ปชน.เปิดเวทีรับฟังความเห็นชาวกรุง
ดันร่างแก้ “พ.ร.บ.กทม.” ปลดล็อกอำนาจ-งบประมาณ ตอบโจทย์การแก้ปัญหาประชาชน “วรภพ”
ชี้สัญญาณดี ท่าที กทม.-รัฐบาลเห็นด้วยในหลักการ หวังส่งร่างประกบ
ดันวาระแก้สำเร็จก่อนเลือกตั้งผู้ว่า กทม.รอบหน้า
วันที่
24 พฤษภาคม 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่
พรรคประชาชนจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อการปรับปรุง พ.ร.บ.กรุงเทพมหานคร
ตามข้อเสนอของพรรคประชาชน โดยมี สส. และ ส.ก.
จากพรรคประชาชนเป็นผู้ร่วมนำเสนอหลักการและเหตุผลในการปรับปรุงแก้ไข พร้อมมีประชาชนเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อร่างปรับปรุงแก้ไข
พ.ร.บ.กรุงเทพมหานคร จำนวนมาก
โดย
วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
ได้เป็นผู้นำเสนอหลักการและเหตุผลของข้อเสนอแก้ไข พ.ร.บ.กรุงเทพมหานคร โดยระบุว่า
การแก้กฎหมายไม่ได้เป็นยาวิเศษ
แต่เป็นขั้นแรกของการแก้ไขปัญหาหลายอย่างที่ติดล็อกอยู่ตามกฎหมายปัจจุบันให้สามารถทำได้ในอนาคต
พ.ร.บ.กรุงเทพมหานครเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี
2528 ถึงแม้จะมีการแก้ไขมาเรื่อยๆ
แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่ที่ไม่ตอบโจทย์คนกรุงเทพมหานคร
ซึ่งสิ่งที่พรรคประชาชนเห็นว่าควรมีการแก้ไขสามารถสรุปได้เป็น 6 ประเด็นใหญ่ๆ คือ
1)
ปลดล็อกอำนาจให้กรุงเทพมหานคร
โดยเปลี่ยนหลักการเขียนกฎหมายจากรูปแบบ “Positive List” หรือการระบุว่า
กทม. สามารถทำอะไรได้บ้าง มาเป็นรูปแบบ “Negative List” โดยระบุว่า
กทม. สามารถบริหารบริการสาธารณะได้ทั้งหมด ยกเว้นที่ห้ามไว้ เช่น เรื่องกองทัพ
เงินตรา ศาล สัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งจะสามารถปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ
ของกรุงเทพมหานครได้
2)
ปลดล็อกข้อจำกัดทางการเงินการคลัง โดยกรุงเทพมหานครมีงบประมาณราว 1
แสนล้านบาทต่อปี มีประชากร 5 ล้านคน
แต่ก็มีประชากรแฝงด้วย เฉพาะคนที่ขึ้นทะเบียนบัตรทองก็มีอยู่ถึง 8 ล้านคนแล้ว จึงเกิดข้อจำกัดทางการเงินการคลังขึ้น
พรรคประชาชนเสนอว่ากรุงเทพมหานครควรจะสามารถจัดเก็บค่าธรรมเนียมใหม่ๆ ได้เอง เช่น
ค่าธรรมเนียมโรงแรม หรือการออกพันธบัตรด้วยตัวเอง
หรือร่วมทุนกับเอกชนเช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลกได้
3)
การถ่ายโอนภารกิจที่ปัจจุบันหลายอย่างยังไม่ได้อยู่ในการดูแลของกรุงเทพมหานคร
เช่น เรื่องการจราจร ซึ่งอยู่ในรายการที่ต้องถ่ายโอนให้ท้องถิ่นมาหลายสิบปีแล้ว
แต่ก็ยังไม่มีการถ่ายโอนเกิดขึ้น ร่างแก้ไข
พ.ร.บ.กรุงเทพมหานครจะกำหนดให้ภารกิจที่ต้องถ่ายโอนให้ กทม. ต้องเกิดขึ้นภายใต้ไทม์ไลน์ที่ชัดเจน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำคู่มือในการถ่ายโอน
และหากหน่วยงานไม่ถ่ายโอนตามกำหนดระยะเวลา
ก็ต้องการมีลงโทษทางวินัยต่อหัวหน้าหน่วยงานนั้นๆ ด้วย
4)
การปรับกรุงเทพมหานครให้เป็นองค์กรปกครองรูปแบบพิเศษ 2 ชั้น คือชั้นบนมีผู้ว่า กทม. และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.)
ส่วนชั้นล่างคือระดับเขต ก็มีผู้บริหารเขตที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง
และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) เขตละ 12 คน
ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับการบริหารมหานครในต่างประเทศ เช่น กรุงโซล โตเกียว
หรือลอนดอน
5)
สร้างกลไกให้การเลือกตั้งทุกระดับใน กทม. เกิดขึ้นพร้อมกัน
เพื่ออำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชน
6)
การรับรองสิทธิของพลเมืองในการมีส่วนร่วมบริหารกรุงเทพมหานคร
โดยกำหนดให้ประชาชนสามารถรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอญัตติให้สภา กทม. หรือผู้ว่า กทม.
เข้าชี้แจงเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนได้
หรือกระทั่งโครงการและการใช้งบประมาณต่างๆ กรุงเทพมหานครต้องสร้างกลไกที่ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นได้
รวมถึงการจัดทำประชามติตามที่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ เสนอ
วรภพกล่าวต่อไปว่า
หลังจากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนวันนี้
พรรคประชาชนจะนำร่างดังกล่าวไปปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และเมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ พรรคก็จะนำร่างยื่นเข้าสู่สภาฯ ต่อไป
ซึ่งเท่าที่ปรากฏในข่าวนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่กรุงเทพมหานครเองก็เห็นด้วยกับการแก้ไข
และหวังว่าพรรคการเมืองอื่นๆ
รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลจะให้ความสนใจและเสนอร่างของตัวเองประกบเข้ามาด้วย
ซึ่งจะทำให้สามารถเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาได้เร็วขึ้น
และแก้ไขได้ทันก่อนการเลือกตั้งปี 2570 หรือหากทันก่อนการเลือกผู้ว่า
กทม. ก็จะยิ่งเป็นการดี
แน่นอนว่าในสาระอาจเห็นแตกต่างกันได้
แต่ในหลักการ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างกรุงเทพมหานครเองก็เห็นว่าควรมีการแก้ไข
อีกทั้งพรรคแกนนำรัฐบาลตามหน้าข่าวล่าสุดก็มีการขยับในทิศทางที่เห็นด้วยว่าควรมีการแก้ไข
อาจเรียกได้ว่าในหลักการทุกฝ่ายเห็นตรงกันแล้วว่า พ.ร.บ.กรุงเทพมหานครล้าสมัยและควรเกิดการแก้ไขได้แล้ว
จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำอย่างไรให้กระบวนการเกิดเร็วขึ้นและนำไปสู่การแก้ไขได้จริง
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน