แลไปข้างหน้ากับ
ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.101
ประเด็น : 6ตุลา19 / 6ตุลา65
[อาชญากรรมโดยรัฐ / อาชญากรรมโดยบุคคล]
สวัสดีค่ะ
ดิฉันเว้นไปสองสัปดาห์นะคะ เพราะว่าก็รอเรื่องใหญ่ ๆ
แต่ดังที่ได้ทราบกันว่าในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 1 เราก็ได้มีการนำเสนอเรื่องเสวนาเกี่ยวกับปัญหา
ICC ดิฉันอยากจะเรียนท่านผู้ชมว่าถ้าใครยังไม่ได้รับฟัง
อยากให้เข้าไปฟัง เพราะว่ามีหลายคนที่ยังไม่ทราบเรื่องราวของ ICC และสำหรับดิฉันมีอะไรดิฉันก็พูดความจริง เพราะดังที่ดิฉันได้บอกกับทุก ๆ
คนว่าพวกเราเป็นพวกถูกกระทำ ถ้าเราไม่พูดความจริง
เราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้กระทำ ดังนั้นดิฉันก็จะพูดความจริง
แต่ว่าเป็นความจริงที่มีลักษณะสร้างสรรค์ เพื่อที่จะให้ประเทศของเราก้าวไปข้างหน้านะคะ
แม้ว่าความจริงที่เจ็บปวดบางอย่างเราก็ต้องพูด เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่การกระทำในอนาคตมันจะได้สอดคล้องกับความเป็นจริง
เพราะว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับข้อมูล
ทีนี้ในช่วงเหตุการณ์รำลึก
6ตุลา19 เมื่อวานนี้ดิฉันก็ไปที่มหาวิทยาลัยมหิดล
ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ เราก็จะคิดถึง 6ตุลา19 แล้วมาเทียบเคียงกับ เมษา-พฤษภา53 แต่ว่าทันใดนั้นมันก็เกิดกรณี 6ตุลา ในปีปัจจุบัน 2565 เพราะฉะนั้นวันนี้ดิฉันก็จะคุยในประเด็น
“6 ตุลา 19 / 6 ตุลา 65 [อาชญากรรมโดยรัฐ / อาชญากรรมโดยบุคคล]” มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร? อะไรคือบทเรียน?
และอะไรคือข้อเสนอ? สำหรับตัวดิฉันเองอาจจะมีคนไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะฝ่ายรัฐที่สืบทอดอำนาจรัฐประหาร
แต่นี่ก็เป็นสิทธิเสรีภาพที่สร้างสรรค์เพื่อประเทศชาติที่ดิฉันจะเสนอ
เราพูดถึง
6ตุลา19 มากมาย แต่ว่าใน 6ตุลา19
นั้น บางคนก็เถียงว่าไม่ใช่อาชญากรรมโดยรัฐ
แต่ในทัศนะดิฉันมันเป็นอาชญากรรมที่ก่อโดยรัฐตัวจริง
ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
สังคมไทยแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่พูดกันอย่างนั้นก็ตาม
หรือว่าในยุคแรกก็เรียกว่า constitutional monarchy คือราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
แต่ไป ๆ มา ๆ
รัฐธรรมนูญก็ถูกดัดแปลงจนกระทั่งอาจจะเหลือแต่คำว่าราชาธิปไตยอย่างเดียวก็ได้
หรือว่าเป็นราชาธิปไตยควบคู่กับประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยแบบไทย ๆ
อันนั้นเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 |
แต่ว่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นใน
6ตุลา19 เราสามารถเทียบเคียงได้กับ เมษา-พฤษภา53 มันเป็นอาชญากรรมโดยรัฐโดยแท้ในทัศนะของดิฉัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐที่เป็นรัฐตัวจริง
องค์กรของรัฐทั้งหลายทั้งปวงที่มีลักษณะจารีต
และต้องการที่จะให้ผู้นำหรือชนชั้นนำจารีตนิยมได้ครองอำนาจต่อไป ภายใต้คำพูดที่ว่า
“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
เพราะสิ่งเหล่านี้มันเกิดตั้งแต่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือว่ามันไม่มีสิทธิเสรีภาพ มันไม่มีความเท่าเทียมที่แท้จริง
และมันก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะอำนาจไม่ได้เป็นของประชาชน
แต่อำนาจยังอยู่ที่ชนชั้นนำจารีตนิยม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานความมั่นคงทั้งหลายและเจ้าหน้าที่รัฐที่สันทัดในการปกครอง
ไม่สันทัดในการบริหารในระบอบประชาธิปไตย
ศพผู้เสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม หลังการสลายชุมนุมคนเสื้อแดง วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 |
สิ่งที่เกิดขึ้นใน
6ตุลา19 ซึ่งเราสามารถเทียบเคียงได้
ดิฉันก็เทียบเคียงกับธรรมนูญกรุงโรมได้ ก็คือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ไม่ว่าจะเป็น 6ตุลา19 หรือเมษา-พฤษภา53 ล้วนแต่เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ทำอย่างกว้างขวางและอย่างเป็นระบบ
ก็จะมีองค์ประกอบที่ถูกสร้างขึ้นอย่าง 6ตุลา19 เตรียมตัวมาก่อนเลย 3 ปี พอ 14ตุลา16 มีความสำเร็จของเยาวชนปัญญาชน
ภายใต้ความร่วมมือของฝ่ายจารีตในการขับไล่ “ระบอบถนอม/ประภาส”
ซึ่งครองอำนาจยาวนานไปและทำท่าว่ามันจะล้นเกิน จนกระทั่งฝ่ายจารีตเองควบคุมไม่ได้
14ตุลา16 ก็ถูกวางแผนเอาไว้นาน แต่พอว่าเอาหลัง 14ตุลา16 ก็เตรียมการทันทีในการจัดการปัญญาชนเพราะว่ามันอยู่ในช่วงสงครามเย็น
ก็คือ ตอนแรกฝ่ายจารีตผนึกกำลังฝ่ายซ้ายและเยาวชนนักศึกษาเพื่อที่จัดการกับการสืบทอดอำนาจของทหาร
แต่ว่าพอได้รับชัยชนะแล้ว ได้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลแล้ว
ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือฝ่ายงานความมั่นคงเตรียมตัวทันทีเลยในการจัดการทำลายฝ่ายก้าวหน้า
ในการแบ่งแยกทำให้กลุ่มเยาวชน กลุ่มอาชีวะแยกตัวจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา
ฝ่ายศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาก็มีการถูกแทรกแซงแล้วก็แยกสลาย เตรียมการมา 3 ปี จนกระทั่งถึง 6ตุลา19
มันก็มีทั้งมวลชนที่จัดตั้ง
แล้วก็จ้างกลุ่มกระทิงแดงเข้ามาเป็นในส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีเงินเดือน
แล้วจนกระทั่งตอนหลังก็เอามาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำ มีแยกกลุ่มอาชีวะ มีการว่าจ้าง
มีการให้ผลประโยชน์ระดับหนึ่ง หรือให้เป็นเงินเดือนอะไรก็ตาม แบ่งแยกแล้วเตรียมการปฏิบัติการ
I/O ว่าปัญญาชน-เยาวชนพวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์
ซึ่งแม้กระทั่งพวกกันเองบางคนก็ยังบอกว่า “6ตุลา19 มีข้อเสนอว่าไม่ใช่อาชญากรรมโดยรัฐ
เพราะถือว่าเป็นส่วนเกี่ยวข้องกันกับพคท.”
แต่ดังที่ดิฉันจะอ้างอนุสัญญาเจนีวา
ซึ่งใช้ในกรณีที่มีสงครามด้วยซ้ำ คือการคุ้มกันพลเรือน เป็นอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่
4 เกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลพลเรือนในเวลาสงคราม ในข้อ 3 คือต่อให้เป็นสงครามนะ ผู้ที่ไม่มีอาวุธ ผู้ที่ถูกจับเป็นเชลย
ไม่มีอาวุธหรือหมดทางต่อสู้ คุณก็ไปจัดการเขาไม่ได้ อันนี้เป็นการคุ้มกันพลเรือน
เป็นฉบับปรับปรุงปี 1949
“บุคคลซึ่งมิได้เข้าร่วมในการสู้รบโดยตรง
รวมทั้งผู้สังกัดในกองทัพซึ่งได้วางอาวุธแล้ว
และผู้ซึ่งถูกกันออกจากการต่อสู้เพราะป่วยไข้ บาดเจ็บ ถูกกักคุม
หรือเพราะเหตุอื่นใดก็ได้ ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด ๆ
จะต้องได้รับการปฏิบัติด้วยมนุษยธรรม โดยไม่คำนึงถึงลักษณะความแตกต่างอันเป็นผลเสื่อมเสียเนื่องมาแต่เชื้อชาติ
ผิว ศาสนา หรือความเชื่อถือ เพศ กำเนิด หรือความมั่งมี
หรือเหตุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน
เพื่อการนี้
บรรดาการกระทำต่อไปนี้ แก่บุคคลดังกล่าวข้างต้น
เป็นอันห้ามและคงห้ามต่อไปไม่ว่ากาละและเทศะใด คือ
(ก)
การประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆาตกรรมทุกชนิด
การตัดตอนอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด การทำทารุณกรรม และการทรมาน
(ข)
การจับตัวไปเป็นประกัน
(ค)
การทำลายเกียรติยศแห่งบุคคล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติให้เป็นที่อับอายขายหน้าและเสื่อมทรามต่ำช้า
(ง)
การตัดสินลงโทษและการปฏิบัติการตามคำตัดสินโดยไม่มีคำพิพากษาของศาลที่ได้ตั้งขึ้นตามระเบียบอันเป็นการให้หลักประกันความยุติธรรม
ซึ่งอารยชนทั้งหลายยอมรับ นับถือว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจจะละเว้นเสียได้”
อันนี้นี่ยกตัวอย่าง
นี่คือสงคราม!
และนี่คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติ!
จนกระทั่งตามคำบอกเล่าคุณหมอสลักธรรม ซึ่งดิฉันก็ไปเปิดดูก็เป็นตามนั้นจริงก็คือ
“นาซี” นายพลบางส่วนที่ต้องขึ้นศาลที่นูเรมเบิร์ก
เพราะมีคำสั่งว่าให้จัดการกับไม่ว่าถ้าเห็นคอมมิสซาร์ของรัสเซียไม่ว่าจะมีอาวุธหรือไม่มีอาวุธอะไรก็ตาม
ยิงได้เลย! นี่เขาต้องขึ้นศาลโลก
เป็นศาลอาญาระหว่างประเทศที่เฉพาะที่เกิดขึ้นในหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และพวกนี้ไม่มีอายุความ ฟ้องได้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น
หลายคนแก่มากแล้วก็มาขึ้นศาล
คำสั่งให้จัดการคอมมิสซาร์ |
นี่คือกติกาของโลก
แต่คำถามว่าในประเทศไทย 6ตุลา, พฤษภา35 หรือ เมษา-พฤษภา53 ต่อให้มีบางคนบอกว่าพวกนี้เป็นส่วนของพคท.
จะเป็นบางส่วนซึ่งความจริงมันไม่ใช่ อ.ธิดาเข้าป่าหลัง 2519
ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพคท.มาก่อนเลย ปัญญาชนที่เข้าป่าก็ล้วนหนีภัยสยอง
อาจจะมีบางคนอยู่ในระบบจัดตั้งบ้างจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ของปัญญาชนเยาวชน
แต่ถ้าสมมุติว่าใช่ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ อันนี้ดิฉันอ้างอนุสัญญาเจนีวา ไม่มีสิทธิ์
คือพูดง่าย ๆ ภาษาชาวบ้านก็คือพวกคุณเป็นผู้ถืออาวุธของรัฐ คุณไม่มีสิทธิ์ยิงคน
ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายคนที่ไม่มีอาวุธ ถ้าสั่งให้ทำ คนสั่งก็ต้องขึ้นศาล
แล้วใน
6ตุลา19
นักศึกษาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่ถูกกราดยิงตามที่เราได้ฟังการบรรยาย เขาไม่มีอาวุธ
แล้วกระทำต่อนักศึกษาอย่างไร้ศีลธรรมแม้กระทั่งเป็นศพ แล้วมาถึง เมษา-พฤษภา53 ก็เช่นเดียวกัน นี่พูดถึง 6ตุลา19 และ เมษา-พฤษภา53 ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ทำโดยรัฐ รัฐที่เป็นรัฐตัวจริง
กลไกรัฐของระบอบที่ควบคุมโดยอำนาจนิยม จารีตนิยม กระทำต่อประชาชนมือเปล่า
ดิฉันมองว่าอันนี้มันจะเป็นผลซึ่งมีการอบรมกันหรือเปล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเย็น ถีบลงเขา เผาลงถัง โดยไม่มีหลักฐาน
เพราะถ้ามีหลักฐานคุณต้องจับตามกฎหมายถูกไหม? แต่อันนี้คุณไปทำ
เพียงแต่สงสัยว่าเขาอาจจะมีส่วน อาจจะเป็นสาย อาจจะทั้งนั้น
แค่สงสัยก็ฆ่าเขาทิ้งแล้ว
เพราะฉะนั้น
ประชาชนในยุคสงครามเย็น รวมทั้งเหตุการณ์ 6ตุลา19
ก็อยู่ในช่วงสงครามเย็นก็ถูกกระทำ ซึ่งผิด ผิดมาก แต่ว่าปี 53 มันไม่ใช่สงครามเย็น มันเป็นความขัดแย้งในเรื่องระบอบ
ซึ่งมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เอาบุคคลมาเป็นศัตรู แล้วก็มีความหลงผิด
เพราะนี่คือความขัดแย้งของระบอบ เพราะบุคคลก็ตายไปได้ แต่ระบอบยังอยู่ เช่น
คนมีปัญหากับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเป็น พล.อ.เปรม
กับคุณทักษิณ เป็นต้น ไม่มีสองคนนี้ประเทศไทยก็ยังขัดแย้ง
เพราะนี่เป็นความขัดแย้งของระบอบ ไม่ใช่ความขัดแย้งของบุคคล
ใครที่หลงผิดว่าเป็นความขัดแย้งของบุคคลแล้วเกลียดชังคุณทักษิณมากจนกระทั่งลืมคิดไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำและทำลายระบอบประชาธิปไตย
ตอนนี้ไม่รู้ว่ารู้สึกตัวแล้วหรือยัง?
แต่ว่าดิฉันบอกได้เลยว่า
6ตุลา19 เป็นอาชญากรรมโดยรัฐ มีทั้งองค์กรมวลชน
มีทั้งการปฏิบัติการ I/O จัดการตัดการสื่อสาร
มีการปราบปรามกว้างขวางทั่วประเทศอันเนื่องมาจากสงครามเย็น รวมทั้งปี 2553 ด้วย ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ถในกรณีธรรมนูญกรุงโรม
ถ้าใครสนใจก็สามารถไปดูได้ หรือมิฉะนั้นก็มาห้องสมุดของเรา
เพราะเราต้องเตรียมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในการทวงความยุติธรรมให้กับประชาชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2553
ซึ่งคนที่ตายยังไม่ได้รับความยุติธรรม รวมทั้งคน 6ตุลา19
ด้วย
สถานที่เกิดเหตุกราดยิงโดยอดีตจนท.ตำรวจ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 |
ที่ดิฉันจะพูดก็คือ
6ตุลา65 เป็นการกระทำโดยบุคคลแน่นอน
เพราะว่ารู้ว่าผู้กระทำคือใคร ก็จับได้ว่าเป็นนายตำรวจ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ
เป็นอดีตตำรวจ ทำหน้าที่สิบเวร ตอนแรกก็อ้างว่าเป็นเพราะคลั่งยา หรือเปล่า?
จนกระทั่งคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ตอบผู้สื่อข่าวว่า
ติดยาแล้วจะให้ทำยังไง? ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่งเลย
ไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งให้ออกไป
แต่การที่ออกไปไม่ได้หมายความว่ากรมตำรวจและผู้บัญชาการตำรวจทุกท่านทุกระดับ
และรวมทั้งนายกรัฐมนตรีจะไม่ต้องรับผิดชอบ อ้างว่าติดยาแล้วจะให้ทำไง
คุณไม่ต้องรับผิดชอบ อย่างนี้ไม่ได้!
ที่ดิฉันอยากจะโยงมาก็คือเพื่อเปรียบเทียบ
ระหว่างอาชญากรรมของรัฐกับอาชญากรรมเกิดจากบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
เพราะว่าเราทราบมาว่า 4
ครั้งสุดท้าย ที่มีการใช้ปืนกราดยิง
หมายถึงยิงหรือฆ่าคนที่ไม่รู้จักกัน มันไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องคนในครอบครัว
มันไม่ใช่เรื่องของการแก้แค้น มีความขัดแย้ง อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่กรณีที่ยิงคนที่ไม่รู่อิโหน่อิเหน่ ไม่ได้มีความขัดแย้งกันมาก่อนเลย ยิงคนทั่วไปในที่สาธารณะ
เราพบกว่า 4 คดีหลังเป็นทหารเสีย 3 คดี
ทหารที่กรณีโคราชนั่นก็ 30 กว่าศพ เป็นคดีใหญ่
แล้วครั้งนี้เป็นตำรวจก็ 30 กว่าศพ
แล้วตอนนี้ทราบว่าตรวจไม่พบสารเสพติด
แน่นอน
รัฐบาลอาจจะอ้างว่าก็มีการดำเนินคดี ก็เขาบอกว่าเขามียาบ้ามานานแล้ว
แต่ตอนนี้มีเม็ดเดียวก็ถูกจับ อันนั้นเป็นเรื่องรายละเอียดของคดี
แต่ดิฉันอยากตั้งข้อสังเกตว่า
คดีกราดยิงมันเป็นการกราดยิงที่เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าไปเทียบกับสหรัฐฯ
หรือไปเทียบกับประเทศอื่น ต้องให้พี่น้องเราหรือท่านผู้ฟังได้ไปตรวจสอบดูอีกที
แต่เท่าที่ดิฉันทราบมาเป็นคนที่มีปัญหาอยู่ในสังคม แต่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ
เพราะว่าเขาอาจจะเลี้ยงดูดี หรือว่ารัฐของเขามีการดูแลดี อบรมดี
เพราะว่าผู้ถืออาวุธมันจะต้องได้รับการอบรม
มันจะต้องได้รับการคุ้มครองและดูแลวินัยอย่างเข้มงวด อาวุธก็เป็นอาวุธของประชาชนที่เสียภาษีไป
เงินเดือนก็เป็นเงินเดือนของประชาชน แล้วอยู่ ๆ
คนเหล่านี้จะมายิงแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้อย่างไร มันไม่เคยเกิดขึ้นที่อื่น
แต่ทำไมประเทศไทย 4 รายเป็นทหาร 3 เป็นตำรวจ 1 แล้วก็ยิงคนอย่างมากด้วย
คำถามของดิฉันก็คืออยากให้พวกเราลองคิดดูว่า
ในกรณี 6ตุลา19 แล้วก็เหตุการณ์อื่น ๆ แต่เอาชัด ๆ 6ตุลา19 กับ เมษา-พฤษภา53
เมษา-พฤษภา53
คนที่ถูกยิง ยิงจากข้างบนขึ้นไปนะ 70-80%
ถูกยิงจาก “หัว” มาถึงแค่ “อก” แปลว่าตั้งใจยิง
และถ้าเห็นคลิปบางคลิปที่เป็นพลซุ่มยิงสองคน คนหนึ่งทำมือบอกว่าอย่ายิง เปรี้ยง!!! เลย ยิงเลย! คุณยิงคน คุณมองเห็นแล้ว
ส่วนใหญ่เป็นพลซุ่มยิง ถึงได้ยิงได้จากอกถึงหัว ก็มองเห็นแล้วว่าเขาไม่มีอาวุธ 6 ศพวัดปทุมฯ มองเห็นเลยว่าไม่มีอาวุธ
คำให้การในขั้นสอบสวนขั้นไต่สวนการตาย ทหารที่อยู่บนรางรถไฟจำนวนหนึ่งเขาบอกเขาไม่เห็นมีการยิงสวนมา
แต่ไอ้คนที่ยิงบอกว่ามีคนยิงกลับมา แต่คนที่ยืนเฉย ๆ ไม่ได้ยิงบอกว่าไม่มีใครยิงมา
นี่คือคำให้การ แปลว่าอะไร ก็คือคุณอยู่ในที่สูง คุณมองเห็นแล้วว่าเขาไม่มีอาวุธแล้วยังยิง!
คำถามของดิฉันก็คือว่า
คุณยิงได้ยังไง? บอกว่าปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ที่ไหน ๆ
เขาก็ไม่ได้สอนให้ยิงคนที่ไม่มีอาวุธนะ แล้วมันผิดด้วย ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำ
มีแต่คนบ้าป่าเถื่อน หรือมิฉะนั้นก็คือทหาร, ตำรวจไทย กินยาบ้ากันหมดทั้งประเทศหรือไง?
หรือเป็นยังไง? ทำไมถึงสามารถสั่งลูกน้อง แล้วลูกน้องก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งได้
ก็คือยังคนที่ไม่มีอาวุธ ยิงพยาบาล ยิงช่างภาพ เขาถือกล้อง เขาแบกกล้อง เขาไม่มีอาวุธ
ยิงได้ยังไง? หรือคนถือธงชาติไทยในวันที่ 10เมษา53
ยิงหัวเขาเลย กระจุยเลย เขาไม่มีอาวุธ เขาถือธง คุณเห็น ทำไมคุณยิง?
ดิฉันอยากจะถามว่า
รัฐไทย โดยเฉพาะกองทัพและเจ้าหน้าที่รัฐที่ถืออาวุธคุณอบรมสั่งสอนกันยังไง?
คุณจึงสามารถฆ่าคนไม่มีอาวุธได้อย่างเลือดเย็น อย่างไม่สะทกสะท้าน
แล้วคุณคิดมั้ยว่าสิ่งนี้มันอาจจะส่งผลได้ นั่นก็คือ
เมื่อคนบางส่วนเกิดความเครียดขึ้นมา ก็อาจจะมองเห็นชีวิตของคนอื่น ๆ เป็นผักเป็นปลา
เป็นอะไร มองไม่เห็นเป็นมนุษย์เท่ากัน อันนี้ตั้งข้อสังเกตนะ
ดิฉันไม่ได้บอกว่ามันจริง อันนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตในเชิงจิตวิทยาด้วยว่า
ถ้าถูกอบรมในการถืออาวุธว่า เด็ดขาด คุณยิงหรือคุณฆ่าคนที่ไม่ถืออาวุธไม่ได้
ไม่ได้ทุกกรณี ต่อให้ในสงครามก็ทำไม่ได้
ดิฉันอยากจะถามไปยังผู้ถืออาวุธตั้งแต่ชั้นผู้น้อยไปจนถึงชั้นผู้ใหญ่
ว่าคุณสอนอย่างนี้หรือเปล่า หรือคุณสอนว่ายังไง สอนว่าไอ้พวกนี้มันเป็นพวกญวน
เป็นพวกล้มเจ้า ดูซิ
มันเล่นละครทำให้มองเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นหรืออะไรประมาณนี้ที่เรารู้กันในการเล่นละคร
6ตุลา ซึ่งเจ้าตัวเขาก็มาบอกแล้วว่าไม่มีการวางแผนอะไรทั้งสิ้น
ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่าคนมันจะหาเรื่องมันก็หาเรื่องจนได้ ดิฉันก็ได้รับการบอกเล่ามาว่า
ในการฝึกเพื่อที่จะให้ฆ่าพี่น้องประชาชนในประเทศเดียวกันก็ต้องปลุกเรื่องนี้
มันถึงมีผังล้มเจ้า มีเรื่องราวล้มเจ้าออกมา เน้นปัญหาเรื่องความจงรักภักดี ทั้ง ๆ
ที่มันไม่มีมูลความจริงอะไรเลย แต่ต่อให้สมมุติเขาคิดจริง หรือว่าเขาผิด
ศาลต้องตัดสิน นี่ไงอนุสัญญาเจนีวา จะทำไปโดยตามอำเภอใจไม่ได้ ต้องศาลตัดสิน
แล้วในธรรมนูญกรุงโรมก็เน้นในเรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศก็บอกเลยว่า ถ้ายังไม่มีศาลตัดสิน
ต้องถือว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนผิด
อันนี้มันเป็นกติกาที่เหมือนกันทั่วไปทั้งหมด มันไม่ใช่ฆ่าแกงตามใจชอบอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเสมอมา
ดังนั้น
ในระหว่างที่เป็นการฆาตกรรมหมู่โดยคนรวมหมู่ โดยคนที่อยู่ในอำนาจรัฐ
กับการทำการฆาตกรรมคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่โดยคน ๆ เดียว มันก็มีนัยเกี่ยวข้องในทางจิตวิทยาด้วยเหมือนกัน
คือเห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์หรือไม่ หรือถือว่าตัวเองมีอำนาจ มีกำลังพล มีอาวุธ
แล้วสามารถที่จะจัดการประเทศ จัดการกับผู้คนยังไงก็ได้ จะฆ่าจะแกงยังไงก็ได้
ประเดี๋ยวก็นิรโทษ ประเดี๋ยวก็ทำรัฐประหาร ประเดี๋ยวก็ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วก็เขียนใหม่
รัฐธรรมนูญเขียนแล้วไม่ชอบใจก็ตีความให้มันเข้าข้าง
คิดว่าอาจจะอยู่จนหมดอายุความหรือเปล่า ดิฉันก็ไม่รู้
แต่ว่าดิฉันอยากจะตั้งข้อสังเกตในวันนี้ว่า
6ตุลา19, เมษา-พฤษภา53 เป็นการกระทำในการทั้งฆาตกรรม ทั้งจับกุมคุมขัง ทั้งการทำให้บาดเจ็บที่มีลักษณะเป็นระบบ
มีลักษณะเป็นโครงสร้างปฏิบัติการ นี่ว่าไปตามศาลอาญาระหว่างประเทศเลยนะ
แล้วทำอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่ว่าเป็นการทำเฉพาะหน้า
ตัดสินใจเฉพาะหน้าคนเดียวแบบกรณี 6ตุลา65
ดังนั้น
6ตุลา19 อันนั้นมันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
แต่อันนี้ 6ตุลา65 เป็นคดีอาญาของบุคคล
แต่ว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องก็คือว่าเมื่อคุณเป็นผู้ถืออาวุธ กินเงินเดือนของประชาชน
คุณไม่เคยถูกอบรมหรือว่าคุณจะใช้อาวุธของประชาชนมาฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาไม่ได้
ความคิดอำนาจนิยม ความคิดที่ว่าอยากจะแสดงอำนาจ
ในที่สุดแม้กระทั่งเป็นบุคคลมันก็สามารถที่จะสร้างภัยสยองได้
อย่าว่าแต่เป็นทั้งอำนาจรัฐเลย
เพราะฉะนั้น
ในวันนี้ดิฉันอยากจะให้ตั้งข้อสังเกตแล้วนำเสนอมายังรัฐบาลและประชาชนไทย
และพรรคการเมืองทุกพรรค แน่นอนปัญหาแรกก็คือปัญหายาเสพติด
อันนี้ต้องถือว่ามีความสำคัญ เพราะว่าเรารู้กันว่าขณะนี้ยาเสพติดหาได้ง่ายและมีเป็นจำนวนมาก
กลายเป็นเรื่องปกติ อาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากยาเสพติดมีเป็นจำนวนมาก
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้ใครมีการฆ่าตัดตอนโดยวิสามัญ ซึ่งเรื่องนี้เท่าที่ดิฉันทราบ
ไอ้ที่บอกว่าตายในตอนยุคทักษิณ 3,000-4,000 ศพ มันเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น
เกี่ยวข้องนะ แล้วในจำนวนนี้ยังมีกรณีสงสัยเป็นการฆ่าเพื่อตัดตอนกันเองกับกรณีที่ยังหาสาเหตุไม่ได้
เพราะว่าตลอดเวลาในสังคมไทย ทุกปี ทุกเดือน
การตายที่เกิดขึ้นโดยหาฆาตกรไม่ได้มันจะมีอยู่จำนวนหนึ่งทุกปี
ดังนั้น
แม้ดิฉันอาจจะมีบางส่วนที่คิดว่าไม่เห็นด้วยกับทางพรรคเพื่อไทย
แต่ดิฉันก็คิดว่ากรณีนี้ต้องแฟร์กับพรรคเพื่อไทยและแฟร์กับคุณทักษิณด้วย
ไม่ใช่หลับหูหลับตาบอกว่าฆ่าตัดตอน ฆ่า 3,000-4,000 ซึ่งไม่เป็นความจริง
เพราะตัวเลขเหล่านั้นเป็นตัวเลขรวมของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแต่ละปี
ดังนั้นต้องจัดการเรื่องยาเสพติดเป็นอันดับแรกที่สำคัญ
แต่เหนือกว่าเรื่องยาเสพติดในประการต่อมาก็คือ ผู้ถืออาวุธในประเทศไทย
ผู้ถืออำนาจในประเทศไทย
คุณจะไม่มีสิทธิ์ที่คิดว่าอำนาจอยู่ที่คุณแล้วคุณจะจัดการอะไรก็ได้
ไม่ว่าจะจัดการคนที่เห็นต่างทางการเมือง มันก็เลยกลายเป็นมรดกที่มีปัญหาที่อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐคิดว่าตัวเองมีอำนาจ
แล้วก็เกิดโรคติดต่อแบบเดียวกัน ดิฉันไม่อยากจะพูดว่า “โรคติดต่อจากนาย” นะ
ก็คืออำนาจนิยม
แล้วก็มองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่อยู่แม้กระทั่งในประเทศ
เลิกเสียที! การที่บอกว่าคุณจะสามารถยิงใครก็ได้
ไม่ได้ค่ะ เมื่อเขาไม่มีอาวุธ ต่อให้เขามีคดีความอะไรก็ตาม
เหมือนที่คุณพูดเรื่องฆ่าตัดตอนนั่นแหละ
ต่อให้เขาขายยาเสพติดคุณก็ไปยิงเขาทิ้งไม่ได้ แล้วนี่ยิงในที่สาธารณะ พลเรือนไทยทั่วไปถ้าไม่คลั่งยาก็ยังไม่ทำ
มีแต่ทหารไทยกับตำรวจไทยจำนวนหนึ่ง
ซึ่งดิฉันไม่แน่ใจว่าเขามีปัญหาอย่างอื่นนอกจากเรื่องยาเสพติดหรือเปล่า แต่ที่แน่
ๆ ที่ดิฉันคิดเอาก็คือว่า
มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่ได้รับการอบรมมาด้วยหรือเปล่าว่า
คุณมีสิทธิ์ที่จะใช้ปืนเมื่อนายสั่งยิงคนที่ไม่มีอาวุธก็ได้ อันนี้ไม่ได้แน่นอนค่ะ
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #กราดยิงหนองบัวลำภู