"ทนายแจม” ชี้ปัญหาหน่วยงานรัฐตีความกฎหมายป้องกันอุ้มหายไม่ตรงกัน กระทบกรณีส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์ให้จีน หลัง สตม. แจงไม่ได้บันทึกภาพตอนส่งตัว พร้อมเรียกร้องรัฐบาลตอบคำถามสังคมตรงไปตรงมา
วันนี้ (12 มี.ค. 68) น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 11 พรรคประชาชน และกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน คนที่หนึ่ง โพสข้อความระบุว่า
ประชุม กมธ.กฎหมาย ส่งอุยกูร์กลับจีน เดินทางกลับโดยสมัครใจ หรือ บังคับให้สมัครใจ? และ ปัญหาการตีความการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการทรมานฯ
วันนี้ (12 มี.ค. 2568 ) แจมเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน มีวาระการประชุมเรื่อง ติดตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการส่งผู้ถูกกักตัวชาวอุยกูร์กลับจีน รวมทั้งการปฏิบัติตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 โดยที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง คือ สำนักงานตำรวจแกางชาติ,สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง,กระทรวงยุติธรรม,กระทรวงการต่างประเทศ และ สภาความมั่นคงแห่งชาติ
ประเด็นในการประชุมครั้งนี้คือ รายละเอียดข้อเท็จจริงในกระบวนการส่งตัวชาวอุยกูร์ที่เกิดขึ้น หลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันถึงความสมัครใจของผู้ถูกกักตัวในการกลับประเทศต้นทาง ซึ่งตัวแทนจากหน่วยงานรัฐชี้แจงว่า ได้มีหนังสือขอตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์จากรัฐบาลจีน และ การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีมติส่งตัวกลับเมื่อวันที่17ม.ค. ก่อนจะมีการดำเนินการส่งตัวในเช้ามืดวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา
ตัวแทนจาก สมช.ให้ข้อมูลว่า รมต.ยุติธรรม ได้ให้ความเห็นในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 และมีการดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนที่ถูกต้อง ประกอบกับทางรัฐบาลจีน รับรองในความปลอดภัยและไม่ถูกดำเนินคดีในการกลับไป
ซึ่งกระบวนการที่เกิดขึ้นยังเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยใจจากประชาชนและองค์กรระหว่างประเทศว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ เพราะข้อมูลจากภาคประชาสังคมยืนยันว่า ชาวอุยกูร์ไม่ได้สมัครใจและมีการอดอาหารประท้วงถึง19วัน รวมทั้งเหตุการณ์ในวันถูกส่งตัวยังทำในเวลาวิกาลอีกทั้งรถที่ใช้ยังติดเทปดำเพื่อปกปิดการมองเห็น
โดยทางคณะกรรมาธิการได้ซักถามถึงการบันทึกเหตุการณ์การส่งตัวกลับจากกล้องวงจรปิด(cctv) ตามมาตรา22 และทาง สตม.แจ้งว่าไม่มีการบันทึกไว้และไม่เข้าเงื่อนไขในมาตรา22 นอกจากนี้ยังมีการตีความในมาตรา13 ที่ระบุว่า " ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับบุคคลำปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมานฯ" ว่าการกระทำของรัฐบาลไทยได้ทำผิดในมาตรานี้หรือไม่ ทำให้เห็นว่ามีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในการบังคับใช้และตีความ พรบ.ฉบับนี้ในหลายมิติ เห็นควรให้มีการกลับมาทบทวนหลักการและเจตนารมย์ตั้งต้นของการร่างกฎหมายที่ต้องการคุ้มครองประชาชนจากการบังคับของเจ้าหน้าที่รัฐ
แจมมีความเข้าใจในข้อจำกัดของตัวแทนจากหน่วยงานในฐานะผู้ปฏิบัติตามคำสั่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขอเรียกร้องให้ผู้บริหารจากฝ่ายการเมือง ได้แก่ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง , รมต.ยุติธรรม, รมต.การต่างประเทศ ในการชี้แจงและให้ข้อมูลที่สังคมสงสัยอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา กระบวนการส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเชื่อมั่นระหว่างเทศอย่างยิ่ง ในฐานะตัวแทนจากฝ่ายนิติบัญญัติจะติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิดต่อไปค่ะ