วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2565

“อ.ธิดา-ณัฐวุฒิ-อนุวัฒน์” เป็นพยานให้ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” กรณีถูก ป.ป.ช. ฟ้อง ม.157, 116 กรณีปราศรัยบนเวทีนปช. “ลั่นกลองรบ” ที่โคราช ปี 57

 


“อ.ธิดา-ณัฐวุฒิ-อนุวัฒน์” เป็นพยานให้ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” กรณีถูก ป.ป.ช. ฟ้อง ม.157, 116 กรณีปราศรัยบนเวทีนปช. “ลั่นกลองรบ” ที่โคราช ปี 57


วันที่ 5 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น. อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายอนุวัฒน์ ทินราช ได้เดินทางมาที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อเป็นพยานให้ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยขณะนี้นายจารุพงศ์ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย จึงเป็นการพิจารณาคดีโดยลับหลัง


ทั้งนี้ ป.ป.ช. ฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด รวมถึงกระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นภายในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 116 (1) (3)


ด้านนายอนุวัฒน์ ทินราช อดีตแกนนำนปช. จ.นครราชสีมา ได้กล่าวว่า ในวันดังกล่าว ตนและคณะเป็นคนจัดขึ้น นายจารุพงศ์ได้มาดูความสงบเรียบร้อย และได้กล่าวบนเวทีว่า พวกกปปส.ที่กำลังเดินขบวนไล่รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ในขณะนั้น หากเกิดเหตุความรุนแรงมากขึ้น อาจจะถึงขั้นมีรัฐประหาร ทำให้เกิดความแตกแยก ซึ่งไม่มีการพูดตรงไหนที่จะไปยุยงประชาชนให้แบ่งแยกดินแดน และการประชุมในวันนั้นก็จบลงด้วยความสงบเรียบร้อย ซึ่งผมยืนยันว่าวันนั้นไม่มีความเสียหายใด ๆ เกิดขึ้น


ในการจัดงานนปช. “ลั่นกลองรบ” ครั้งนั้น นายอนุวัฒน์เองก็ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหา ม.112 กรณีปราศรัยพาดพิงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งนายอนุวัฒน์เล่าให้ฟังว่า หลังการจัดงานเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2557 แล้ว พอต้นเดือนมีนาคมทางจังหวัดได้มีการนำเรื่องนี้เข้าถามในที่ประชุมว่าสิ่งที่นายอนุวัฒน์ปราศรัยนั้นเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ ซึ่งในที่ประชุมก็มีความเห็นว่าไม่หมิ่นฯ ไม่เข้าข่าย แต่พอคสช.เข้ายึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 คณะกรรมการชุดเดิมที่เข้าประชุมเมื่อต้นเดือนมีนาคมกลับคำ เปลี่ยนจากที่บอกว่าไม่เข้าข่ายหมิ่นฯ เป็นเข้าข่ายหมิ่นฯ เป็นเหตุให้ตนถูกศาลตัดสินเมื่อปี 2561 จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมาเมื่อ 15 เมษายน 2562 รวมติดคุก 1 ปี 4 เดือน นายอนุวัฒน์ กล่าว


ต่อมา อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในพยาน ได้เดินทางมาถึงและได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีดังกล่าวเพิ่มเติม โดยกล่าวว่า


ดิฉันอยากจะเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราววันนี้ที่เรามาเป็นพยาน ในคดีที่มีการฟ้อง คุณจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตอนนี้คุณจารุพงศ์ไม่อยู่ ก็เป็นการพิจารณาคดีลับหลัง


โดยทั่วไปก็คือเราเขียนเอกสารส่งไปแล้ว แต่ดิฉันอยากจะเรียนท่านผู้ชมว่า เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ก่อนเกิดเหตุการณ์ทำรัฐประหาร เป็นการประชุม จริง ๆ มันไม่ใช่การชุมนุม มันเป็นการประชุมสัมมนาแกนนำทั่วประเทศ เพื่อมีลักษณะเตรียมพร้อม


ชื่อมันอาจจะดูบู๊หน่อยก็คือ “ลั่นกลองรบ” แต่เป็นการประชุมแกนนำทั่วประเทศ และที่โคราชไม่ใช่ครั้งแรก เป็นครั้งที่สอง เพราะว่า 7 มกรา เราก็มีการประชุมแกนนำทั่วประเทศเพื่อเตรียมพร้อมต่อต้านรัฐประหาร และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทุกอย่างก็จบด้วยความเรียบร้อย ก็คือเป็นการประชุมเพื่อฟังว่าแกนนำมีข้อเสนอ 1. ต่อรัฐบาลอย่างไร 2. ต่อองค์กรนปช. อย่างไร แล้วคุณณัฐวุฒิก็จะเป็นคนที่นั่งฟังและรวบรวม แล้วนำข้อเสนอนั้นมาสรุป ซึ่งที่จริงนั้นมันไม่มีอะไร


แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า คุณจารุพงศ์ เขาพูดในลักษณะที่ว่าอยู่มหาดไทย แล้วก็เป็นนายทะเบียนอาวุธปืนด้วย ก็เลยพูดลักษณะป้องปรามรัฐประหารประมาณว่าจริง ๆ แล้วประชาชนก็มี ถ้าพูดไปคือประชาชนรักสันติ แต่ว่าจริง ๆ แล้วถามว่าอาวุธปืนในหมู่ประชาชนก็มีจำนวนมาก ตรงนี้ก็เลยเป็นจุดที่มีการเอามาฟ้องร้องกัน


แต่ดิฉันเองในฐานะพยานก็ได้เรียนไปทางศาลว่า โดยทั่วไปเป็นที่รับรู้กันว่า นปช.นั้นก็คือนโยบายสันติวิธี แล้วก็ไม่มีคำพูดไหนที่ทางพยานมาบอกให้ประชาชนจับอาวุธขึ้นสู้ สำหรับความหวาดกลัวความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นก็ไม่ได้ไปทำ กลัวความรุนแรง จะไปปะทะกับกปปส. หรืออย่างไร แต่จริง ๆ ก็คือพูดเพื่อป้องปรามการทำรัฐประหาร เพราะว่าเราพูดไว้ก่อนแล้วว่าการออกมาของกปปส.ก็ประมาณเหมือนพันธมิตร ออกบัตรเชิญให้ทำรัฐประหาร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจจะมีการทำรัฐประหารเกิดขึ้น


นปช.ในช่วงนั้นก็เอาเรื่องของ ยีน ชาร์ป เอามาดัดแปลงเป็น 19 ข้อ ก็คือเป็นการต่อต้านรัฐประหารโดยสันติวิธี แต่ที่เรารู้กันก็คือพอถึงวันทำรัฐประหาร ก็ล็อคแกนนำหมด อ.ธิดานี่มีถุงดำใส่หัว 2 ชั้น มัดมือด้วยเคเบิ้ลไทร์ อาจารย์ก็ยืนพูดวันทำรัฐประหารบอกว่า แก่ขนาดนี้ เป็นผู้หญิงแก่ ๆ มันอะไรต้องขนาดนั้น แล้ววันนั้นคุณชัชชาติถูกเรียกไปคนแรกเลยวันที่นั่งประชุมกัน อาจารย์ยังจำภาพนั้นได้เลย เขาเรียกคุณชัชชาติก่อน แล้วพอตอนหลังก็ไล่มาทีละคน แล้วอาจารย์ก็หันไปมองประมาณว่าถึงตาฉันแล้วหรือเปล่า เขาก็พยักหน้าว่าใช่ ออกไปเขาก็จัดการเอาถุงคลุมหัวแล้วก็มัดมือ แล้วก็เอาไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์


ถ้าวันนั้นแกนนำไม่ได้ถูกล็อกในที่ประชุม แล้วก็คนของรัฐบาล คนของพรรคไม่ถูกล็อกในที่ประชุม ที่อักษะมันมีการชุมนุมอยู่ อาจารย์เข้าใจว่ามันคงมีความรุนแรงน้อง ๆ ปี 2553 เกิดขึ้นแน่นอน แต่เผอิญเขามาล็อกเอาไว้ ซึ่งก็ให้วิจารณ์กันเองได้ว่าไปกันทำไม หรือเปล่า? ซึ่งจริง ๆ ก็ไปกันหมด กปปส. ก็นั่งอยู่ ไม่ว่าเป็นฝั่งวุฒิสมาชิก ป.ป.ช. ประชาธิปัตย์ ก็ไปกันหมด แต่ว่าคนอื่นเท่าที่ทราบไม่ได้ถูกล็อกแบบแกนนำนปช.


กลับมาถึงเรื่องงานนี้ ก็เป็นการเตรียมความคิดและข้อเสนอของแกนนำนปช.ทั่วประเทศต่อรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่ก็บอกว่าให้ใช้ตำรวจจัดการหยุดความรุนแรงจากกปปส. แล้วก็มีข้อเสนอสำหรับนปช. ซึ่งมันก็มีบางคนอาจจะพูดแรงไปนิดก็ได้ เช่น เขาชัตดาวน์ได้ เราก็ชัดดาวน์ได้ แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าจะมีการไปทำอะไร ก็มีข้อเสนอลักษณะนั้นบนเวที แล้วมันมีการถ่ายทอดหมด


แล้วอาจารย์ก็จำได้ว่ามีแกนนำชลบุรี คือเราเข้าใจว่าพวกเราถูกกดดัน เขาก็ออกมาพูดดีใจที่มีความสูญเสียที่ตราด อาจารย์ก็เดินออกมาเลย ซึ่งความจริงก็ดูเหมือนเสี่ยงนะ เพราะว่าดูเหมือนว่าคนกำลังโกรธกปปส.เยอะ แต่อาจารย์ถือว่าเราเป็นประชาชนด้วยกัน เราจะไม่ดีใจที่ประชาชนมีการถูกทำร้ายหรือเสียชีวิต คือจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ มันไม่เหมือนม็อบของกปปส. พอมีทางนี้ตาย ดาราบางคนก็กรี๊ดดีอกดีใจ แต่ของเรามันไม่ใช่


แน่นอน! เราเหมือนเสียเปรียบทุกอย่าง แต่ในความคิดของอาจารย์นั้น นอกจากเป้าหมายเราถูก วิธีการเราก็ต้องถูก เราพลาดไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราพลาด จุดอ่อนจะถูกขยาย เพราะเราต้องการชนะด้วยการจูงใจประชาชน จูงใจให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องระยะยาวและมันเป็นยุทธศาสตร์นาน มันจึงเป็นเรื่องยาก คือพูดตรง ๆ ว่าเราต้องพยายามทำให้ถูกทุกอย่าง วิธีการก็ต้องถูก เป้าหมายถูก เส้นทางก็ต้องถูก มันอาจจะไม่ทันใจ แต่มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเราต้องการชัยชนะที่แท้จริงของประเทศ ของประชาชนไทยทั้งหมด ไม่ใช่ของคณะหนึ่งคนสองคน แล้วก็กลับมากดขี่ประชาชนเหมือนเดิม


วันนี้ก็มาเล่าให้ฟังว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 เรามีแกนนำอยู่มากมายทั่วประเทศ แต่หลังจากนั้นก็ถูกล็อกตัวหมด และเราก็มีการพูดคุยคดีความก็ยังมีมาจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็เมื่อกี้ “กำนันอนุวัฒน์” ก็เจอ ม.112 เพราะฉะนั้นอย่าพูดว่าแกนนำนปช.ไม่เคยเจอ ม.112 เจอ ม.112 หลายคนค่ะ ตัวอย่างเช่นกำนันอนุวัฒน์ เป็นต้น


ดังนั้น วันนี้ก็มาเล่าให้ฟัง ก็เหมือนคนแก่เล่าเรื่องเก่าก็ได้ แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงก็เลยต้องมาเป็นพยาน แล้วจริง ๆ แกนนำนปช.ยังมีคดีความอีกนะ ก็คือไปหน้าบ้านพล.อ.เปรม เจอเข้าไปแล้ว ตอนตัดสินครั้งแรก 6 ปีนะคะ ไปยืนอยู่เฉย ๆ หน้าบ้านพล.อ.เปรม สี่เสาฯ ซึ่งตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว 6 ปี แต่ว่าพออุทธรณ์ก็ลดลงไป อะไรอย่างนี้เป็นต้น ฎีกาก็ลดลงไปอีกนิดหนึ่ง ยังมีปี 2552 อีก 2 คดี ยังมีปี 2553 คดีก่อการร้ายอีก


ดังนั้น กลุ่มแกนนำนปช.และแกนนำเยาวชนปัจจุบัน มันก็วนเวียนไม่เรือนจำ สถานีตำรวจ เรือนจำ คุก แล้วก็ศาล ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้นับเป็นเวลากี่ปีมาแล้วตั้งแต่ปี 2550 ลองคิดดูซิคะ นี่ 15 ปีมาแล้ว คดีความยังเหลืออีกมากมาย อ.ธิดา กล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์