ฝุ่นพิษ PM2.5 เริ่มมาแล้ว! สส. ภัทรพงษ์ เร่งรัฐบาล ถ้าไม่ขยับ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ประชาชนเป็นมะเร็งปอด
วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส. เชียงใหม่ พรรคประชาชน กล่าวถึงฝุ่นพิษ PM2.5 ที่กำลังปกคลุมบริเวณพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร ภาคคมนาคม/อุตสาหกรรม และฝุ่นพิษภาคเกษตรกรรม โดยที่รัฐบาลไม่มีมาตรการออกมาบังคับใช้ทั้งเชิงสนับสนุนและเชิงบังคับใดๆ ทั้งๆ ที่ปัญหานี้พรรคประชาชนได้อภิปรายต่อรัฐบาลไปแล้วอย่างชัดเจน
ภัทรพงษ์ ระบุถึงที่มาของฝุ่นพิษ PM2.5 กทม. และปริมณฑล แค่เริ่มต้นก็ทะลุ 100 AQI นั้นมาจากไหน?
(1) ฝุ่นพิษจากภาคคมนาคม/อุตสาหกรรม จากข้อมูลจากดาวเทียมในส่วนของข้อมูลการปล่อย NO2 แล้วจะเห็นชัดเจนครับว่า พื้นที่กทมและจังหวัดโดยรอบ มีการปล่อยมลพิษชนิดนี้สูงมาก ๆ เรียกได้ว่าค่าโดดออกมาเห็นชัดแทบที่สุดในระดับภูมิภาค ซึ่งสรุปในเบื้องต้นได้ว่าหลัก ๆ มาจากเครื่องยนต์และมีภาคอุตสาหกรรมรองลงมา
(2) จากการเผาภาคการเกษตร ตรงนี้เห็นชัดเจนจากจุดความร้อนในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา และภาพถ่ายพื้นที่จากดาวเทียม Sentinel-2 ในเช้าวันที่ 1 ธ.ค.นี้ พบว่าเป็นการเผาในพื้นที่ปลูกนาข้าวค่อนข้างเยอะ เพราะช่วงเวลานี้ หลังจากที่มีการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้ว เกษตรกรจะเร่งรอบในการปลูกข้าวนาปรัง ด้วยการเผาตอซังข้าว เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้ได้เร็วที่สุดครับ
(3) ฝุ่นจากข้อ 1 และ 2 หนาแน่นขึ้นเพราะสภาพภูมิอากาศในช่วงนี้ ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคกลางมีอัตราการระบายอากาศที่แย่มาก คิดง่ายๆ ให้เห็นภาพคือ ประเทศเราเหมือนมีฝาชีที่กดต่ำลงมามากกว่าปกติ ทำให้ฝุ่นลอยขึ้นไปไม่สูง และมีความหนาแน่นมากขึ้น เราก็สูดฝุ่นเข้าไปมากขึ้นนั่นเองครับ
ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เคยอภิปรายมาหลายต่อหลายปีว่า การทำงานป้องกันปัญหาฝุ่นพิษต้องทำหนักที่สุดในช่วง”ก่อน”ที่จะเกิดฝุ่น แต่ก็ยังคงถูกเพิกเฉยมาทุกๆ ปี ซึ่งปีนี้ก็ไม่ต่างกัน
.
(1) ไม่มีมาตรการออกมาบังคับใช้กับเรื่องการจัดการรถ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งชั้น Low emission zone จากพื้นที่จังหวัดโดยรอบ กทม. มาจนถึง กทม. ชั้นใน มีเพียงการทำมาตรการจาก กทม. เพียงหน่วยงานเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอต่อการจัดการปัญหานี้ เพราะเป็นการใช้ พ.ร.บ.ปภ.ที่ กทม. กำหนดเกณฑ์การประกาศใช้ low emission zone สูงเกินไปทำให้บังคับใช้จริงได้ยาก และในส่วนนี้รัฐบาลต้องเป็นคนจัดการเพราะมันต้องทำเป็นระบบที่กว้างกว่าเพียงแค่ กทม. จังหวัดเดียว
ในส่วนนี้ภัทรพงษ์ได้อภิปรายต่อรัฐบาลไปแล้วตั้งแต่วันแถลงนโยบายสิ้นเดือนกันยายน รวมถึงมาตรการการกำหนดมาตรฐานที่เข้มข้นขึ้นสำหรับการปล่อยมลพิษภาคอุตสาหกรรมเฉพาะพื้นที่ กทม. และปริมณฑลนี้ตามหลักการ Non-attainment area ด้วย แต่ก็ไม่มีการดำเนินการจากรัฐเลย
(2) ในส่วนภาคเกษตรกรรมยิ่งแล้วใหญ่ แม้ว่าเรารู้อยู่แล้วว่าต้องเตรียมรับมือกับการเผาภาคการเกษตรก่อนฤดูการปลูกนาปรัง และหลังเก็บเกี่ยวอ้อยในช่วงปลายปีและต้นปี แต่มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมาตรการใด ๆ ออกมาเลย
ภัทรพงษ์กล่าวว่าคำของบกลางจากกระทรวงเกษตร แต่ละหน่วยงานแต่ละกรมได้เตรียมคำขอกันมาแล็วเสร็จช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนซึ่งช้ามากแล้ว มาถึงตอนนี้ธันวาคมก็ยังไม่เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติงบเลย จากที่ได้บอกรัฐบาลว่าส่วนนี้ต้องเสร็จภายในเดือนตุลาคม เพื่อให้เกษตรกรมีความมั่นใจและรับรู้ถึงแนวทางการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ชัดเจนว่า หากเขาไม่เผา เขาจะได้อะไร และมีวิธีการอย่างไรในการที่ช่วยให้เขาไม่เผาบ้าง
ในส่วนของข้าว ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรมีจุลินทรีย์ย่อยสลายตอซัง ที่สามารถจัดการเศษวัสดุได้ภายใน 5-7 วันครับ ไม่ต้องเผาเลย และการทำแบบนี้ยังมีผลการศึกษาชัดเจนว่า ทำให้นาข้าวได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นด้วย แม้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 100 บาทต่อไร่ แต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้เกษตรกรได้กำไรมากกว่าการเผาด้วยซ้ำ แต่รัฐบาลกลับเชื่องช้าไม่ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้ประชาชนสูดฝุ่นจากการเผาและปล่อยให้เกษตรกรกลายเป็นผู้ร้ายในสังคมแบบนี้ต่อไป รวมถึงมาตรการสนับสนุนเกษตรกรไม่เผา ก็ยังไม่มีการเคาะตัวเลขออกมาจากคณะรัฐมนตรีให้เกษตรกรวางแผนต้นทุนล่วงหน้าอีกต่างหาก
ภัทรพงษ์กล่าวว่าการป้องกันฝุ่นพิษต้องทำเสร็จตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมแล้ว แต่มาถึงตอนนี้ รัฐบาลยังไม่มีมาตรการใดๆออกมาบังคับใช้ที่เห็นผลเลย ถ้าหากรัฐบาลทำงานเต็มที่ออกมาตรการจัดการทุกอย่างชัดเจน แต่เกิดเหตุแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศ การระบายอากาศแย่สุดเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ แบบนี้เข้าใจได้ แต่ไม่สามารถรับได้ กับการที่รัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ ออกมา ทั้งๆ ที่รู้ปัญหาอยู่แล้ว และพรรคประชาชนก็ได้สะท้อนปัญหานี้อย่างชัดเจนไปทุกช่องทางหลายต่อหลายครั้งแล้วแบบนี้ได้เลย
ภัทรพงษ์ระบุว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น ยังไม่ได้พูดถึงอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไฟป่า และมลพิษจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่รัฐบาลชุดนี้ทำเพียงแต่ประชุม โดยที่ไม่มีผลลัพธ์ออกมาแก้ปัญหาเลย
ซึ่งการทำงานของรัฐบาลตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้ประชาชนเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดมากขึ้น โดยที่รัฐบาลไม่ทำอะไรเลย
