"จุลพงศ์ -ก้าวไกล" ซัดกลับ "คารม" ใช้อคติส่วนตัว
ขาดวุฒิภาวะ ไม่เป็นมืออาชีพโฆษกรัฐบาล ปมกล่าวหาว่าการต่อสู้ทางกฎหมายคดียุบพรรค
-ดึงต่างชาติกดดันอำนาจศาล
วันนี้ (5 ส.ค. 67)
เวลา 10.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.พรรคก้าวไกล แถลงข่าว
ชี้แจงกรณีนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหาหัวหน้าพรรคและพรรคก้าวไกลหลายประการในการต่อสู้ทางกฎหมายในคดียุบพรรคก้าวไกลว่า
การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวของรองโฆษกฯ เกิดจากความมีอคติส่วนตัวและความไม่เป็นมืออาชีพในตำแหน่งโฆษกรัฐบาล
ประการแรก
การต่อสู้เรื่องอำนาจศาลที่กำลังพิจารณาคดีในคดีใดคดีหนึ่งว่าศาลนั้นไม่มีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวนั้น
เป็นการต่อสู้คดีโดยปกติที่ฝ่ายถูกร้องหรือฟ้องร้องสามารถยกขึ้นมาต่อสู้คดีได้ทุกคดีในศาล
ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายที่ยกเรื่องศาลไม่มีอำนาจขึ้นมาต่อสู้แล้วเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
มีคดีในศาลจำนวนมากที่ศาลยกฟ้องด้วยเหตุที่มีการฟ้องผิดศาลคือโจทย์หรือผู้ร้องไปฟ้องต่อศาลที่ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี
ดังนั้น
การที่พรรคก้าวไกลยกข้อต่อสู้ประเด็นหนึ่งว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกลจึงเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งตรงกันข้าม การที่ผู้ที่ประกอบวิชาชีพกฎหมาย
แต่พูดชี้นำศาลรัฐธรรมนูญว่าการยกข้อต่อสู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคดีเป็นการละเมิดอำนาจศาลเช่นนี้
หากไม่ใช่การมีความรู้อันจำกัดของผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายแล้ว
น่าจะเป็นการแสดงความเห็นโดยมีอคติส่วนตัวกับพรรคก้าวไกล
ประการที่สอง
การต่อสู้ของพรรคก้าวไกลที่ยกขึ้นต่อสู้เรื่องการที่ กกต.
ดำเนินกระบวนการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองและระเบียบ กกต.
ในเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐานเพราะ กกต.
ไม่ได้เรียกให้พรรคก้าวไกลได้มีโอกาสให้ข้อเท็จจริงหักล้างข้อกล่าวหาของผู้กล่าวหานั้น
ขอชี้แจงว่า
เป็นการต่อสู้ของพรรคก้าวไกลในวิธีพิจารณาของ กกต. ก่อนที่ กกต.
จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้
ขั้นตอนการรวบรวมและรับฟังพยานก่อนฟ้องคดีนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการดำเนินคดี
เช่น หากเกิดร้องทุกข์ว่ามีการกระทำผิดในคดีอาญา ตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการโดยไม่มีการยกผู้กระทำผิดและพยานมาสอบสวน
และอัยการก็ส่งสำนวนที่ไม่มีการสอบสวนที่ได้รับจากตำรวจนั้นไปฟ้องยังศาล
ศาลย่อมยกฟ้องเนื่องจากกระบวนการได้มาซึ่งพยานหลักฐานในชั้นตำรวจไม่ถูกต้องเพราะไม่มีการสอบสวนพยานเอกสารและพยานบุคคลเลย
ทั้งนี้เรื่องกระบวนวิธีพิจารณาคดีก่อนการฟ้องคดีต่อศาลนั้นมีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายสิบคดีตัดสินสอดคล้องกันมาตลอดว่าเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน
หากการสอบสวนไม่ชอบ ศาลจะยกฟ้อง มิฉะนั้น
หากตำรวจส่งฟ้องศาลโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง อัยการและศาลไม่ยึดหลักตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ผลที่เกิดขึ้นคือ ความวุ่นวายในสังคม หาความสงบเรียบร้อยไม่ได้
และคนในสังคมจะหาความยุติธรรมด้วยวิธีการของตนเองแทนที่จะพึ่งตำรวจ อัยการและศาล
ประการที่สาม
การใส่ร้ายว่าพรรคก้าวไกลดึงต่างประเทศมากดดันศาลรัฐธรรมญนั้น
ตนเห็นว่าบุคคลที่มีความคิดเช่นนี้ขาดวุฒิภาวะในความเข้าใจสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน
ที่ประเทศไทยไม่สามารถอยู่โดดเดียวในสังคมโลกได้
คุณค่าของสังคมโลกในขณะนี้อยู่ที่การมีสิทธิมนุษยชนและสิทธิทางการเมืองของประชาชน
ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีผลต่อการลงทุนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสิ้น
ที่ผ่านมา
เมื่อประเทศไทยเกิดรัฐประหารครั้งใด
นานาชาติก็จะตัดการเจรจาการค้าและความร่วมมือทางทหารและสังคมกับประเทศไทย
การที่รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ออกมาแสดงความคิดเห็นที่ทำให้เข้าใจได้ว่าสมควรยุบพรรคก้าวไกล
ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีสมควรทบทวนการทำงานของรองโฆษกฯ
คนนี้ว่าได้แสดงความคิดเห็นแบบมืออาชีพของการเป็นโฆษกรัฐบาลหรือไม่
เพราะไม่ได้บอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัวโดยไม่ใช่ความเห็นรัฐบาล มิฉะนั้น
ประชาชนจะเข้าใจว่า
นายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองเหมือนเช่นที่เคยเกิดกับพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน
นายจุลพงศ์ กล่าว