วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“รังสิมันต์ โรม” กมธ.ความมั่นคงฯ แถลงคืบหน้าการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์-สาวให้ถึงตัวการใหญ่ เผยระบบ “ไบโอเมตริกซ์” ไทย ใบอนุญาตหมดแล้ว 3 ปี ต้องใช้วิธีโบราณถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือแทน ชี้ เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย-ถามหาผู้รับผิดชอบ

 


“รังสิมันต์ โรม” กมธ.ความมั่นคงฯ แถลงคืบหน้าการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์-สาวให้ถึงตัวการใหญ่ เผยระบบ “ไบโอเมตริกซ์” ไทย ใบอนุญาตหมดแล้ว 3 ปี ต้องใช้วิธีโบราณถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือแทน ชี้ เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย-ถามหาผู้รับผิดชอบ 


วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ แถลงข่าวความคืบหน้าการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยวันนี้ คณะกมธ. ได้ประชุมพิจารณา 2 วาระ ได้แก่ วาระที่หนึ่ง เรื่องข้อมูลอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่และเป็นเรื่องที่สังคมทั่วไปไม่รับรู้ รับทราบมาก่อน โดยที่ผ่านมา ในการใช้บริการสนามบิน จะมีการเก็บข้อมูลชีวภาพ หรือ ไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) ด้วยความละเอียดรอบคอบ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญ ในการเพิ่มประสิทธิภาพ ตรวจจับใบหน้า ลายนิ้วมือ ที่อาจจะนำไปสู่การใช้เพื่อปราบปรามอาชญากร แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนพาสปอร์ต ก็สามารถตรวจจับได้ แต่ตลอดปี 2567 -2568 รวมไปถึงอีก อีก 2 ปีข้างหน้า ไม่มีการใช้ไบโอเมตริกซ์ในการเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง หรือแม้กระทั่งบริเวณชายแดน ซึ่งมีโอกาสที่นักท่องเที่ยวสีเทาทั้งหลาย จะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ใช้ประเทศไทยก่ออาชญากรรม แม้ว่าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้การถ่ายรูป และพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลที่ได้รับไม่เพียงพอ ถ้าเพียงพอคงไม่จำเป็นต้องไปซื้อไบโอเมตริกซ์จากบริษัทอื่นเลย ดังนั้น ประเด็นดังกล่าวจะกลายเป็นช่องว่างสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้ความอันตรายของปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน โดยที่ สตม. ไม่มีความรับผิดชอบในการป้องกันปัญหานี้ไว้ล่วงหน้า เนื่องจาก สตม.รับรู้อยู่แล้วว่าใบอนุญาตลิขสิทธิ์ หรือ ไลเซนต์จะหมด แต่ก็ยังปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น กลายเป็นช่วงเวลาสุญญากาศ ต้องกลับไปใช้วิธีการโบราณแทนที่จะใช้วิธีในการที่จะไบโอเมตริกซ์เก็บข้อมูลและทำให้คนไทยได้รับความปลอดภัยมากขึ้น รวมไปถึงการที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ ต้องไปใช้วิธีการขึ้นแบล็กลิสต์ต่าง ๆ โดยยังไม่แน่ใจว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด จึงขอตั้งคำถามไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ว่าปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร หากมีการก่ออาชญากรรมขึ้น โดยที่ระบบไม่สามารถป้องกันได้จะรับผิดชอบอย่างไร 


สำหรับในวาระที่สองมีการประชุมเพื่อขยายผลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการปราบปรามทุนสีเทา ทั้งนี้ได้มีการทำความเข้าใจประเด็นการออกหมายจับ พ.อ.ซอ ชิตตู่ (Saw Chit Thu) หรือ หม่อง ชิตตู ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (BGF) ที่มีความล่าช้า โดยได้พบว่าอัยการ ทำให้การออกหมายจับไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักรอัยการสูงสุดจึงเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พยายามดำเนินการอยู่ แต่การส่งมอบข้อมูลไปถึงอัยการก็ยังไม่เกิดขึ้น จึงตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดอัยการจึงล่าช้า ซึ่งอาจนำไปสู่มีการย้ายทรัพย์สินของอาชญากร และไม่สามารถแช่แข็งทรัพย์สินเหล่านั้นได้ โดยปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นมีมูลค่ามหาศาล คนจำนวนมากรอคอยการชดเชย การเยียวยา การได้รับเงินคืน ถ้าไม่สามารถที่จะไปทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วนำไปสู้การแช่แข็งทรัพย์สินได้ผู้เสียหานก็จะไม่มีทางได้เงินคืน จึงมีความสำคัญที่จะต้องดำเนินการต่อไป 


นอกจากนี้ ยังไม่มีการขยายผลไปสู่ พ.ต.เต่ง วิน หนึ่งผู้นำกองกำลัง BGF เนื่องจากเป็นผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited (SMTY) คู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ขายไฟจากแม่สอดไปยังเมียวดี และยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของคดียาเสพติด 


อย่างไรก็ตาม เริ่มปรากฏหลักฐาน ว่าอาจมีผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มขึ้น เป็นกองกำลังที่มีอิทธิพลอยู่บริเวณพญาตองซู ต้องมีการขยายตรวจผลต่อไป เพราะบุคคลที่อยู่ในกองกำลังดังกล่าว อาจเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดในประเภทลักลอบสารตั้งต้นเพื่อไปผลิตยาเสพติด รวมถึงยาเสพติดที่ส่งเข้ามาที่ประเทศไทยเพื่อส่งต่อไปยังประเทศอื่นอีกด้วย ขอยืนยันว่าแหล่งผลิตยาเสพติดแหล่งใหม่ได้ปรากฏขึ้นแล้ว และตั้งอยู่ที่รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทางฝั่งว้าเท่านั้น


สำหรับประเด็นท่าข้าม ซึ่งใน จ.ตาก มีอยู่ทั้งหมด 59 ท่า โดยยืนยันว่าบางท่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง โดยประเด็นนี้อยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะสรุปว่าผู้ใดจะมีอำนาจสั่งปิดท่าข้าม หากได้คำตอบที่ชัดเจน จะมีการเดินหน้าต่อไป


ในประเด็นสุดท้าย กมธ.ได้มีการสอบถามเรื่องการส่งตัวไปจีน โดยประเด็นนี้ การส่งคนต่างชาติ สมช. ได้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือเป็นกลุ่มที่เป็นชาติที่มีจำนวนมาก เช่น จีน จะมีแค่การบันทึกภาพและลายนิ้วมือ ไม่ได้มีการแสวงหาข้อมูล ไม่ได้มีการนำเข้ามาสู่กระบวนการของการคัดแยกเหยื่อ และอาชญากร กล่าวโดยสรุปคือ ประเทศไทยจะไม่มีข้อมูลว่า ผู้ใดคืออาชญากรรายใหญ่ กมธ.จึงท้วงติงว่าการทำแบบนี้ มิได้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เพราะต่อไปในอนาคต กลุ่มดังกล่าวมีโอกาสกลับมาก่ออาชญากรรมที่ประเทศไทยได้อีกครั้ง ในส่วนที่สอง จะมีการเข้าสู่กระบวนการแยกเหยื่อชาติอื่นที่ไม่ใช่จีน ซึ่งกมธ.ก็ท้วงติงว่าอาจจะทำให้ประเทศอื่นมองว่าประเทศไทยยอมให้มีการลัดขั้นตอนให้กับคนจีน โดยไม่ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น คณะกมธ.จึงมีจุดยืน โดยขอให้รัฐบาลทบทวนว่า ไม่ว่าจะเป็นชาติใดต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายของประเทศไทย จะต้องมีการสอบข้อเท็จจริง เพื่อสืบสวนไปยังตัวการใหญ่ต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธความมั่นคง #แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ #จีนเทา #ไทยเทา #รังสิมันต์โรม