“ไพบูลย์” ชี้ “อิ๊งค์” เริ่มต้นไม่รักษาคำมั่นที่ให้ไว้ต่อสาธารณะ ยกข้อกฎหมาย
ส่อไม่ซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ลั่น ไม่ต้องห่วง พปชร.ห่วง นายกฯ ดีกว่า
แจงไม่ขับ “กลุ่มธรรมนัส” ชี้ เป็นครอบครัวเดียวกัน
วันที่
29 สิงหาคม 2567 นายไพบูลย์ นิติตะวัน
รองหัวหน้าพรรคพนมประชารัฐ เปิดเผยว่า วันนี้
ตนเองได้แจ้งในที่ประชุมทราบว่ามีปรากฏตามข่าวว่ากรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย
มีมติไม่ให้พรรคพลังประชารัฐร่วมรัฐบาล
ส่วนตัวแจ้งเพิ่มเติมว่าเรื่องของพรรคพลังประชารัฐไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย แต่เกี่ยวโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี
เพราะนายกรัฐมนตรี เคยมีสัญญาประชาคมหรือเรียกว่าข้อตกลง
เสมือนเป็นคำมั่นกับพรรคพลังประชารัฐที่แสดงออกต่อสาธารณะว่าจะให้พรรคพลังประชารัฐลงมติเห็นชอบให้ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะให้
พลังประชารัฐ มีที่นั่งในคณะรัฐมนตรีด้วยตามสัดส่วนเดิม ซึ่งพรรคได้ให้ สส.
ไปลงมติสนับสนุนให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้ง 39 คมีเพียง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ที่ติดภารกิจไม่สามารถไปร่วมออกเสียงได้ แสดงว่าพรรคได้ทำตามคำมั่นแล้ว
นายกรัฐมนตรีจึงควรต้องทำตามคำมั่นที่ให้ไว้เช่นกัน
โดยนายไพบูลย์
ยกกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 362 บัญญัติว่าบุคคลออกโฆษณาให้คำมั่น
ว่าให้รางวัลแก่ผู้
ซึ่งกระทำการอันใดก็จำต้องให้รางวัลใดใดผู้ได้กระทำการอันนั้นแม้ถึงไม่ใช่ว่าผู้นั้นจะกระทำการโดยเห็นแก่รางวัล
ยืนยันว่านี่ไม่ใช่การกดดัน แต่เป็นเพียงการพูดข้อกฎหมายเท่านั้น
กรณีของนายกรัฐมนตรีได้ให้คำมั่นกับพรรคพลังประชารัฐ
และในครั้งหลังสุดนายกรัฐมนตรีก็ได้ออกมายืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
จึงถือว่าครบสมบูรณ์ตามหลักการของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ยืนยันว่า
พรรคพลังประชารัฐ สบายมาก พลเอกประวิตร หัวหน้าพรรคมีความสุข เข้มแข็ง และแน่วแน่
ที่จะดูแลพรรคในฐานะหัวหน้าพรรคไปจนกว่าจะไม่ไหว ดังนั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นหากเป็นไปตามนั้นก็ถือว่าเฉย ๆ
ที่ประชุมไม่มีการพิจารณาในเรื่องนี้ เพราะไม่ถือว่าต้องเป็นห่วง แต่คนที่ควรเป็นห่วงคือนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมากกว่า
เพราะการที่ให้คำมั่นสัญญาครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามคำมั่น
วิญญูชนโดยทั่วไปก็จะว่าได้ว่านายกรัฐมนตรี
ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่
ดังนั้น
ควรเป็นห่วงนายกรัฐมนตรีมากกว่า
เพราะหลักการมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ถือมีมีความสำคัญ
ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 บอกว่าการพิจารณาเจตนารมย์ของศาลรัฐธรรมนูญตามคำปรารภที่รัฐธรรมนูญวางไว้กลไกป้องกันตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบที่เข้มงวดเด็ดขาดเพื่อไม่ให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ
“การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 รู้หรือ
ควรรู้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติการณ์ต่าง ๆ ของผู้ถูกร้องที่สอง
แต่ยังเสนอแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกฟ้องที่
1 ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรีคนแล้ว
ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ก็ถือว่าขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160
วงเล็บ 4 และศาลรัฐธรรมนูญยังพิจารณาต่อไปว่าเมื่อขาดคุณสมบัติ
เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมในหมวดหนึ่งข้อแปดที่บัญญัติว่าต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ดังนั้น
ศาลจึงเสียงข้างมากวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่หนึ่งนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว
เนื่องจากไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์
และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงอันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
ตนตามหลักวิชาการเท่านั้น “
ทั้งนี้
นายไพบูลย์ ยืนยันว่า แม้ในอนาคตจะไม่ได้ร่วมรัฐบาลและต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน
ก็จะไม่มีการยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี เพราะ พลังประชารัฐ เป็นพรรคผู้ใหญ่
ไม่ไปทำอะไรอย่างนั้น เพียงแค่ต้องการบอกว่าเป็นเรื่องของคำมั่น
ซึ่งไม่ต้องมีสัญญาหรือลงลายมือชื่อ เพราะเป็นเรื่องของการแสดงเจตนาจึงอยากถามกับนายกรัฐมนตรี
ว่ามีคำมั่นแล้วไม่ปฏิบัติตามก็จะกลายเป็นข้อครหา
ศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานไว้อย่างชัดเจน ซึ่ง พลังประชารัฐ
ไม่ได้หวังจะให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อทำแล้วก็ทำต่อไปให้มันจบ ในส่วน
พลังประชารัฐ มีความมั่นคง และพร้อมทำทุกหน้าที่ที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
และขอฝากไปถึงพรรคเพื่อไทยว่า “เราไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับพรรค
ไม่ต้องมามีมติเรื่องอะไรกับเรา“
ส่วนที่มีกระข่าวว่าคนบ้านป่ามีคลิปวิดีโอของคนบ้านจันทร์ส่องหล้าเรียกรัฐมนตรีหารือในวันที่นายเศรษฐา
ทวีสิน หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวไม่ทราบ แล้วต่อให้รู้ก็ไม่รู้จะพูดทำไม
หากมีคลิปจริงจะเป็นไม้เด็ดในเรื่องของครอบงำพรรคหรือไม่
ว่า เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เท่าที่ดูจากสื่อมวลชน
แต่วันนี้ที่ให้สัมภาษณ์ยังต้องการจะบอกว่าให้สื่อมวลชนไปห่วงนายกรัฐมนตรี
ไม่จำเป็นต้องห่วงพรรคพลังประชารัฐ เราสบายมาก หัวหน้าพรรคอารมณ์ดีมาก
ในระยะนี้ไม่รู้เพราะอะไร สิ่งที่ตนเองเป็นห่วงคือสถานะของรัฐบาล
หากเริ่มต้นอย่างนี้จะอยู่ไปได้นานเพียงใด
ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วว่าจะมีชื่อร่วมรัฐบาลหรือไม่ ยิ่งไม่มีชื่อ จะกลายเป็นเรื่องดี
แสดงให้เห็นว่าไม่ทำตามคำมั่น และสส.ก็จะมีความสุข ทำงานอย่างเป็นอิสระ ไม่มีข้อจำกัดอะไร
ส่วนที่ถามว่าต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นเพียงระเบียบของสภาฯ
ที่กำหนดว่าเมื่อไม่มีนายกรัฐมนตรีอยู่ก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน แต่ในการทำงานจริง ๆ
ก็เป็นพลังประชารัฐ ที่ทำงานตามอุดมการณ์ของตนเองเหมือนเดิม
หากไม่ได้ร่วมรัฐบาลก็ไปเป็นฝ่ายค้านไม่เห็นเป็นไร
เป็นฝ่ายค้านเสียหายตรงไหน เพราะพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้ก็เป็นอดีตฝ่ายค้าน
ส่วนตัวมองว่าเป็นประโยชน์ หากต้องไปเป็นร่วมกับนายกมนตรี ที่ยังไม่ทันไรก็
ปฏิบัติตามคำมั่นไม่ได้หากต้องอยู่ด้วยก็เสียชื่อพรรค ประชาชนอาจมองเราในด้านไม่ดี
ลองไปสำรวจความเห็นที่มีต่อนายกรัฐมนตรีดูว่าเป็นอย่างไรส่วนตัวไม่อยากวิจารณ์
ส่วนตัวก็ดีใจที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกัน
ทั้งนี้
นายไพบูลย์ ย้ำว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวพลังประชารัฐ คนอื่นไม่อยากให้มาเกี่ยว
ยืนยันว่าพรรคจะไม่มีมติขับ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากพรรคแน่นอน
เพราะเป็นคนในครอบครัว ใครจะขับคนในครอบครัวตัวเอง เรามีความสุขที่จะอยู่ด้วยกัน
สส.พรรคพลังประชารัฐ ยังกินข้าวด้วยกันมีความสุขปกติเป็นหนึ่งเดียวกันหมด
ไม่รู้ทำไมคนนอกชอบมองประสงค์ร้ายกับเราหรือไม่