นักกฎหมายสิทธิฯ
- นักศึกษา ฟ้อง 'ประยุทธ์-ผบ.ทสส.' ขอให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนดนายกฯ
เหตุลักไก่เอาโทษ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาผสมความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุม
วันที่
22 ส.ค. 2565 ทีมทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ร่วมกับคณะผู้นำองค์การนักศึกษา เดินทางมายังศาลแพ่ง รัชดาภิเษก เพื่อเป็นโจทก์ร่วมกันฟ้อง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ขอให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนดนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 47
และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงฉบับที่
15 และเพิกถอนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 47) ลงวันที่ 27 ก.ค. 2565
ข้อ 3
นรเศรษฐ์
นาหนองตูม ตัวแทนทีมทนายกล่าวว่า คำสั่งทั้งสองฉบับระบุว่า ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ให้นำพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ มาบังคับใช้โดยอนุโลม
แต่ก็เหมือนเป็นการลักไก่เพราะข้อกำหนดที่ออกโดย ผบ.ทสส.
เพิ่มโทษให้การชุมนุมมีโทษหนักขึ้น โดยให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
ปรับไม่เกิน 40,000 บาท นอกจากนั้นยังให้อำนาจกับ ผบ.ทสส.
ออกแบบแผนงานต่างๆ เพื่อให้เลิกการชุมนุม ซึ่งโดยแนวทางปฏิบัติของ พ.ร.บ. ชุมนุม
การสั่งให้เลิกชุมนุมจะต้องร้องขอผ่านศาลแพ่งหรือศาลจังหวัด
นรเศรษฐ์สรุปด้วยว่า
คำสั่งข้างต้น
ซึ่งเป็นกฎหมายระดับรองกลับไปเพิ่มโทษให้กับกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ ในวันนี้
จึงขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้บังคับใช้คำสั่งข้างต้น
เพราะในวันที่ 23-24
ส.ค.
ก็อาจมีการชุมนุมสาธารณะอีกเนื่องจากเป็นช่วงที่อาจจะมีการพิจารณาเรื่องการดำรงตำแหน่งครบ
8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์
ซึ่งหากมีการใช้ข้อกำหนดข้างต้นก็อาจเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพอย่างร้ายแรง
โดยวันนี้ตนมีข้อมูลมายื่นต่อศาลด้วยว่าทางตำรวจได้เตรียมกำลังไว้สำหรับการชุมนุมแล้ว
เจนิสษา
แสงอรุณ นายกองค์การบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หนึ่งในตัวแทนคณะนักศึกษาที่เป็นโจทก์ร่วมฟ้อง กล่าวว่า
ประกาศสองฉบับนั้นไม่เป็นธรรมต่อประชาชน
เพราะมีการลักไก่เพิ่มโทษให้กับการกระทำผิด และเดิมที
พรก.ฉุกเฉินนั้นประกาศมาเพื่อใช้ควบคุมโรค
แต่ก็มีคำถามว่าถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมการใช้สิทธิ เสรีภาพของประชาชนหรือไม่
คดีนี้มีเหตุสืบเนื่องจากสืบเนื่องจากการประกาศเมื่อวันที่
27 ก.ค. 2565 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 กำหนดให้การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ย่อมกระทำได้
โดยให้นําหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม
รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม
โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.)
กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะ “เพื่อคุ้มครองประชาชน
รวมทั้งอำนวยความสะดวกและดูแลการชุมนุม...”
ต่อมาวันที่
1 ส.ค. 2565 พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงออกประกาศฉบับที่
15 ในข้อ 5 ระบุให้นำหลักเกณฑ์การแจ้งการจัดและการแจ้ง
รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะหรือพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ
2558 (พ.ร.บ.ชุมนุมฯ)มาใช้ หากฝ่าฝืนให้รับโทษตามมาตรา 18
ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คือ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน 40,000
บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งที่โทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม
พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มีอัตราโทษที่ต่ำกว่าอยู่หลายมาตรา
ทางภาคีนักกฎหมายสิทธิมองว่าการออกประกาศข้างต้นเป็นการเพิ่มข้อห้ามและหน้าที่โดยที่ผู้ออกคำสั่งไม่มีอำนาจกระทำการเช่นนั้น
ที่มา
: ประชาไท
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชาไท