อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ในวงเสวนา "ICC กับความยุติธรรมที่ยังเอื้อมไม่ถึง"
ส่วนหนึ่งของนิทรรศการ
“6 ตุลา เผชิญหน้าปิศาจ |
6 October: Facing Demons”
โดย
โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6
ตุลา- October 6 Museum Project ร่วมกับ
คณะก้าวหน้า - Progressive Movement และ Common
School ณ KINJAI CONTEMPORARY
เมื่อวันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม 2565
ทำไมเราต้องไปร้อง
ICC – กระบวนการในการร้องมันเกิดขึ้นอย่างไร –
ผลการร้องเป็นอย่างไร - อนาคตเราจะทำอะไร?
ทำไมเราต้องไป
มันไม่ใช่เป็นเพราะคนเสื้อแดงตาย มันไม่ใช่เพราะกรณีปี 53
แต่ประเทศไทยถูกทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ดิฉันไม่ใช่ไปเรียกร้องเฉพาะกรณีปี 53 เพราะเรารู้ว่าเมื่อเทียบกับกรณีอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก
การตายของเราจำนวนประมาณ 90 กว่าศพ คือทางอาจารย์ทำเอาไว้ 94 ศพ แต่เราไปหาข้อมูล คนที่เราแน่ใจว่าเกี่ยวข้องแต่เสียชีวิตทีหลังอีก 5
ศพ ก็เป็น 99 ศพ
เพราะฉะนั้นเราก็มีส่วนข้อมูลของเราอยู่จำนวนหนึ่ง (นอกเหนือจากที่ ศปช. ทำไว้)
แต่ว่าอย่างไรก็ตาม
การมาวันนี้และการที่มี ศปช.ได้ทำ ดิฉันต้องขอขอบพระคุณแทนพี่น้องประชาชนเสื้อแดงและคนไทยทั้งหมด
ขอบคุณมาก เพราะว่ามีคนตั้งคำถามว่าทำไม นปช.ไม่ทำศูนย์ข้อมูล คำถามว่า
นปช.ทำแล้วมีใครเชื่อ? พูดอะไรออกไป เห็นหน้าบางทีก็ยังไม่อยากมอง พวกนี้ควายแดง!
ไอ้พวกนี้ลูกน้องทักษิณ! อะไรประมาณนั้น
เพราะฉะนั้นการที่มีคนนอกและนักวิชาการที่น่าเชื่อถือมาทำ
และรวมกระทั่งทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น การเขียนหนังสือหรืออย่าง “ฟ้าเดียวกัน”
ที่ได้ทำ ดิฉันถือว่าเป็นคุณูปการต่อการต่อสู้ของประชาชน
เพราะว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นมวลชนพื้นฐาน
ดังนั้นเสียงก็ไม่ดังเท่าปัญญาชน แต่ดิฉันก็ภาคภูมิใจว่าในประวัติศาสตร์การต่อสู้
นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นทั้งกองหน้าและกองกำลังหลักคือมวลชนพื้นฐาน ไม่ใช่ปัญญาชน
กระทั่งแกนนำ จะว่าไปก็ไม่ใช่ปัญญาชนทั้งหมด มีบางส่วนเท่านั้น
เราไป
ICC เมื่อเดือนมิถุนายน 2555 ทำไมเราต้องไป ICC
เราไม่ได้ร้องทุกข์เฉพาะกรณีปี 53 เราไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก
คุณฆ่า แล้วคุณก็ลอยนวลพ้นผิด นิรโทษกรรม คนทำก็ย่ามใจ
นี่ก็แค่ไม่กี่วันก็ยังลือกันว่าอาจจะทำรัฐประหารก็ได้ ทำแล้วก็ฉีกรัฐธรรมนูญ
ไอ้ที่เขียนมาแล้ว 8 ปี อาจจะแก้ใหม่ ไม่ต้อง 8 ปีก็ได้ เพราะฉะนั้น “ประยุทธ์” อาจจะได้อยู่ต่อยาวต่อไปอีกก็ได้ไม่ใช่แค่
68 นี่ยกตัวอย่าง แล้วก็มีประท้วง การจัดการปราบปรามประชาชนก็อาจจะเกิดขึ้นได้เหมือนเกิดขึ้นกับ
6ตุลา ซึ่งพวกเราได้ดูแล้วว่ามันโหดเหี้ยมมาก
มันไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ลอยนวลพ้นผิด ปี 53 ก็เช่นกัน
เพราะฉะนั้น
เหตุผลที่ไป ไป ICC
เพื่อให้ประเทศไทยไม่ควรจะเกิดแบบนี้อีก
นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันพูดคล้าย ๆ กับ อ.ธงชัย ก็คือจดหมายของอ.ธงชัยสะเทือนใจมาก
ทั้งอ้อนวอนและขอร้องว่าขอให้ ICC อย่ามองแค่จำนวน
เขาตายกันเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน ของเราประมาณร้อย เขาอาจจะมองไม่เห็น
แต่เราก็พูดกันว่าการทำซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเป็นการกระทำไม่ใช่แต่เพียงคนที่ตายไป
แต่มันกระทำต่อประชาชนที่ยังมีชีวิตอยู่และในอนาคต และประเทศไทยด้วย เพราะฉะนั้น
เราไปวิงวอนและขอร้อง ดิฉันสะเทือนใจมากที่อ่านจดหมายของอ.ธงชัยทุกครั้ง แต่ใจความคล้ายกันกับที่เราขอร้อง
สรุปก็คือ
เราไปเพื่อประเทศเรา เพื่ออนาคต แล้วเราไปร้องเรียน
ดิฉันบอกได้เลยว่าดิฉันเป็นประธานนปช. เมื่อ 1 ธันวา 53
จนกระทั่งปี 56 เดือนมีนา ในวันที่ 30
ธ.ค. 2553 จดหมายก็ไปถึง ICC แล้ว
รอบแรกขอให้เขามาสังเกตการณ์และเก็บข้อมูล เพราะเราเชื่อว่าการเสียชีวิตและการจับกุมคุมขังคน
เรียกว่าหลายพันคน 5-6 พันคน ตอนต้องประกันตัว 4 พัน แล้วที่ตายไป และบาดเจ็บก็ประมาณ 2 พัน
มันเป็นงานใหญ่มาก เราไม่มีศูนย์ทนายแบบนี้ ไม่มีกองทุนราษฎรประสงค์แบบคุณไอดา,
อ.ชลิตา ทำกับกลุ่มราษฎร ดิฉันก็ต้องชื่นชมว่าทำได้ดี ตอนนั้นลำบากมาก
แต่ว่ายังไงก็ตามเราจำเป็นต้องร้องทุกข์
เพราะประเทศไทยจะอยู่อย่างนี้อีกไม่ได้แล้ว ที่ตายก็ตายไปแล้ว
แต่เราไม่ต้องการให้ตายต่อไปอีกข้างหน้า ดังนั้นเราก็เริ่มตั้งแต่ปี 53 แล้วก็ต้องขอบคุณทนายอัมสเตอร์ดัม
ทำจดหมายเป็นระยะ ๆ จดหมายของอัมสเตอร์ดัมนั้นบรรยายมาตราต่าง ๆ
ของธรรมนูญกรุงโรมตั้งแต่มาตรา 10 กว่า ไปจนถึงมาตรา 20 กว่า บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าสมควรที่อัยการจะมารับเรื่องที่เราไปร้องทุกข์
แล้วเมื่อเขาเห็นว่าสมควร มันก็เป็นแบบที่อาจารย์ปิยบุตรกล่าวในข้อ 3 คืออัยการรับเรื่อง ผลที่เกิดขึ้นคือจากการที่เราไป แล้วก็จดหมาย
มีเอกสารร้องทุกข์มาเป็นลำดับ และเขาได้รับเรื่องเอาไว้จริง
แล้วพิจารณาแล้วว่ามันน่าจะสมควรรับเรื่อง
ดังนั้นต่อมาในวันที่
1 พ.ย. 2555 คุณ Fatou
Bensouda อัยการ ICC ก็มาคุยกับคุณสุรพงษ์
โตวิจักษณ์ชัยกุล รมต.ว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น ผลมันก็คืออัยการได้มาคุย
โชคดีที่เขามีประชุมด้วย คือคุณ Bensouda
กรุณาอธิบายให้คุณสุรพงษ์มีความรู้ทั้งหมดว่าคุณทำแบบนี้นะ คุณใช้มาตรา 12(3) ของธรรมนูญกรุงโรมนะ คุณไม่ต้องให้สัตยาบันนะ
คุณไม่ต้องกลัวเลยว่าประมุขของคุณจะโดนเล่นงานนะ ไม่เกี่ยวเลย เอาเฉพาะกรณีนี้
แค่เปิดประตูให้ ICC มา เพื่อจะมาหาหลักฐานรวบรวม
ศาลคุณก็ทำไปซิ เพราะว่า ICC เป็นศาลเสริม
ไม่ใช่ว่าจะมาทำให้ศาลไทยหมดอำนาจ แต่ถ้าศาลไทยไม่ประสงค์จะทำ
หรือว่าทำแล้วมีปัญหามากเขาก็จะเป็นส่วนเสริมที่ทำงานต่อไป
ที่สำคัญคือเขามาให้ความรู้ว่าคุณไม่ต้องไปกลัวเรื่องอื่นทั้งหมดเลย
เอาเฉพาะกรณีนี้ก็ได้
แต่ดิฉันไม่แน่ใจว่ารมต.สับสน
เพราะว่าคิดว่าต้องให้สัตยาบันหรือเปล่า เพราะว่ามีความกลัวเรื่อง ICC กันมาก เพราะฉะนั้นปัญหาสำคัญของเราตรงนี้ก็คือต้องทำความเข้าใจกันด้วยว่า
ในประเทศของเราที่มีปัญหามากในเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา 6
ซึ่งมีสองวรรค วรรคแรกว่าจะละเมิดไม่ได้ วรรคที่สองก็คือมาเติมเอาในรัฐธรรมนูญปี 2492
นะ จะฟ้องร้องไม่ได้ด้วยวิธีใด ๆ ก่อนหน้านี้รัฐธรรมนูญปี 2475 ก็ไม่มี แล้วก็มามีอีกทีในรัฐธรรมนูญปี 2521
มาจนถึงบัดนี้ นี่คือรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 6 ปัจจุบัน
มันไม่ได้มีตั้งแต่ตอนต้น มันเพิ่งมี
ที่เขากลัวมากก็คือพอพูด
ICC คือกลัวการให้สัตยาบัน แล้วอ้างว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ก็คือใครจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้
คือนอกจากจะละเมิดมิได้แล้วก็วรรคสองด้วย
เขามีการตั้งกรรมการเท่าที่ดิฉันจำได้ก็คือ ทางรมต.บอกว่ามีคณะกรรมการ
แล้วคณะกรรมการต้องไปพิจารณา แต่สำหรับดิฉันคือเราเป็นนักต่อสู้ประชาชน
เราไม่คิดอย่างเขา เมื่อมันควรจะทำมันก็ต้องทำ แล้วเราก็ต้องรับผิดชอบการกระทำนั้นได้
ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่ามันเฉพาะกรณีนี้ ทำไมไม่ทำ!
นี่เป็นความคิดของดิฉัน
แต่ว่าคุณสุรพงษ์
แม้กระทั่งวันใกล้วันทำรัฐประหาร คุณหมอเหวงโทรไปหา ขอร้อง
ว่านี่อีกไม่กี่วันเขาทำรัฐประหารแน่นอน คุณช่วยกรุณาได้มั้ย? เซ็นรับรองเขตอำนาจศาล
ICC เฉพาะกรณีปี 2553 ซะหน่อย คำตอบก็ไม่มี แต่ตามความคิดของดิฉันก็คือ
เขาเกรงมาตรา 6 ว่าข้อ 27 ของธรรมนูญกรุงโรม จะไปมีปัญหาขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา
6 นี่มองในด้านบวกแล้วนะ ก็คือว่าเขาไม่รู้ว่า ถ้าใช้มาตรา 12(3) ของธรรมนูญกรุงโรม
มันก็ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกับประมุขเลย แล้วในนี้ระบุเฉพาะ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
เพราะ ICC เขาจะเล่นงานบุคคล ไม่ใช่เล่นงานรัฐ
นอกจากเล่นงานบุคคลแล้ว
บุคคลที่ถูกเล่นงานมันจะต้องอยู่ในรัฐภาคี
ปรากฏว่าทนายอัมสเตอร์ดัมไปรู้มาว่าคุณอภิสิทธิ์มีสัญชาติอังกฤษ
แล้วไม่ได้ถอนสัญชาติอังกฤษ ดังนั้นการฟ้องคุณอภิสิทธิ์จึงฟ้องได้ นี่ไม่ใช่อยู่ ๆ
เราไปรับรองเขตอำนาจศาลแล้วจะไปฟ้องใครได้นะ จะฟ้อง “สุเทพ” ก็ยังไม่ได้
เพราะสุเทพไม่ใช่คนอังกฤษ มันมีรายละเอียดของมัน ดังนั้น
กรณีนี้เราทำการบ้านกันมาจนหมดแล้วว่าฟ้อง “อภิสิทธิ์” ได้
แล้วนอกจากนั้นก็เป็นศาลเสริม คือคุณ Bensouda
เขาก็บอกว่าเปิดประตูขอให้ได้นับหนึ่ง มันยังใช้เวลาอีกนาน แล้วถ้ามีกฎหมายอะไรที่ไม่สอดคล้อง
มันยังมีเวลาอีกนานที่จัดการได้ และขอให้รัฐไทย
หมายถึงกระทรวงการต่างประเทศโดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเซ็นรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีปี
53 ก่อนเลย แล้วจากนั้นก็นับหนึ่ง เปิดประตุให้ ICC
เข้ามาหาข้อมูล
อ.พวงทอง
ภวัครพันธุ์ (ผู้ดำเนินรายการ) : เพราะฉะนั้นขอพูดไปถึงอนาคตนิดหนึ่งได้มั้ยคะอาจารย์
ก็คือว่า เราก็รู้กันว่าตอนนี้มันอยู่ในช่วงใกล้เลือกตั้ง
นปช.เองก็ถือว่าเป็นพลังสำคัญในการที่จะหาเสียงเลือกตั้งให้เกิดแลนด์สไลด์
อ.ธิดา
ถาวรเศรษฐ :
ดิฉันขอพูดอย่างหนึ่งนะคะ ดิฉันไม่ได้คิดว่าตัวองค์กรนำนปช.ยังดำรงอยู่นะ
อ.พวงทอง
: หมายถึงใครคะ
อ.ธิดา
: คือประชาชนและสมาชิกนปช.ยังอยู่ แต่ภาวะการนำเป็นองค์กรมันไม่มี
ดิฉันพูดได้ในฐานะส่วนตัว
อ.พวงทอง
: แต่ว่าแกนนำนปช.เองน่ะค่ะ
อ.ธิดา
: ก็ไปคนละทิศคนละทาง (หัวเราะ)
อ.พวงทอง
: โอเค ในส่วนตัวอาจารย์ก็แล้วกัน อาจารย์ก็มีความสัมพันธ์กับแกนนำนปช.หลาย
ๆ คนด้วย อย่างณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
อ.ธิดา
: ใช่ ๆ และที่สำคัญก็คือดิฉันมีความเชื่อว่าในระหว่างเวลาที่ทำงานเป็นประธานนปช.และเปิดโรงเรียนนปช.
เป็นโรงเรียนการเมืองแบบบ้าน ๆ สำหรับชาวบ้าน แต่ว่ากันทีเป็นพัน ๆ
คนและก็ร้องห่มร้องไห้ถ้าไม่ได้เข้าเรียน
มันก็ได้ผลจำนวนหนึ่งก็คือว่ามันสามารถสร้างชาวบ้านประชาชนธรรมดาเป็น Active
Citizen และเข้าใจว่าเขาทำงานการเมืองเพื่ออะไรนอกรัฐสภา
ในรัฐสภาเขาก็เลือกเพื่อไทย หรือบางส่วนมาเลือกก้าวไกลก็มี ดิฉันคิดว่าเป็นอย่างนั้น
แต่ว่ายากที่จะกระโดดไปที่อื่น แค่นี้ดิฉันก็ภูมิใจแล้ว
ทีนี้ถ้าถามว่าพูดแทนหัวใจคนเสื้อแดง-นปช.และแกนนำจำนวนมากได้
แต่ดิฉันไม่กล้าพูดในนามองค์กร เพราะว่าภาวะการนำไม่มี ถ้าไม่มีการนำรวมหมู่
ไม่มีการประชุม ภาวะการที่จะเป็นการนำโดยองค์กรก็ไม่มี
แต่เป็นการนำทางอุดมการณ์และเหตุการณ์เป็นเรื่อง ๆ ไป ดิฉันมีความคิดอย่างนี้
“อะไรที่ทำง่าย ทำก่อน” ก็คือ
อันแรกที่ทำง่ายที่สุดก็คือ
12(3) ของธรรมนูญกรุงโรม ก็คือขอให้ได้นับหนึ่ง แม้จะเป็นกรณีของคนเสื้อแดงก็ตาม
ขอให้รัฐ หมายถึงพรรคการเมืองทั้งหลายที่มาเป็นรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจริง
คุณจะปล่อยให้มีการฆ่าคนซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างนี้ไม่ได้ คุณต้องนับหนึ่ง
นับหนึ่งที่ง่ายที่สุดก็คือดำเนินงานที่อัยการ ICC เขามาเดินเรื่องไว้แล้ว
แล้วเซ็นเอกสารแค่นั้น เอาเฉพาะกรณี หรือคุณอยากจะจิ้มเรื่องอื่นที่หลัง 1 ก.ค.
2545 อันเป็นวันที่มีการก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ ก็ได้
แต่มันง่ายที่สุดคือเรื่องนี้ที่มันไปตั้งอยู่ที่อัยการแล้ว เราทำข้อมูลและเอกสารเยอะแยะมาก
แล้วกว่าที่เขาจะหยิบเอกสารรับเรื่องไปใส่ที่อัยการ แล้วกว่าที่อัยการเอาไปใส่อีกกะบะหนึ่งเพื่อพิจารณามันใช้เวลาแต่ก็ได้ผล
จนกระทั่งอัยการเดินทางมาประเทศไทย
ดังนั้น
ข้อแรก ขอให้รับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศตามมาตรา 12(3)
ของธรรมนูญกรุงโรม เฉพาะกรณีของปี 2553 อันนี้ง่ายที่สุด ขอให้ทำก่อนเลย!
ในข้อสอง
ข้อเสนอของดิฉันก็คือ คุณต้องแก้กฎหมายและเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
ข้อนี้ดิฉันขอให้เสนอไปในลักษณะทางบวก คือเราสร้างความคิดบวกให้ ก็คือตั้งคำถามกับพรรคการเมืองว่าคุณต้องการให้ประเทศนี้
ระบอบประชาธิปไตยเป็นสากลมั้ย? และอำนาจเป็นของประชาชนแท้จริงมั้ย?
ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น คุณต้องทำรัฐธรรมนูญใหม่
แล้วคุณต้องแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
และสนธิสัญญาหลักของสิทธิมนุษยชน
ซึ่งหมายถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม คือพวกนี้ก็ต้องแก้หมด
เราชูธงด้านบวก ถ้าคุณอยากจะให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยแบบสากล
คุณต้องแก้กฎหมายให้สอดคล้อง นี่ไม่ได้พูดเรื่องการไปล้มสถาบันไหนเลยนะ
ตรงนี้ไม่ใช่แต่กฎหมายอย่างเดียว หมายถึงรัฐธรรมนูญ ยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญ มาตรา 6
ซึ่งก่อนหน้านี้มันมีแต่คำว่า “จะละเมิดมิได้” แล้วประเทศอื่นเขาก็มี
แต่เขาก็ลงสัตยาบันให้ แต่ดันไปเติมอีกวรรคหนึ่งว่า “ห้ามฟ้องร้องโดยวิธีใด”
อันนี้มาเติมเอาในรัฐธรรมนูญปี 2492 และรัฐธรรมนูญปี 2521 แล้วก็ไล่มาเป็นลำดับ
แต่ที่เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ
เหนือกว่ากฎหมายคือความคิดและทางเดินของพรรคการเมืองว่าคุณต้องการให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยแบบสากลหรือเปล่า
ถ้าบอกว่าเป็นก็ต้องแก้ และที่สำคัญคือแก้ให้สอดคล้องกับธรรมนูญกรุงโรมด้วย
ข้อสามก็คือ ให้สัตยาบัน
เพราะดิฉันรู้ว่ากว่าจะถึงสัตยาบันได้ คุณต้องรบในข้อสองมาก
นี่ก็เป็นสิ่งที่คิดว่าเราน่าจะร่วมมือกัน
โดยเฉพาะกลุ่มผลักดันเรื่อง 6ตุลา เหตุการณ์ 6ตุลา ไม่สามารถไปฟ้อง ICC ได้
เวลามันเลยไปแล้ว คือก่อนหน้าจะจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ดังนั้น ดิฉันมองว่าเป็นรูปธรรมของการทำงานด้วย
ควรจะมีการร่วมมือกันในการที่ว่า สิ่งที่กลุ่ม6ตุลาได้ทำ ที่อาจารย์ได้ทำกัน
รวมทั้งบันทึก6ตุลา อะไรต่าง ๆ ทำได้ดีมาก ดิฉันคิดว่าเราควรจะร่วมมือกันในส่วนของการประสานกับคนเสื้อแดงและนปช.
ดิฉันยินดี เพราะว่าเราก็ทำอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง มันต้องผนึกกำลังกัน
เพราะว่าการที่จะผ่านด่านกฎหมายของความคิดจารีตมันไม่ใช่ง่าย
แต่ยังไงดิฉันก็อยากให้ชูธงด้านบวกก็คือว่า
คุณจะเปลี่ยนประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยแบบสากลหรือประชาธิปไตยแบบไทย ๆ แบบนี้ จะเอามั้ย? ถ้าเอามันต้องเดินหน้า ช่วยกัน!
อ.พวงทอง
: แต่ว่าอ.ธิดากับอ.ปิยบุตรก็พูดถึงในแง่ว่า โอเคเราต้องแก้ที่กฎหมาย
ในที่สุดแล้วเจตจำนงทางการเมืองมันคืออะไร
ดิฉันเข้าใจว่าอาจารย์เองก็ยังมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนว่า
ที่ต้องการเรียกร้องให้เกิดความยุติธรรมแน่
แต่แน่นอนก็ต้องอาศัยพลังของพรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคใหญ่ที่จะต้องร่วมกันผลักดันเรื่องนี้ด้วย
เราพูดกันลอย ๆ โดยไม่กดดันพรรคการเมืองมันก็ไม่มีผล
อาจารย์เองในฐานะที่เป็นแกนนำนปช. ดิฉันเชื่อว่าอาจารย์เองยังมี Active
Citizen คนเสื้อแดงอีกมากที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ อันนี้จะเป็นที่ Agenda
ที่สำคัญของอาจารย์ที่จะผลักดันให้กับพรรคการเมืองใหญ่ ๆ
ที่อ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนทำเรื่องนี้ต่อไปมั้ยคะ
อ.ธิดา
: ดิฉันยินดีสนับสนุนเต็มที่ และกำลังจะขอให้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม6ตุลา
อ.พวงทอง
: อาจารย์พูด คุณณัฐวุฒิพูด ดิฉันว่าคนก็ฟัง
อ.ธิดา
: ไม่พอค่ะ ไม่พอ เพราะว่าอย่างที่อาจารย์ทำกันเรื่อง 6ตุลา
ทำกันมาตั้งกี่ปีแล้วลองคิดดู ดิฉันคิดว่า 6ตุลา มันเป็นบรรยากาศของปัญญาชน
แต่เรื่องของ เมษา-พฤษภา 53 พูดตรง ๆ ว่ามันเป็นไพร่ชนบทนะ ดังนั้น ถ้ามันสามารถผสมผสานร่วมมือกัน
มันจะมีพลังมาก
ลำพังพูดอย่างเดียวตัวดิฉันเองอาจจะไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่สำหรับพรรคการเมืองนะ
อ.พวงทอง
: ดิฉันเชื่อว่าอาจารย์มี คุณณัฐวุฒิมี หลาย ๆ คน แกนนำนปช.มี ถ้าพูดกับพรรคเพื่อไทย
พูดตรง ๆ พูดกับพรรคเพื่อไทยโดยตรงเลย ในฐานะแกนนำนปช.
ซึ่งก็ต้องมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมต่อมวลชนของตัวเอง
อ.ธิดา
: ที่เมื่อกี้เสนอนั่นแหละคือวิธีการ ก็คือในข้อ 2
ที่บอกว่าเราต้องถามพรรคการเมืองไทย
นี่คือสิ่งที่ควรพูดว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องการประชาธิปไตยแบบสากลหรือประชาธิปไตยเท่าที่ได้แบบไทย
ๆ ถ้าคุณต้องการประชาธิปไตยแบบสากล คุณก็ต้องร่วมมือในการทำ 1-2-3 ที่ว่า
ถ้าเราไปด่าว่าเขาก่อนมันไม่ได้ผลหรอก ดิฉันอยากให้ชูธงทางบวกว่า
ถ้าเราจะผลักประเทศไปข้างหน้าแล้วก็ดำเนินไปตามกติกาสากล
ยึดตามกฎปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และสนธิสัญญาสากลต่าง ๆ รวมทั้งให้สัตยาบันสนธิสัญญากรุงโรม
คือคนทั้งโลกเขาตกลงกันอย่างนี้ เราจะเห็นด้วยมั้ย พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหน
จะเห็นด้วยมั้ย หรือคุณอยากเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ
ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยก็บอกมา
ดิฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่จะพูด
เราต้องพูดอย่างนั้น เพราะดิฉันเชื่อว่าถ้าเรานำเสนอด้านนี้
มีโอกาสสูงที่ว่าเราต้องรณรงค์เพื่อให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ
แล้วให้คนที่ก้าวหน้าไปสมัคร สสร. ให้มาก แล้วผลักดันธงประชาธิปไตยแบบสากลนี้ เพราะระบอบที่มีอยู่ปัจจุบันมันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
#ICCกับความยุติธรรมที่ยังเอื้อมไม่ถึง
#6ตุลาเผชิญหน้าปีศาจ