วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2567

“พริษฐ์” หวังรัฐบาลใหม่ทบทวนคำถามประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญอีกครั้ง หลังสภาฯ เห็นชอบร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติแล้ว ย้ำคำถามที่เปิดกว้างจะเพิ่มโอกาสให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สำเร็จ

 


“พริษฐ์” หวังรัฐบาลใหม่ทบทวนคำถามประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญอีกครั้ง หลังสภาฯ เห็นชอบร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติแล้ว ย้ำคำถามที่เปิดกว้างจะเพิ่มโอกาสให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สำเร็จ


วันที่ 21 สิงหาคม 2567 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้ความเห็นหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติในวาระที่ 3 โดยกล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติว่าจะเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการทำประชามติทั้งหมด 3 ครั้ง โดยจะไม่เดินหน้าจัดทำประชามติครั้งแรกและประกาศคำถามประชามติอย่างเป็นทางการ จนกว่าการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติจะแล้วเสร็จ ซึ่งในวันนี้สภาฯ ก็ได้มีมติเห็นชอบร่างแก้ไขในวาระที่ 3 แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการส่งร่างดังกล่าวเข้าสู่การกลั่นกรองของวุฒิสภา และคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย


ดังนั้น โจทย์สำคัญที่สุดเฉพาะหน้าในขณะนี้จึงหนีไม่พ้นเรื่องการกำหนด “คำถามประชามติ” สำหรับประชามติครั้งแรก ซึ่งคณะรัฐมนตรีในยุคนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เคยเสนอให้ใช้คำถามว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์”


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า พรรคประชาชนมีความกังวลว่าการตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะดุดลงและไม่ประสบความสำเร็จ ด้วย 3 เหตุผล คือ


1. คำถามประชามติที่คณะรัฐมนตรีในยุคนายกฯ เศรษฐาเสนอ เป็นการถาม 2 ประเด็นใน 1 คำถาม โดยมีการบรรจุเงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยในตัวคำถาม ซึ่งการออกแบบคำถามลักษณะนี้อาจทำให้ประชาชนบางคนที่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม แต่ไม่เห็นด้วยกับอีกบางส่วนของคำถาม (เช่น เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขเรื่องหมวด 1 และ หมวด 2) มีความลังเลใจว่าควรจะลงมติเช่นไรที่สะท้อนเจตจำนงหรือจุดยืนของตนเอง และทำให้ในบรรดาคนที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะลงคะแนน “เห็นชอบ” เหมือนกันอย่างเป็นเอกภาพ


2. คำถามประชามติที่คณะรัฐมนตรีในยุคนายกฯ เศรษฐาเสนอ เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประสบปัญหาในเชิงกฎหมาย เพราะในเมื่อเนื้อหาของรัฐธรรมนูญในแต่ละหมวดมีความสัมพันธ์กันโดยธรรมชาติ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจมีการยกร่างเนื้อหาบางส่วนในหมวด 3 เป็นต้นไป ที่ทำให้เกิดความจำเป็นทางกฎหมายที่จะต้องแก้ไขบางข้อความในหมวด 1 และ หมวด 2 ให้สอดคล้องกันกับหมวดอื่นๆ แต่การแก้ไขดังกล่าวไม่สามารถกระทำได้ในกระบวนการดังกล่าว หากไม่เปิดให้มีการแก้ไขข้อความในหมวด 1 และ หมวด 2 ในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่


3. คำถามประชามติที่คณะรัฐมนตรีในยุคนายกฯ เศรษฐาเสนอ เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่สามารถแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองในบริบทปัจจุบันได้ เพราะในเมื่อเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของรัฐธรรมนูญคือการออกแบบกติกาการเมืองที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายท่ามกลางความเห็นที่แตกต่าง การปิดกั้นข้อเสนอจากประชาชนเกี่ยวกับการปรับปรุงเนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 (ที่ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ) อาจเพิ่มความเสี่ยงที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่ถูกมองว่าสะท้อนฉันทามติใหม่ของประชาชนทุกคนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก็ไม่ได้ห้ามเรื่องการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ไว้ รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2560 ก็มีการปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 มาโดยตลอด


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น ในเมื่อประเทศเรากำลังจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ตนและพรรคประชาชนจึงหวังว่าคณะรัฐมนตรีในยุคนายกฯ แพทองธารจะเห็นด้วยกับข้อกังวลดังกล่าว และทบทวนคำถามประชามติ โดยหันมาใช้คำถามที่มีลักษณะเปิดกว้างว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (โดยไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ)”


พริษฐ์กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากการหวังให้รัฐบาลพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวแล้ว พรรคประชาชนยังมีญัตติเรื่องคำถามประชามติที่เสนอโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 มาตรา 9(4) ค้างอยู่ในระเบียบวาระการประชุม ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรสามารถเลื่อนขึ้นมาพิจารณาได้ทันทีหากเห็นว่ามีความเร่งด่วน ในเมื่อรัฐบาลใหม่จะต้องตัดสินใจเรื่องคำถามประชามติในเร็วๆ นี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชามติ #รัฐธรรมนูญ