วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ถอดคำให้สัมภาษณ์ "จตุพร" เคลียร์ข้อกล่าวหาทิ้งมวลชนให้ติดคุก-จำนนเผด็จการ คสช.


ถอดคำให้สัมภาษณ์ "จตุพร" ในรายการ THAIS VOICE โดย คุณจอม  เพชรประดับ ได้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2558 ผ่านทาง Skype ในประเด็น "เคลียร์ข้อกล่าวหา ทิ้งมวลชนให้ติดคุก - จำนนเผด็จการ คสช."  ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จอม  :  มีเสียงของมวลชนคนเสื้อแดงออกมาเหมือนกันนะครับ  ในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 เป็นต้นมา  บทบาทของ นปช. ก็อาจจะนิ่งด้วยข้อเงื่อนไขของ คสช. ด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมากก็อาจจะรู้สึกผิดหวังกับความนิ่ง  ความเฉย  หรือการยอมจำนนเกินไปกับ คสช. ของ นปช.

จตุพร  :  ความจริงไม่มีวันใดที่จะเกิดความนิ่งเฉยเลย  พวกผมจัดรายการทางโทรทัศน์ช่อง PEACE TV ผมเองไม่ต้องการให้มีปัญหามาจัดทาง Youtube เหมือนกับคุณจอม  ทุกถ้อยคำ  ทุกเนื้อหา  ไม่ได้แตกต่างไปจากบนเวทีปราศรัยที่เราเคยพูดเรื่องหลักการประชาธิปไตยแม้แต่เพียงเสี้ยวเปอร์เซ็นเดียว  เพียงแต่ว่าท่วงทำนองของการอธิบายลองติดตามฟังกันดูซิครับว่ามันมีท่วงทำนองใดที่คิดจะถอยกันบ้าง  แต่เป็นเรื่องของการจับจังหวะ

เพราะเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์การยึดอำนาจนั้น คสช. เรียกง่าย ๆ ว่า “ยึดเบ็ดเสร็จ”  แต่ผมก็ได้บอกกับพรรคพวกและอธิบายในที่สาธารณะกันว่า  เอาล่ะ!  เราก็ใช้วิกฤตอันนี้  แต่ละส่วนเราก็จัดการปฏิรูปกันเอง  แต่หลักใหญ่ใจความก็คือว่า  ก่อนการยึดอำนาจความเห็นแตกต่างกันมานั้นเราพูดอีกซีกหนึ่งก็ไม่ฟัง  ซีกหนึ่งพูดเราก็ไม่ฟัง  แต่ปรากฏการณ์ของการรัฐประหารนี้ต้องให้เห็นด้วยตา  สัมผัสด้วยตัว  มันไม่ได้เกิดมาเพราะเราไปบอกให้เขาเชื่อ  

พี่น้องเสื้อแดงเรามีความเข้าใจกันอยู่แล้ว  แต่อีกฝ่ายหนึ่งนั้นเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตจะต้องเจอแบบนี้นะ  แต่ระยะเวลาปีเศษเขาก็เห็น  แล้วทัศนะเกิดความเปลี่ยนแปลงกันมากมาย  ผมเรียนย้ำเลยว่าถ้าคนไม่เห็นภาพความเป็นเผด็จการที่ชัดเจน  กลับมาเลือกตั้งเราชนะก็ปกครองไม่ได้อยู่ดี  ปัญหาก็กลับสู่ที่เดิม  แต่ผมเองก็บอกชัดเจนว่าการขับเคลื่อนของ นปช. นั้นเหมือนกับการเล่นฟุตบอล  เดิมเตะทุกจังหวะแต่ยิงประตูไม่ได้  อีกฝ่ายจับบอลได้ครั้งเดียวยิงประตูเลย

วันนี้ผมก็ใช้หลักคิดเหมือนกันว่า  เล่นไม่จำเป็นจะต้องสวยงาม  ไม่ต้องเอาใจใคร  แต่ผลลัพธ์สุดท้ายดำรงความมุ่งหมายอยู่คือยิงประตูให้ได้  คือเอาประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้  แล้วผมประกาศชัดถ้ารัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตยนี่ก็ไม่รับ

จอม  :  สองปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่า นปช. อาจจะมีเหตุผลที่จะไม่ขยับเขยื้อนหรือว่ามีเวลา  หรือว่ามีการทำกิจกรรมอยู่แล้ว  แล้วก็มีการสู้ในรูปแบบที่เป็นอยู่แล้ว  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นที่ออกมาสู้อย่างกลุ่มเสรีชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย  กลุ่มพลเมืองโต้กลับ  นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่  กลุ่มนักศึกษาอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น  ดูจะมีน้ำหนักหรือมีพลังมากกว่า นปช. ด้วยซ้ำไป  อันนี้คือการเปรียบเทียบให้เห็นกระบวนการนี้  อันนี้จะอธิบายอย่างไรในเมื่อกลุ่มนั้นทำได้  นปช. เองทำไมจะทำไม่ได้  นี่คืออาจจะเปรียบเทียบด้วยคนที่อยู่ในมวลชนคนเสื้อแดง

จตุพร  :  คุณจอมลองนึกถึงเหตุการณ์พฤษา 2535 นะ  คือจุดเริ่มต้นขบวนการนักศึกษาถอยไปปี 2516 หรือจะปี 35 ก็ตามเรื่องการจุดประกาย  แต่เราก็เห็นกันอยู่  ผมเองก็เป็นผู้นำนักศึกษามาเก่า  เราก็รู้ว่าเราอยู่ในบริบทและศักยภาพขนาดใด  ฝ่ายความมั่นคงเองนั้นก็รู้ว่าทัพจริงที่จะสู้รบก็คือทัพ นปช. นี่แหละ  แต่ว่า(สัญญาณกระตุ้งทำให้ฟังไม่ได้ใจความ)  การประเมินทุกเหตุการณ์ทั้งหมด  พวกผมมีโอกาสสู้ได้ครั้งเดียว  ผมก็บอกชัดเจนว่ายังไม่ชนะ  ก็ยังไม่เพิ่งรีบไปแพ้  แต่ระหว่างทางทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างไม่ทรยศกัน  แต่วันใดเห็นว่าทุกอย่างพร้อมกันแล้ว  ผมมีโอกาสครั้งเดียว  ไม่มีโอกาสสองครั้ง

จอม  :  ทำไมโอกาสจึงมีแค่ครั้งเดียว

จตุพร  :  คือพวกผมทุกคนที่เป็นแกนนำ นปช. ทั้งหมดแสดงความคิดเห็นอยู่ในรายการโทรทัศน์ซึ่งโลกสื่อสารไร้พรมแดน  เนื้อหาใจความไม่ได้แตกต่างกับการไปอยู่บนถนนหรือสนามการต่อสู้  แต่พวกผมก็ถูกเงื่อนไขที่กำหนดโดยเรื่องการปล่อยตัวชั่วคราวในคดีก่อการร้ายและคดีอื่น ๆ  พรรคพวกก็ติดคดีพัทยาบ้าง  คดีบ้านสี่เสาบ้าง  ผิดเงื่อนไขเข้าเรือนจำทันทีกันอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น  คือถ้าจะตามใจกันว่าจะต้องทำตามทุกอย่าง  แล้วท้ายที่สุดเราก็จะไม่เหลือใครในทัพนี้เลย  การต่อสู้ที่ทุกคนวาดหวังจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้  คือพวกเราเห็นว่าถ้ายังไม่ชนะก็ยังไม่รีบไปแพ้แต่ไม่ยอมจำนน! 

จอม  :  ที่ยังแสดงความคิดเห็นบอกว่าถ้ามีข้อจำกัดของการที่จะต้องอยู่ในเงื่อนไขของการประกันตัว  หรือแม้แต่เงื่อนไขของ คสช. แต่ว่าในกิจกรรมที่พยายามจะสร้างความเข้าใจ  ฟื้นกำลังใจ  สร้างเอกภาพกันในกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงก็สามารถทำได้  และประเด็นสำคัญที่มีการตั้งคำถามกับ นปช. หรือแกนนำ นปช. อย่างมากก็คือ  คนเสื้อแดงที่ถูกติดคุกหรือเสรีชนที่ร่วมเดินเส้นทางต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ยังอยู่ในเรือนจำจำนวนนับร้อยคนหรือมากกว่านั้น  ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก นปช. จากแกนนำ นปช. เลย  หรือน้อยมาก  อันนี้จะอธิบายอย่างไรครับ

จตุพร  :  คืออย่างนี้ครับ  พวกผมเองความที่ว่าเราก็ทำตามสภาพที่เราสามารถทำได้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้  และที่สำคัญตลอดระยะเวลานั้น  สิ่งที่เราเรียกร้องและดำเนินการมาโดยตลอดนั้น  คือการปลดปล่อยบรรดาประชาชนทุกฝ่าย  ยกเว้นแกนนำ  ถ้าเลือกแนวทางอย่างนี้กันมาตั้งแต่ต้น  พี่น้องประชาชนได้รับการปล่อยตัวไปนานแล้ว  ส่วนการดูแล  แต่ละส่วนก็ตามสภาพการณ์กัน

เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าในซีกของพวกเรานั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก  เพราะว่าเวลาเกิดเหตุไม่ว่าการประกันตัว  ทนายความ  เรื่องราวต่าง ๆ เลือดตาแทบกระเด็นกันอยู่แล้ว  นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง  เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งส่วนใด  พวกเรา  ผมก็บอกอยู่เสมอว่าไปกัน  แต่ว่าถ้าเราพรวดพลาดแบบคนอื่นที่เขาทำกันได้นั้น  แน่นอนที่สุดพี่น้องที่อยู่ในเรือนจำ  ผมก็รู้  ผมก็ติดคุกมา  พี่น้องที่อยู่ในเรือนจำจะเกิดความยากลำบากกันอย่างไร  โดยส่วนใหญ่ผมจะมอบหมายให้กับพรรคพวกที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักก็ไปดูแลตามที่สามารถจะดูแลกันได้ตลอดเวลากันอยู่แล้ว

จอม  :  เสียงสะท้อนที่ออกมาก็ดูเหมือนว่าตัวแทนหรือคนที่ไปในนามของ นปช. ก็เกือบจะเรียกได้ว่าน้อยมากที่จะให้กำลังใจกับคนเสื้อแดงหรือว่ามวลชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยด้วย  แล้วก็อยู่ในเรือนจำ  ก็ยังเสียงสะท้อนบอกว่ายังน้อยอยู่เหมือนกัน

จตุพร  : คืออย่างนี้ครับ  อย่างที่ผมบอกไปว่า  ถ้าเราขยับนิด  คือเนื่องจากแกนนำทั้งหมดผ่านการติดคุกมาก่อนทั้งสิ้นนะ  เราก็รู้ว่าบริบทคุกในยุคใดสมัยใด  สิ่งที่คนที่อยู่ในเรือนจำจะไม่ได้รับผลกระทบในวันเวลาแบบนี้ด้วยนะ  เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงนอกจากยุคคุกที่โรงเรียนพลตำรวจนครบาลบางเขนแล้วมาอยู่ที่เรือนจำพิเศษเหมือนเดิม  หลาย ๆ อย่างสภาพการณ์แตกต่างไปมากกว่าเดิม  เราก็พยายามจะสื่อเพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย  แต่ว่าการจะไปยืนพูดเพื่อให้เห็นที่เรือนจำนั้นมันไม่ใช่วิสัย  เราเองก็พยายามเรียกร้องแล้วเขาก็ดำเนินการเปลี่ยนแปลงกันไปพอสมควร  คือผมไม่ขออธิบายนะครับ  เพียงแต่ว่าผมก็ได้มอบหมายคนที่เขาทำหน้าที่ในการดูแลเท่าที่จะดูแลกันได้  นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง  เพราะผมรู้ว่าถ้าผมโผล่ไป  คนที่ติดอยู่ในคุกจะยากลำบากในสถานการณ์อย่างนี้

จอม  :  หลังจากรัฐประหารมาแล้วมันก็มีคำถามเยอะนะครับ  หลายคนก็อาจจะหมายถึงว่าคนเสื้อแดงในขบวนการเองก็อาจจะผิดหวัง สมหวัง หรืออาจจะพอใจไม่พอใจ  เคยประเมินตัวเองไหมครับว่าการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการในฐานะที่เป็นประธาน นปช. ที่ผ่านมามันประสบความสำเร็จหรือว่าล้มเหลวอย่างไร  ถ้าจะให้ลองประเมินตัวเอง

จตุพร  :  คือผมเองผ่านในโลกแห่งความเป็นจริงมา  ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปเอาใจใคร  โดยที่ไม่ได้มีการศึกษาทุกเรื่องราวแล้วผมก็เป็นเช่นนี้นะ  ไม่ใช่เพิ่งมาเป็น  แล้วถึงเวลาผมก็รบจนสุดทางทุกครั้งคราวกันไป  เพียงแต่ว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์เขาไม่ได้อยู่ในสถานะรับผิดชอบอย่างที่ผมต้องรับผิดชอบ  เพราะเวลาการต่อสู้มันไม่ได้คิดแค่อยากจะต่อสู้  และก็ต่อสู้ทำตามใจโดยไม่สนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ทั้งเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่เราผ่านกันมา  ถึงเวลาที่เราเห็นว่ามันใช่ในการต่อสู้นั้นและเราต้องเตรียมพร้อมทั้งหมด  เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าคู่ต่อสู้ของเรานั้นเขามีความพร้อมและอยู่ในกลไกครบถ้วน  มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่มี  และเขาอย่างเดียวที่ไม่มีเหมือนกับเราคือหัวใจในการต่อสู้  หลักการต่อสู้นั้นจะไปตามใจคนที่วิพากษ์วิจารณ์ผม  พูดง่าย ๆ เขาก็วิพากษ์วิจารณ์ผมมาตั้งแต่ต้นจนจบอยู่แล้ว  และเขาเป็นอิสระของเขาตั้งแต่ต้นจนจบกันอยู่แล้ว  แต่ว่าภาระความรับผิดชอบระหว่างเขากับผมต่างกัน

ถ้าผมตัดสินใจแปลความกันว่าผมต้องเตรียมพร้อมหมดแล้ว  ไม่ใช่ว่าชุมนุมวันนี้พรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร  เจอกับอะไร  จะแก้ไขปัญหากันอย่างไร  เพราะเราผ่านกันมาว่าเราเจออะไรกันมาบ้าง  อีกฝ่ายหนึ่งใช้วิชามารอะไรกับเราบ้าง  ผมไม่อยากจะบอกว่าการไม่รู้บางครั้งแล้วก็มาวิพากษ์วิจารณ์  ก็ตลอดระยะเวลาถ้านั่งโพสต์อยู่ในเน็ตกันแล้วผมก็นั่งจัดรายการกันอยู่มีถ้อยคำใดไปรับใช้เผด็จการมันบ้าง  แต่ละวันที่เขาวิพากษ์วิจารณ์เพียงแต่ว่าไม่ได้ปราศรัยบนท้องถนน  และไม่ใช่หมายความว่าจะไม่ไป  แต่เพียงว่าในขณะนี้ถ้ายังเห็นว่าไม่ชนะ  แล้วเราจะรีบไปแพ้ทำไม?   

การทำหน้าที่ของคนที่เป็นประธาน นปช. ซึ่งประชาชนโดยส่วนใหญ่ใครนัดก็เห็นปริมาณกันอยู่แล้ว  แล้ววันนี้โดยประชาชนส่วนใหญ่ผมไม่รู้ว่าเขามีความรู้สึกกันอย่างไร?  แต่ผมไม่มีสิทธิ์จะมาเอาใจบรรดาผู้ร้อนวิชาทั้งหลาย  แล้วเสร็จแล้วเขาไม่ต้องรับผิดชอบอะไร  แต่เราเองเห็นความตาย  เห็นความสูญเสียกัน  แล้วท้ายที่สุดเราเองก็เห็นว่าฝ่ายหนึ่งนั้นเขาเตรียมการอะไรกันไว้บ้าง  

เหยื่ออันโอชะที่ดีที่สุดที่จะช่วย คสช. ได้ก็คือ “เสื้อแดงที่ขาดสติ” ไง

จอม  :  แต่ในมุมของคนเสื้อแดงบางกลุ่มบางคนที่อยู่ในที่ตั้งตอนนี้เองก็มองว่า  ถ้าสู้แล้วแพ้ถ้าประเมินจากที่ผ่านมา  สุดท้ายทหารก็มารัฐประหาร  หรือสุดท้ายก็ยึดอำนาจไป  แล้วเขามีการเปรียบเทียบด้วยว่าคำพูดของแกนนำ นปช. บนเวทีในหลาย ๆ เวทีก็จะประกาศชัดเจนว่าจะสู้กับทหาร  จะสู้กับกองทัพ  จะสู้จนตัวตาย  อะไรต่าง ๆ  แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่  สุดท้ายก็คือพบกับความพ่ายแพ้อยู่ดี  นี่ก็จะเป็นเสียงที่สะท้อนออกมาเหมือนกัน

จตุพร  :  คือเหตุการณ์ 22 พ.ค. ถ้าพวกผมอยู่ที่อักษะแล้วไม่ต่อสู้อะไรเลยนี่ประณามหยามเหยียดกันได้  แต่นี่ถูกล็อคตัวในวงการเจรจา  ไม่ไปก็เป็นปัญหาพวกเดียว  เขาก็ควบคุมตัวในวงประชุมซึ่งก็เป็นที่ทราบกันว่านัดไปประชุมแล้วก็รวบ   ซึ่งประเทศไทยก็เพิ่งเคยมีครั้งนี้ครั้งแรก  กว่าที่เขาจะปล่อยพวกผมมานั้นเขาก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว  ปล่อยมาก็ประกบติด  ขยับอะไรกันไม่ได้เลยอะไรกันเลย

เมื่อเราเองก็เห็นสภาพการณ์กันอย่างนี้  ถ้าอยู่ในสนามรบแล้วไม่ต่อสู้ก็ว่ากัน  แต่เป็นเพราะว่ามันไม่มีโอกาสจะได้สู้เลย  เราชุมนุม 12 วัน  ผมและคณะรวม 5 คนก็ถูกล็อค  แล้วที่เวทีพอแกนนำถูกล็อคที่หอประชุมกองทัพบกแล้ว  คือทั้งหมดทั้งปวงเขาปล่อยในวันที่เขาจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยเสร็จสิ้นแล้ว  วันนี้เมื่อคิดที่จะเอาประชาธิปไตยคืนมานั้น  เราต้องเอาคืนมาได้จริง ๆ  และที่สำคัญที่สุดก็คือว่าต้องให้ฝ่ายสนับสนุนการยึดอำนาจเขาได้เห็นว่าที่เขาสนับสนุนการยึดอำนาจนั้น  เขาได้รับความหายนะอย่างไรบ้าง?  หลายคนคายฟันอย่างกันอยู่แล้ว  สภาพสถานการณ์ที่มันง่อนแง่นขนาด EU, อเมริกา, Tier 3 คว่ำบาตร  ห้องเย็นก็จะปิดอยู่แล้วเพราะว่าขายอาหารประมงไม่ได้  ร้านอาหารประมงก็ทยอยกันปิด  นี่ผมยกตัวอย่างว่าพินาศย่อยยับหมด  ท่องเที่ยวพินาศย่อยยับหมด  เกษตรกรย่อยยับพินาศหมด  ปรอทเขาใกล้จะแตก  

แล้ววิธีการที่จะเบี่ยงเบนความสนใจนั้นก็เป็นชุดเดียวกับที่ปฏิบัติการในปี 53  พูดง่าย ๆ ว่าเขากำลังปรอทจะแตกแล้ว  รออีกนิดเดียวเท่านั้น  ถ้าเราให้เขามาสวมรอยสร้างสถานการณ์นี้โดยที่เราพยายามต้องการพูดเอาใจบรรดาเส้นทางสีแดงที่ปั่นขึ้นเวทีพันธมิตร  แล้วผมเองก็ได้ใจจากพวกนี้ ไม่ว่าผม  แต่ว่าจะมีคนจับเสื้อแดงแบบว่ามหาดไทย  แบบหลาย ๆ แห่งที่เขาไปกระทำการ  แล้วเสร็จแล้วก็สร้างซีรีย์ซึ่งเขาทำมาโดยตลอด  แล้ววันนี้ก็กำลังทำอยู่  เรากำลังจะชนะกันอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น  ออกทีเดียวแล้วก็ต้องชนะกัน  ไม่ใช่อยู่หอคอยงาช้างว่าจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้  ก็ถ้าพร้อมก็ทำเองซิ  แต่พวกผมเองก็เห็นว่ายังไม่พร้อม  ยังไม่พร้อมไม่ใช่ว่าไม่สู้  แต่ไม่โง่ไง  นี่พูดตรง ๆ ใช้คำนี้  เพราะผมกับเขาสู้กันมายาวนานหลายปี  คนฝ่ายเราก็เป็นพี่น้องทหารตำรวจเต็มหมด  รู้เขารู้เรา  ผมประเมินสถานการณ์ตลอด  แต่ถ้านั่งจินตนาการโพสต์ไป โพสต์มา โพสต์มา โพสต์ไป ก็สะใจกันนะครับ  แล้วสุดท้ายผลลัพธ์ในการต่อสู้จะประสบปัญหาอะไร?  เพราะว่าในทางปฏิบัตินั้นผมเองต้องยืนในสนามจริง  และต้องนำพาประชาชน  และต้องรับผิดชอบ  กับมานั่งแชตอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะอย่างไรก็ได้  คืออารมณ์คนละอย่าง  ผมไม่ต้องการการสรรเสริญเยินยอแล้วพาทัพของพี่น้องประชาชนไปพินาศย่อยยับ

จอม  :  คือแน่นอนการพูดก็เป็นเหตุผลสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้หลายคนอาจจะไม่พอใจเพราะว่าเป็นการพูดเพื่อสร้างความแตกแยกในขบวนการคนเสื้อแดงจำนวนหลายครั้งเหมือนกัน  หรือแม้แต่เรื่องของการที่จะทำให้คนอื่นที่อยู่ในขบวนการในเส้นทางเดียวกันแต่ไม่ได้เป็นแดง  แล้วก็เป็นผู้ที่ต้องการจะเรียกร้องประชาธิปไตยต่อสู้กับอำนาจเผด็จการเหมือนกันแต่อาจจะไม่ได้เป็นแดงเต็มตัว  สิ่งเหล่านี้ทำให้ลดความน่าเชื่อถือ  หรือทำให้ความศรัทธาที่เคยมีในตัวคุณจตุพรอาจจะลดน้องลงไปหรือเปล่าด้วยการที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในขบวนการและในเส้นทางของกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยเอง

จตุพร  :  คือหลากหลายเรื่องราวที่คนอื่นไปกระทำ  แต่ผมคือผู้รับเคราะห์อยู่แทบทุกครั้งทุกเรื่องราว  เพราะว่าหลังจากเหตุการณ์ปี 53 ผมก็ยืนหยัดเพื่อจะพาให้พี่น้องประชาชนแหวกพ้นความกลัวจากการถูกปราบปรามเข่นฆ่า  ท้ายที่สุดเขาก็จับผมขัง  ผมเองก็เห็นว่าบรรดาร้อนวิชาถ้ารับผิดชอบไม่เป็นปัญหา  ใครทำอะไรรับผิดชอบทำไปแล้วรับผิดชอบ  ผมไม่ขัดข้อง  ไม่เคยไปแตะ  ไม่เคยยุ่งเกี่ยว  

แต่ประเภททิ้งปัญหาให้กับคนที่เขาอยู่แล้วก็ต้องไปอธิบายกับสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้เรื่องเลย  ผมถือว่าไม่แฟร์ไง  แต่ครั้งนี้ผมเองเห็นว่าการร้อนรุ่มร้อนวิชากัน แล้วก็ออกมาประณามหยามเหยียด  ด่าด้วยถ้อยคำสาดเสียเทเสีย  พอผมสวนกลับไปบ้างบอกว่าแตกแยก  นั่นแปลความว่าถ้าผมเอาใจพวกนี้แล้วไปกระทำการสิ่งที่นำพาให้ทัพใหญ่เข้าไปร่วมในสิ่งที่เราไม่ได้เตรียมการอะไรนั้น  ผมจะได้รับความรักจากคนเหล่านี้  ไม่วิพากษ์วิจารณ์ผม  ชื่นชมผม

แต่ประชาชนส่วนใหญ่เกิน 90% ที่ร่วมชะตากรรมนั้นเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย  ใครจะทำอะไรไม่ได้มาขึ้นกับผมเลย  คุณต้องการทำอะไรคุณก็ทำไปซิครับ  ก็คุณไม่ได้ร่วมกับผมมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว  บางครั้งอาจจะเจอกันหรือว่ามาขอขึ้นเวที  เราก็ไม่ขัดข้องไง  แต่ว่าเขามีตัวตนของเขาเป็นอย่างนี้แต่ไหแต่ไร  แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันมาหลายปีดีดัก  ไม่ใช่เพิ่งวิพากษ์วิจารณ์  เพียงแต่ว่าพอกระแสถาโถมแบบนี้แทนที่จะกระแทก คสช. กลับมากระแทก นปช. แทน  นี่คือสิ่งที่ผมเองต้องชี้แจงและตอบโต้  เพราะว่าเขาไม่ได้เคยร่วมจมหัวจมท้ายกับผมและ นปช. อยู่แล้ว

จอม  :  คุณจตุพรก็คงจะทราบนะครับว่าหลังจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีหลายกลุ่มขึ้นนะครับ

จตุพร  :  เดิมก็มีหลายกลุ่มอยู่แล้ว

จอม  :  ครับ  ก็อาจจะมีหลายกลุ่มที่ผิดหวังกับ นปช. ก็อาจจะมีกลุ่มของเขาเอง  กลุ่มนักวิชาการ  กลุ่มนักศึกษา  อะไรต่าง ๆ  บนเส้นทางต่อสู้กับอำนาจเผด็จการมีเยอะมาก  คิดว่า นปช. เองจะสามารถที่จะเป็นแกนกลางผสานพลังนี้เป็นพลังเดียวกันได้ไหมครับในอนาคต

จตุพร  :  คือผมเองก็บอกกับบรรดาหมู่มิตรว่า  ทัพของนักศึกษาที่เขาขับเคลื่อนมันเป็นพลังบริสุทธิ์อยู่แล้ว  ทัพนักวิชาการเขาก็เพียว ๆ อยู่แล้ว  เราต้องหลบ  อย่าเข้าไปใกล้  เพราะจะทำให้พลังของเขานั้นได้ถูกละเลง  และอธิบายในมิติต่าง ๆ ไปทำลายน้ำหนักเขา  แต่ว่าได้ติดตามทุกเรื่องราวโดยตลอด  ขณะเดียวกันผมเองก็เห็นว่าเราก็ผ่านสถานการณ์แบบนี้กันมาแล้ว  เขาทำหน้าที่ขับเคลื่อนได้สวยงาม  งดงาม  ทำแล้วตัวก็รับผิดชอบ  ผมจึงบอกว่าพวกที่อยู่ในโลกไซเบอร์ถ้าเอาแบบอย่างน้องกลุ่มประชาธิปไตยใหม่  หรือแบบพลเมืองโต้กลับ  หรือจะแบบสมบัติ  บุญงามอนงค์  คือรับผิดชอบ  เป็นตัวตน  ทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่  หรือนักวิชาการทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่  และก็มีตัวตนความรับผิดชอบ  ไม่ต้องไปเรียกร้องใคร  เพราะที่ผ่านมาคนที่เรียกร้องผมอยู่ในเวลานี้เขาก็ไม่เคยมาร่วมจมหัวจมท้ายกับ นปช. แล้วก็เป็นอย่างนี้กันมาตั้งแต่ต้น เ พียงแต่ว่าพอดูสถานการณ์นี้ได้จังหวะ  ฉะนั้นอยากจะทำอะไรคุณก็ทำซิ  คุณก็มีสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว  คุณก็ไม่ขึ้นกับผม  ผมก็ไม่ขึ้นกับคุณ

แต่ว่าหลักใหญ่ใจความเราอยู่ในทัพการต่อสู้นี้  ผมยังไม่ไปไหนแม้แต่เพียงวันเดียว  ก็นั่งวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คสช. เป็นรายวัน  พูดง่าย ๆ ว่าทำหน้าที่อันนี้อยู่ทุกวัน  แล้วหนักขึ้นทุกวัน  แต่ว่าสาระที่สำคัญมันไม่สะใจว่าจะต้องออกไปโดยที่ไม่ได้เตรียมการรู้อะไรเลยแล้วก็ปล่อยเป็นข่าวลือนัด  แล้วเราเป็นองค์กร  ถ้าผมบอกขานรับประชาชนเขาก็พรึบพรับขึ้นมา  แล้วในโลกความเป็นจริงมันไม่พร้อมอะไรเลย  ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยความตายของประชาชนอีก  เพราะฉะนั้นไอ้ความคิดสะใจอะไร  ถ้าตัวเองมีความมุ่งมั่นไม่ต้องมาเรียกร้องกับผม  ก็ทำเองซิ  เพราะตลอดระยะเวลาตั้งแต่มีขบวนการนี้มาเขาก็ทำแบบนี้กันมาโดยตลอด  ไม่ใช่เพิ่งมาทำนะ


จอม  :  ถ้าสมมุติว่าหนังที่เรากำลังดูอยู่นี้มันจบแล้ว  แล้วก็คุณจตุพรเองก็จะต้องระดมพลอีกครั้งหนึ่ง  เชื่อมั่นแค่ไหนว่ามวลชนที่จะมาพร้อมกับการเรียกระดมพลครั้งใหม่ของประธาน นปช. จะพรั่งพร้อมคับคั่งหนาแน่นเหมือนกับที่ผ่านมา     เชื่อมั่นได้แค่ไหน?  อย่างไร?  

จตุพร  :  คนที่วิพากษ์วิจารณ์ผมปกติเขาก็ทำเวทีกันอยู่แล้วก่อนการยึดอำนาจอีก  แล้วก็ปรากฏชัดเรื่องประชาชน  แต่ว่าในส่วนของ นปช. นั้น  ผมไม่ต้องการอธิบายว่าใคร?  เท่าไหน?  อย่างไร?  ผมรู้ดีว่า  ก็ขนาดผมเป็นแค่ผู้นำนักศึกษาเล็ก ๆ คนหนึ่งในรามคำแหง ปี 35 โนเนมคนหนึ่ง ก็ยังสามารถนำพาการต่อสู้  

มันไม่ได้อยู่ที่ใครนำ  แต่ว่ามันอยู่ว่าประเด็นการต่อสู้มันชอบธรรม  ได้ประโยชน์  รู้ประมาณ  แล้วก็มีความสุขุมคัมภีรภาพ  มีจุดยืนที่ชัดเจน  พูดง่าย ๆ ว่าไม่พาประชาชนไปเพลี้ยงพล้ำศัตรูอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ผมเชื่อว่าตลอดระยะเวลาประชาชนที่ร่วมจมหัวจมท้ายเขาเข้าใจ  และที่ผ่านมาไม่มีวินาทีใดที่ผมกับเขาจะทรยศกัน  แต่ว่าเราเองก็เห็นแล้วว่าประชาชนเขาพร้อมกันอยู่แล้ว  แต่ที่วิพากษ์วิจารณ์นั้น  ผมเองก็ขอเรียกร้องคุณบ้างนะ  ก็คุณก็ทำซิ  คุณมาเรียกร้องอะไรผม  คุณก็ไม่ขึ้นกับผม  ผมก็ไม่ขึ้นกับคุณ  แล้วคุณก็เป็นอิสรภาพกันมา  ผมก็เป็นอิสรภาพกันมาตั้งแต่เกิดกันอยู่แล้ว  คุณก็ทำของคุณ  ผมก็ทำของผม

การวิพากษ์วิจารณ์นั้นผมไม่มีปัญหาอะไรเลย  เพียงแต่ว่าผมตัดสินใจ  องค์กรนี้ต้องตัดสินใจว่าเราจะกำหนดจังหวะย่างก้าวอย่างไรนั้น  เราต้องเป็นคนคิด  และเราก็ต้องมีการประเมินทางข่าวของเราอย่างครบถ้วน

จอม  :  หรือว่าแกนนำ นปช. ส่วนใหญ่กำลังจะทิ้งมวลชน

จตุพร  :  ใครทิ้งมวลชนกันแน่  ที่อยู่ทุกวันนี้ใน นปช. ที่เหลือกันอยู่  นี่คือคนที่รับผิดชอบในกระบวนการต่อสู้นี้  หลายคนไปอยู่คนละทิศคนละทาง  แทบจะหาบทบาทไม่เห็นกันอยู่แล้ว  ถ้าพวกผมทิ้งประชาชน  ลองชี้หน้ามาซิว่าใครไม่ทิ้ง  ตั้งแต่หลังยึดอำนาจจนกระทั่งบัดนี้  พี่น้องก็ฟังผมได้ ฟังณัฐวุฒิ อาจารย์ธิดา หมอเหวง พี่วีระได้กันทุกวันกันอยู่  เจอกันได้กันอยู่  แล้วไม่ถอยหนี  เพียงแต่ว่ามันไม่เป็นไปตามความต้องการของกลุ่มคนซึ่งก็ไม่เอาด้วยกับพวกผมมาตั้งแต่ต้น  ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเอา  แต่เพียงว่าได้จังหวะก็กระทืบไง

การที่ไปเรียกร้องกับคนอื่น  ทำไมคุณไม่เรียกร้องกับตัวเองบ้าง  ถ้าผมไปเป็นอะไรของไอ้คณะรัฐประหารซิครับ  ไปสมคบคิดกับเขาซิ  ไอ้นี่แหละผมทิ้งประชาชน  ผมก็ยังอยู่ที่เดิมของผมยังไม่เคยหนี  แต่ว่าที่ผ่านมาแต่ละคนก็ทำหน้าที่ด้วยความอดทน  แต่ว่าคุณเรียกร้องบอกว่าเรื่องอะไรจะมาฟังผม  แล้วแปลว่าผมต้องฟังคุณใช่ไหม?  แล้วถามว่าคุณเป็นใคร?  ต่อ  คุณรับผิดชอบอย่างไรบ้าง?  ถ้าคุณมีศักยภาพคุณก็ต้ององค์กรแล้วคุณก็นำไปซิ  ประชาชนเห็นด้วยกับคุณ เขาก็ไปกับคุณ