าประชาชัย          

ตายเกลื่อนใยเติบกล้าประชาชน

 

ทุกยุคตื่นรอต่อยอดสู้                      

กดปืนข่มขู่อยู่เข้มข้น

เหตุใดไม่จำไม่จำนน                      

เหตุผลสภาวะอยุติธรรม

 

เราไม่เชื่องไม่ชินกลิ่นตีนทหาร          

เสรีภาพหอมหวานเถอะบานค่ำ

เราไม่ลดละใจไม่หลาบจำ                

ยิ่งคุมขังยิ่งตอกย้ำอำนาจเลว

 

เหลือจะจมขมไหม้ในปรักมืด            

ปรักที่ยืดยาวเห็นเป็นหุบเหว

เหลือสักเศษเสี้ยวเชื้อเพื่อสักเปลว     

เราแลกความล้มเหลวจุดเปลวไฟ

 

หน้าประวัติศาสตร์มิอาจเปลี่ยน          

เราขอเขียนขอคั่นบรรทัดใหม่

คำน้อยถ้อยนั้นบันดาลใจ                 

บันดาลจนภาพใหญ่ได้เปลี่ยนแปลง

 

สะสมรูปการผ่านสิ่งน้อย                  

สะสมรูปรอยค่อยทอแสง

เพื่อชนรุ่นหลังยังเชี่ยวแรง                

นำตกแต่งอนาคตหมดจดตา

 

เทียบชีวิตใช้สิทธิ์ชีวิตนี้                   

เราอาจวาดวิถีที่ดีกว่า

ทิ้งรอยโลกเก่าที่เรามา                    

จักทอค่ากว่าเก่าเมื่อเราไป