วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2567

“วิโรจน์” อัดงบ ศธ. ยุครมว.ชื่อ"เพิ่มพูน" แต่การศึกษาไทยถดถอย แนะลดงบไม่จำเป็น ตัดโครงการฝากเลี้ยง หนุนเด็กตกหล่นกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา

 


วิโรจน์” อัดงบ ศธ. ยุครมว.ชื่อ"เพิ่มพูน" แต่การศึกษาไทยถดถอย แนะลดงบไม่จำเป็น ตัดโครงการฝากเลี้ยง หนุนเด็กตกหล่นกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา

 

วันที่ 5 มกราคม 2567 ในการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วันสุดท้าย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายงบประมาณด้านการศึกษา โดยเน้นการอภิปรายไปที่ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก

 

วิโรจน์กล่าวว่า ผลการทดสอบ PISA 2022 ที่เพิ่งประกาศออกมา ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายเช่นเดิม ได้คะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี สะท้อนถึงความล้มเหลวและวิกฤติของระบบการศึกษาไทย ซ้ำร้ายจากคำสัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566 ที่ระบุว่า “คงไม่เทียบมาตรฐานกับประเทศอื่นดีกว่า ของเราเป็นตัวของเราเอง” ยิ่งสะท้อนถึงปัญหาในการจัดงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะ PISA ไม่ใช่คะแนนสอบแต่เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของการพัฒนาคน

 

การศึกษาไทยไม่ใช่เดินตามหลัง แต่เรากำลังเดินหลงทาง เดินตามหลังนั้นยังดี มองไปข้างหน้ายังเจอผู้คน อาจจะไปถึงช้ากว่าเพื่อน แต่ก็ยังไปถึง แต่ที่ รมว.ศึกษาธิการ บอกว่าของเราเป็นตัวของเราเองนั้น มองไปข้างหน้าก็ไม่เจอใคร มองไปข้างหลังก็ไม่เจอคน มองซ้ายมองขวาเจอแต่ความว่างเปล่า นี่คือเรากำลังหลงทาง ยิ่งเดินต่อไปยิ่งเข้ารกเข้าพง เรากำลังอยู่ในยุคที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชื่อ ‘เพิ่มพูน’ แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามีแต่ถดถอย” วิโรจน์กล่าว

 

วิโรจน์กล่าวต่อไปถึงปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก หรือโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 120 คน โดยตามข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุว่าปีการศึกษา 2566 มีจำนวนโรงเรียนขนาดเล็กทั้งสิ้น 14,996 แห่ง จากโรงเรียนทั้งหมด 29,312 แห่ง คิดเป็น 51.2% หรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งไปแล้ว และยังมีโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 121 - 200 คน อยู่อีกประมาณ 7,000 แห่ง ที่กำลังจะกลายเป็นโรงเรียนขนาดเล็กในอนาคตอันใกล้ จากอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

โรงเรียนขนาดเล็กได้รับงบประมาณน้อยกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ แม้ว่าจะมีการเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้กับนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กก็ตาม แต่เมื่อกระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบโดยคิดจากรายหัวนักเรียนเป็นหลัก หัวละ 500 บาทต่อคนต่อปี ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กประสบกับปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ ขาดแคลนสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนที่มีคุณภาพ อาคารสถานที่ ตลอดจนสาธารณูปโภคต่างๆ ขาดการบำรุงรักษาจนส่งผลต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของนักเรียน

 

นอกจากนี้ ในการจัดสรรอัตรากำลังครูผู้สอน สพฐ. ยังใช้หลักเกณฑ์สัดส่วนครูต่อจำนวนนักเรียน ยิ่งจำนวนนักเรียนมีน้อยครูก็ยิ่งมีน้อยตาม บางโรงเรียนมีปัญหาครูไม่ครบชั้น ครูหนึ่งคนต้องสอนหลายชั้นหลายวิชา ทำให้ยากต่อการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ประกอบกับหลักสูตรการเรียนการสอนของประเทศไทยกำหนดให้นักเรียนต้องเรียนหลายวิชา ทั้งมีการบ้านและการสอบที่มากเกินไป

 

วิโรจน์ยังกล่าวต่อไป ว่าที่ผ่านมาจนถึงปีงบประมาณปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจัง การควบรวมโรงเรียนที่ผ่านมาไม่เคยประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แถมยังมีแนวโน้มควบรวมได้น้อยลงเรื่อย ๆ

 

ถ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง งบประมาณเพียงปีละ 2 ร้อยกว่าล้านบาทย่อมแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่เป็นปัญหาระดับวิกฤติไม่ได้ การจัดสรรงบประมาณเพียงเท่านี้ ก็สะท้อนได้ว่ารัฐบาลไม่ได้มองปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กว่าเป็นปัญหาระดับวิกฤติเลย

 

วิโรจน์ยังกล่าวต่อไป ว่านอกจากจะควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไม่ได้ตามเป้าหมายแล้ว การควบรวมโรงเรียนอย่างไร้ยุทธศาสตร์ที่ผ่านมาของกระทรวงศึกษาธิการยังก่อให้เกิดปัญหาข้อพิพาทกับชุมชน อย่างรุนแรง ส่วนเงินชดเชยค่าพาหนะในการเดินทางไป-กลับบ้านโรงเรียนก็จ่ายในอัตราที่ถูกอย่างไม่สมเหตุสมผล กระทรวงศึกษาธิการก็รู้อยู่แก่ใจว่าทางออกของเรื่องนี้ไม่ใช่การจ่ายชดเชยค่าพาหนะ แต่ต้องเป็นการจัดรถโรงเรียนเพื่อให้เด็กทุกคนในจังหวัดสามารถเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนที่ตอบโจทย์ศักยภาพของตัวเองและอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักได้

 

และสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย ก็คือการถ่ายโอนโรงเรียนที่ถูกควบรวมให้กับท้องถิ่น พร้อมงบอุดหนุนเฉพาะกิจ เช่น แห่งละ 1 ล้านบาท เพื่อให้ท้องถิ่นนำงบส่วนนี้ไปใช้ปรับปรุงอาคารสถานที่ และนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นที่เกิดประโยชน์กับชุมชน

 

วิโรจน์ยังอภิปรายต่อไป ว่ามีการศึกษาว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงกว่าโรงเรียนขนาดกลางอยู่ 13,600 บาทต่อคนต่อปี ดังนั้นหากแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนรวมกัน 954,756 คน ก็จะทำให้ประหยัดงบประมาณได้ถึงปีละ 12,985 ล้านบาท เมื่อรวมกับการปรับลดงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นจากโครงการที่มีภารกิจซ้ำซ้อนแล้ว กระทรวงศึกษาธิการจะมีงบประมาณที่นำไปจัดสรรใหม่ได้ถึงปีละ 15,102 ล้านบาท

 

โดยงบประมาณกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทนี้ สามารถจัดสรรเป็นงบอุดหนุนเฉพาะกิจ 4,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อสนับสนุนให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ. นำไปใช้บริหารจัดการรถโรงเรียนภายในจังหวัด และให้เด็กทุกคนสามารถขึ้นรถโรงเรียน ไป-กลับโรงเรียนได้อีก 6,600 ล้านบาทต่อปี นำไปจัดสรรงบประมาณเพิ่มให้กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ให้เด็กยากจนพิเศษ 1.3 ล้านคน ได้รับทุนเสมอภาคเพิ่มจาก 3,000 เป็น 4,200 บาทต่อคนต่อปีทันที และยังเหลืองบประมาณอีก 4,502 ล้านบาท ที่สามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาอื่น ๆ ได้อีก

 

ที่ผ่านมารัฐบาลบอกกับประชาชนอยู่ตลอดว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่เหตุใดจัดงบประมาณออกมาเป็นรูทีนแบบนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะนำเอาสิ่งเหล่านี้ไปปรับลดงบประมาณ และให้รัฐบาลนำเอางบประมาณที่ปรับลดได้ไปปรับปรุงงบประมาณมาเสียใหม่ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติทางการศึกษา ไม่ใช่งบประมาณเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันแบบนี้” วิโรจน์กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชุมสภา #งบประมาณ67 #การศึกษา