แลไปข้างหน้า
กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.61
ตอน
“ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ความเสื่อมทรุดและความไม่ชอบธรรมในการเป็นนายกฯ
วันนี้ดิฉันอยากจะมาคุยเรื่อง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะว่าดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ดูมีความเชื่อมั่น มีความสุข
จากการที่ผ่านปัญหาในเวทีรัฐสภาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วก็สามารถปลดรมต.สำคัญ
ๆ 2 คน ซึ่งว่ากันว่าเป็นคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ไปได้ พูดง่าย ๆ
ว่าเอาชนะในเวทีรัฐสภาได้ แม้นจะมีปัญหา พปชร.
แล้วนอกเวทีรัฐสภาล่ะ
ปรากฏว่าในขณะนี้การใช้กระบวนการจับ ปราบปราม แล้วก็เล่นงานทางคดีความ เอาแบบเต็ม
ๆ เลย ดูเหมือนหนึ่งประมาณว่าทำอะไรฉันไม่ได้หรอก
มีแต่ฉันนี่แหละจะทำกับพวกแกหรือพวกเธอ เช่น ในเวทีรัฐสภาก็เหมือนกัน
ธรรมนัสจะมาทำอะไรได้ หรือว่าพรรคฝ่ายค้านจะมาทำอะไรได้ นอกรัฐสภาเหรอ ไอ้เด็ก ๆ
พวกนี้จะมาทำอะไรได้ ก็ฟ้องร้อง จับเข้าเรือนจำ
ทั้ง
ๆ ที่เขายังเรียนหนังสือ เด็ก 14, เด็ก 12 ก็จับ
แล้วก็ดูอย่างเพนกวินหรือทนายอานนท์ คือถามว่าคนเหล่านี้มันเป็นปัญหาอะไรมากกับชาติบ้านเมือง
คือคุณกลัวเด็ก กลัวเด็กทะลุแก๊ส กลัวเด็กทะลุฟ้า กลัวแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ
กลัวกลุ่มเยาวชนปลดแอก กลัวเด็ก 12 ปี 14 ปี หรือเด็กที่กำลังเรียนหนังสือ
มันดูย้อนแย้งกับสิ่งที่มีความเชื่อมั่น
เพราะฉะนั้น
ปัญหาที่มันเกิดอยู่เดี๋ยวนี้ มันอาจจะทำให้คนส่วนหนึ่งเข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์
กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ปราบ จัดการ ทั้งในเวทีรัฐสภา นอกเวทีรัฐสภา ได้หมด!
แต่ดิฉันไม่คิดอย่างนั้น
ในทัศนะดิฉัน ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์
มีความเสื่อมทรุดและความไม่ชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งปัจจุบันนี้และในอนาคต
แม้นดูประหนึ่งว่าคุณเอาชนะทั้งรัฐสภาและเอาชนะเด็ก ๆ ได้ด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม
ในรัฐสภาคนก็สงสัยว่าแจกกล้วยหรือเปล่า อุตส่าห์ขนกระเป๋าไป
แต่เปิดให้ดูกระเป๋าเดียว ก็น่าขันเหมือนกันนะ ก็ถ้าคุณขนไป 10 กระเป๋า
คุณก็ต้องเปิดให้ดู 10 กระเป๋าซินะ นี่เปิดให้ดูกระเป๋าเดียว
แต่ว่าดิฉันไม่ไปติดใจอะไรมาก ดิฉันจะพูดในนอกเวทีรัฐสภาที่ว่า การที่คุณจับเด็ก
คุณเล่นงานเด็ก แล้วก็การที่โควิด คุณแก้ปัญหาโควิดก็ไม่ได้
ทำสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในเรื่องการซื้อวัคซีน ในเรื่อง Rapid Test คือความล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด แต่ตอนนี้ดูเหมือนบอกว่าวัคซีนมาแล้ว
มากันเยอะแล้วเป็นต้น
ดูประหนึ่งเหมือนกับว่าคุณสามารถแก้ปัญหาทั้งนอกรัฐสภาและในรัฐสภา
ทั้ง ๆ ที่นอกรัฐสภานั้น ขบวนการของกลุ่มเยาวชนที่ออกมา
ขบวนการคาร์ม็อบที่เขาออกมามากมาย
เขาเจออุปสรรคสำคัญคือปัญหาโควิดแล้วก็ทางรัฐบาลก็พยายามที่จะใช้เครื่องมือสำคัญ
ก็คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วก็กำลังจะออก พ.ร.บ.โรคติดต่อ
ซึ่งจะดูว่าจะผ่านรัฐสภาหรือเปล่า?
แต่ดิฉันอยากจะพูดกับประชาชนว่า
ในส่วนที่รับฟังนะเพราะว่าเสียงของดิฉันอาจจะเป็นเสียงเล็ก ๆ
ไม่ได้มีพลังอำนาจอะไร เป็นเหมือนนักวิชาการอิสระ ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง
เพราะฉะนั้นจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่น ๆ
อย่ามาบอกว่าดิฉันพูดในฐานะที่เป็นควายแดงหรือบริวารของพรรค 1, พรรค 2, พรรค 3 นะ
เป็นควายแดงก็โอเค ได้ แต่ว่าก็ลองฟังดู แต่ไม่ได้เกี่ยวกับพรรคการเมืองใด
คือดิฉันอยากจะให้มองเห็นว่า
ความเสื่อมทรุดมันเกิดขึ้นจริง เอาง่าย ๆ ดู “นิด้าโพล” ดิฉันไม่พูดถึง
“ซุปเปอร์โพล” นิด้าโพล เอาล่ะ อาจจะทำตัวอย่างอาจจะมีไม่ได้มากสักเท่าไหร่
แต่ว่าเขาก็มีการทำก็คือ เขาทำแบบเดียวกันมา ยกตัวอย่างปี 64 ทำตั้งแต่เดือน
มี.ค., มิ.ย. แล้วก็เดือน ก.ย. ก็เปรียบเทียบโพลระหว่างผู้นำของพรรคการเมืองและก็โพลของพรรคการเมือง
เขาจะทำดีทำชั่วก็ตาม แต่หมายความว่าจะทำอย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะบอกไม่น่าเชื่อถือ
แต่มันก็ได้เห็นพัฒนาการนะ
ยกตัวอย่างเช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในโพลเดือนมี.ค. 64 ปีนี้เอง ที่มีเรตติ้งผู้นำถึง 28.79% มามิ.ย. 19.32% มาก.ย. 17.54% คือลงมาแบบหายวูบไปเป็น 10 กว่า% อันนี้เรียกว่าเป็นลักษณะเปรียบเทียบ
ในขณะเดียวกันความนิยมของพรรคพปชร.ก็วูบเหมือนกัน
จาก 16.65% หล่นลงมาเหลือ 9.51% มาเป็น 10.7% แล้วมาเป็น 9.51% ก็คือเสื่อมทั้งพรรค
เสื่อมทั้งผู้นำ อันนี้เขาเรียกว่าอยู่ในช่วงขาลง
ดิฉันก็อยากจะเล่าให้ฟังอีกอย่างหนึ่งว่า
แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าเราดูโพล ประชาชนจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ประมาณใกล้ ๆ กัน
คือส่วนหนึ่งไม่แสดงความคิดเห็น เวลาพูดถึงพรรคการเมืองหรือผู้นำทางการเมือง
ส่วนหนึ่งจะเป็นแนวอนุรักษ์นิยม ซึ่งเมื่อก่อนนี้จะไปในทิศทางพรรคประชาธิปัตย์เป็นส่วนใหญ่
หรือความคิดแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม อีกส่วนหนึ่งก็เป็นแนวคิดแบบเสรีนิยม มันจะพอ ๆ
กัน
ดังนั้น
คนที่ไม่แสดงความคิดเห็น ตัวนี้จะเป็นตัวชี้ขาดว่าไปอยู่ข้างไหน ข้างนั้นจะชนะ
ในตอนนี้คนที่ไม่แสดงความคิดเห็นก็ประมาณ 30% เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับผู้นำ
หรือไม่ว่าจะเกี่ยวกับพรรค ก็ประมาณ 30% เหมือนกัน
เรตติ้งผู้นำที่ไม่ออกความคิดเห็น ก็ก.ย. 32% แล้วก็พรรคก็
32% ประมาณเหมือนกัน
แต่ในนี้
แน่นอนเรตติ้งพรรคเพื่อไทยสูงสุด แต่ว่าเป็นความสูง 22% ซึ่งอยู่ในอัตราคงที่
ก็คือมี.ค.ก็ 22% พอมา ก.ย.ก็ 22%
มิ.ย.ลดลงไป 20%
ประชาธิปัตย์ก็คือคงที่
คือพรรคดั้งเดิมจะคงที่ 7%
แล้วก็มา 7% คงที่ แต่เพื่อไทยยัง 20
กว่าเปอร์เซ็น
ส่วนพรรคพปชร.
เสื่อมลงเต็มที่ จาก 16.65% มาเป็น 9.51% แบบที่เราพูดไปแล้ว
ดังนั้น
เราจะเห็นพรรคที่คงที่คือเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ ประมาณคงที่คือ 20 กว่าเปอร์เซ็น
กับ 7% ในที่นี้ก็แถมด้วยว่า ยอมรับว่าพรรคก้าวไกล เรตติ้งของผู้นำพรรค จาก 6.26% มาเป็น 11% แปลว่าขึ้นเร็ว
ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับคุณหญิงสุดารัตน์ แล้วก็คุณเสรีพิศุทธ์ก็ไม่เลวนัก
ก็ยังรักษา คือไม่ลดลง จาก 8.7% มาเป็น 9% ก็ถือว่าประมาณเดิม คุณหญิงสุดารัตน์ก็ประมาณเดิม
เหตุผลเพราะว่ามาถึงเดือนก.ย.น่าจะรู้แล้วว่ามีการเปลี่ยนพรรค
เพราะฉะนั้น
ถ้าดูตามนี้เราจะเห็นว่าความเสื่อมทรุดของประยุทธ์เต็มที่
ก็คือเสียงที่เคยได้เรียกว่าเกือบประมาณ 30% พูดง่าย ๆ
ว่าพลังอนุรักษ์นิยมซึ่งเคยอยู่กับประชาธิปัตย์หรือพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมเทมาอยู่กับผู้นำคนใหม่และก็พปชร.
เรียกว่าเกือบหมดเลย ดังนั้น อนุรักษ์นิยม
แน่นอนก็แปลว่าประชาธิปัตย์ถูกแย่งไปแล้ว
ตอนนี้อาจจะมีข่าวความเชื่อมั่นว่าลุงตู่ต้องไปต่อรอบสอง
แล้วลุงตู่ก็ คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะไปตั้งพรรคใหม่ ซึ่งดิฉันเคยพูดแล้วว่า
ดิฉันก็ไม่ได้สนใจนะ เขาจะไปตั้งพรรคใหม่ ในที่สุดมันก็ต้องไปลงเรือลำเดียวกัน
คือพูดง่าย ๆ ว่า ฝั่งอนุรักษ์นิยม จะเป็นประชาธิปัตย์ จะเป็นพปชร.
หรือจะเป็นพรรคใหม่ของพล.อ.ประยุทธ์ ปลัดฉิ่ง อะไรก็ตาม มีพรรคที่สองก็ตาม
ก็จะไปรวมกัน แม้อาจจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา คือพูดง่าย ๆ
ว่ากลุ่มรัฐบาลตอนนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะต้องร่วมมือกันถ้ามีการเลือกตั้งในปีหน้าหรือว่าอาจจะต้นปี
ปลายปี หรือเป็น 66 ก็ตาม อันนี้นี่ก็เรียกว่ามันแบ่งฟากแล้ว
ส่วนก้าวไกล
เป็นพรรคที่ถ้าดูตามโพลก็คือพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งตัวหัวหน้าพรรค
ซึ่งก่อนหน้านี้คำถามก็คือแน่นนอคะแนนเสียงของคุณธนาธรจะโดดเด่นมากกว่า
ปัญหาก็คือพรรคเพื่อไทยจะมีใครมาเป็นผู้นำที่เรียกเรตติ้งได้หรือเปล่า
คือเรตติ้งพรรคน่ะมันดี แต่ว่าปัญหาก็คือตัวหัวหน้าพรรคหรือตัวผู้นำที่จะมาสู่เป็นนายกรัฐมนตรี
จะหาที่มีคุณภาพที่สามารถแข่งขันได้
โดยสรุปเนื่องจากเรามีเวลาไม่มากก็คือ
พี่น้องประชาชนอย่าเสียใจว่า ที่ออกมาต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ติดคุกติดตะราง แต่ว่า
พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่ เป้าหมายของเรา เนื่องจากเราอยู่ในขบวนการสันติวิธี จริง ๆ
สิ่งที่ต้องทำคือต้องทำให้ประชาชนไทยทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ให้มองเห็นว่าความไม่ชอบธรรมที่
พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งตอนนี้และในอนาคต ซึ่งล้มไม่ได้
แต่มันก็ต้องเสื่อมลง ๆ ทุกวัน อย่างน้อยที่สุดโพลนี้มันก็บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ เสื่อมลงมากประมาณไหน
มาสู่ปัญหาความชอบธรรมว่า
โอเค ขณะนี้รัฐสภาล้มคุณยังไม่ได้ กองทัพ องค์กรอิสระ
แล้วก็ปริมณฑลของอำนาจการเมืองการปกครองอยู่ในมือคุณ
อันเนื่องมาจากคุณสืบทอดรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็น ส.ว.
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งองค์กรอิสระ กกต. ป.ป.ช. อะไรต่าง ๆ อยู่ในมือคุณหมด
ดิฉันยังไม่พูดถึงข้าราชการพลเรือน ทหารทั้งหมดด้วยนะ ส่วนใหญ่ในระดับสูง
ซึ่งข้าราชการพลเรือนมันหมายถึงข้าราชการตุลาการด้วยนะ
ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามันกำลังอยู่ในระบอบ อาจจะเรียกระบอบประยุทธ์ ระบอบเผด็จการ
ระบอบจารีตอำนาจนิยมก็ตาม แต่มันเกิดความไม่พึงพอใจกับประชาชนเป็นส่วนใหญ่
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องทำก็คือ
ความเสื่อมทรุดจะต้องให้มันมากขึ้น อันนี้โพลสองพันกว่าคน
ซึ่งทำมาตลอดเป็นดัชนีเล็ก ๆ อันหนึ่ง
แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมทรุดพอสมควร
มาพูดถึงความชอบธรรม
ปัจจุบันดิฉันก็ถือว่าไม่ชอบธรรมแล้ว
แต่ว่ามาพูดถึงว่าเมื่อสร้างกลไกของระบอบประชาธิปไตยหลอก ๆ จะมีการเลือกตั้ง
ผมไม่ลาออก ผมไม่ยุบสภา แต่ว่า พล.อ.ประวิตร
แพลมมาว่าเป็นปีหน้าที่จะให้มีการเลือกตั้ง มาอยู่ในปัจจุบัน
มาดูว่ากระทั่งรัฐธรรมนูญ 60 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่พวกคุณ ที่เรียกว่าเลวที่สุด
ที่เขียนกันขึ้นมาเอง
มาตรา
158 วรรค 4 ก็ระบุชัดเจนบอกให้รู้ไว้เลยว่าคนจะเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ให้เกิน 8 ปี
จะเว้นช่วงบ้างอะไรก็ตามแต่ คือไม่ให้เกิน 8 ปี
ก็ให้ท่านผู้ชมลองไปอ่านในรายละเอียดดูอีกที
แต่เจตจำนงต่อให้เป็นพวกอนุรักษ์นิยมแบบสุดขั้วเลยก็ตาม พูดง่าย ๆ
ว่าเขาถือว่าถ้าเป็นนายกฯ เกิน 8 ปี มันไม่ไหวแล้ว มันก็ทำท่าจะเป็นเผด็จการไปได้
มันไม่มีคนดีกว่านี้แล้วหรือไง นี่ไม่ต้องพูดถึงประยุทธ์นะ
เพราะฉะนั้น
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ อาจารย์มองว่าเขาตั้งใจแบบนั้น
แต่ว่าก็มีคนศรีธนญชัยไปได้หลายอย่างเช่นบอกว่า เอ้ย รัฐธรรมนูญ 60 ต้องนับจาก
เขาเป็นนายกฯ รอบสอง ก็ต้องนับจาก 62
ปี
62 เขาเป็นนายกฯ 10 ก.ค. 62 ถ้า 10 ก.ค. 62 ก็คือนับไป 8 ปี ก็แปลว่าไปหมดเอาปี 70
ถ้าไปหมดเอาปี 70 ก็แปลว่ายังอยู่ได้ สมมุติว่ามีการเลือกตั้งปี 65 หมดปี 70
ก็ยังอยู่ได้ แปลว่าเขาก็เชื่อมั่นว่า ถ้าตีความแบบนี้นะ ศรีธนญชัยแบบนี้นะ ก็คือ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่ต่อได้ คือไม่นับตอนทำรัฐประหารมาจากปี 57 ไม่นับ มานับเอา
62 นะ
แต่มีบางส่วนก็ถือว่าทำตามรัฐธรรมนูญแล้วนะ
ก็คือเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติ รัฐธรรมนูญออกมาเมื่อ 6 เม.ย. 60 ก็คือให้นับปี 60 ตอนนี้มันปี
64 ถูกมั้ยคะ ถ้ามีการเลือกตั้งปี 65 ก็แปลว่าคุณเป็นนายกฯ คุณก็อยู่ได้อีกแค่
ไม่ครบวาระ ได้แค่ 3 ปี
ถามว่าสมควรจะมาเป็นมั้ย
นี่เอาแบบว่าตามรัฐธรรมนูญนะ คือคุณไม่มีแคนดิเดตคนอื่นแล้วเหรอ มีแต่ ประยุทธ์
จันทร์โอชา เหรอ อยู่ได้ไม่ครบวาระ อยู่ได้แค่ 3 ปี แล้วยังจะให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ
อย่างนั้นเหรอ ไม่รู้พรรคไหนนะ พปชร.หรือพรรคใหม่ปลัดฉิ่งอะไรก็ตามแต่
แต่ถ้าถาม
อ.ธิดาและถามประชาชนทั่วไป คุณเป็นนายกฯ ตั้งแต่ 57, 8 ปี
ก็คือ 65 มันเกินไปแล้วนะ โอเค คุณบอกคุณมา 64 คุณเป็นนายกฯ เพราะฉะนั้น 65
เมื่อมีการเลือกใหม่มันควรจะต้องจบเสียที
ดังนั้นความไม่ชอบธรรมของ
พล.อ.ประยุทธ์ ในการจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต่อไป มันมีเต็มที่
ไม่ต้องนับปัญหาจริยธรรม ไม่ต้องนับปัญหาขีดความสามารถและก็ความเสื่อมทรุดความเสียหายของประเทศ
ดิฉันไม่อยากจะพูดหรอกนะว่าไอ้น้ำท่วมตอนนี้คือเรียกว่า
“มิหนำซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น” คือประเทศมันก็เป็นเช่นนี้
เจอทั้งโควิดแล้วก็เจอน้ำท่วมอีก แล้วก็เจอไล่จับประชาชนเข้าคุกอีก
ตอนเวลาที่เขาต้องการทำระบบน้ำทั้งระบบในยุคคุณยิ่งลักษณ์หลังจากน้ำท่วมปี 54
ไม่ให้ผ่าน รถไฟความเร็วสูงอะไรก็ไม่ให้ผ่าน กู้ตอนนั้น 2 ล้านล้าน มีทั้งระบบน้ำ
ระบบคมนาคม อะไรต่าง ๆ ไม่ได้ทั้งนั้น แล้วเป็นไง นี่ต้องระวังน้ำท่วมใหญ่นะ
ที่ใช้คำว่า “มิหนำซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น” มันก็จะเป็นอย่างนี้
คำถามคือคุณไม่ชอบธรรม
แม้กระทั่งที่เป็นวันนี้ แต่ว่าคุณไม่ล้มคว่ำ แต่มันเสื่อมทรุด
แต่ความไม่ชอบธรรมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต่อไปก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นดิฉันอยากจะให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้นอกเวทีรัฐสภาว่า
ต้องอดทน เพราะว่ากระบวนการอำนาจนิยมจารีตนิยมมันครอบงำสังคมไทยมาช้านาน
สังคมไทยคนส่วนหนึ่งเป็นพวกอนุรักษ์นิยมและต้องการอำนาจนิยมมาควบคุมประเทศไม่ให้เปลี่ยนแปลง
แต่ว่าเขาก็จะเรียนรู้ว่าความเลวร้ายที่ประเทศชาติประสบอยู่ทุกวันนี้มันมาจากไหน
มันมาจากการทำรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ครั้งสุดท้าย ใช่หรือไม่ใช่? เรากำลังจะไปเป็นเสื้อ
เป็นสิงห์ เป็นอะไร จบหมดตั้งแต่ปี 35 มาเริ่มต้นกันใหม่จากรัฐธรรมนูญ 40
แล้ประเทศกำลังจะพุ่งทะยาน มาถึงตอนนี้ลงไปสู่หุบเหวแห่งความหายนะ
แล้วยังจะดันทุรังอยู่ต่อ
เพราะฉะนั้น
ในทัศนะดิฉัน การต่อสู้ของประชาชนจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ เป้าหมายของเราไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว
แต่เราต้องการให้ประชาชนมองเห็นว่า
มีแต่ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนที่แท้จริงเท่านั้น
เราถึงจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคนำพาประเทศชาติประชาชนให้ก้าวไปข้างหน้าได้
พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวแทนของพลังจารีตอำนาจนิยมที่พยายามจะดื้อด้านแล้วก็ควบคุมประชาชน
เพราะฉะนั้นเป้าหมายของเราอยู่ที่รูปการณ์จิตสำนึกของประชาชนในประเทศเป็นส่วนใหญ่ทั้งหมด
เราใช้สันติวิธี
เราไม่ต้องการให้ประเทศเสียหายมากยิ่งไปกว่านี้
คือมันเสียหายต้องเสียหายด้วยน้ำมือของคนทำรัฐประหาร ไม่ใช่น้ำมือของประชาชน
ว่างั้นเถอะ ประชาชนมีแต่ทำให้ดีขึ้น ไม่ได้ทำให้เลวลง
แต่ว่าฝ่ายจารีตกับอำนาจนิยมมันจะทำให้ประเทศทั้งเสื่อมทรุดแล้วก็จับกุมคุมขังจัดการเข่นฆ่าประชาชนโดยที่พวกเขาได้รับนิรโทษกรรมมาตลอด
ดังนั้น
ความอดทนเราจึงต้องมีสูงมาก อดทนต่อความยากลำบาก ต่อความเสียสละ ต้องติดคุกติดตะราง
แต่ทำอย่างไรให้ประชาชนได้มีความสำนึกว่าประเทศนี้รอช้าอีกไม่ได้
ผู้นำที่มาจากการทำรัฐประหารและสืบทอดอำนาจจะต้องหมดไป
ผู้นำที่เป็นพวกจารีตนิยมอำนาจนิยม คุณจะต้องไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
ไม่ใช่เราจะไม่ให้มีคนเห็นต่าง มีคนเห็นต่างได้ แต่คุณจะเอาปืน
แล้วเอาอำนาจของตุลาการและกฎหมายมาจัดการกับประชาชนแบบนี้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม อนาคตเป็นของประชาชนแน่นอน ดิฉันอยากให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้ทุกคนค่ะ.
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์