แลไปข้างหน้ากับ
ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.95
ประเด็น
: รัฐสภาอัปยศ! แก้ไขรัฐธรรมนูญตามใจชอบ
สวัสดีค่ะ
วันนี้ที่ดิฉันอยากจะคุยก็คือเรื่อง รัฐสภาอัปยศ! แก้ไขรัฐธรรมนูญตามใจชอบ
คือตัวรัฐธรรมนูญมันก็น่าอัปยศ
ที่มันออกมา พูดตรง ๆ ว่าเป็นพี่น้องกันกับรัฐธรรมนูญของพม่า
ไม่รู้ใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง
แต่ก็คือความพยายามจะสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารผู้ที่มายืดอำนาจ
รัฐธรรมนูญของพม่าที่เขาเขียนมันแน่กว่าตรงที่ว่าเขาไม่ต้องฉีก
เขาทำรัฐประหารแล้วเขาไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วก็เอาคนเข้ามาอยู่ในรัฐสภาของทหารเอง
25%
แต่ของเราก็แน่ไปอีกแบบหนึ่งก็คือ
เขียนที่ให้มีวุฒิสมาชิกมาจากการแต่งตั้งเกือบทั้งหมด ก็ 250 ที่นั่ง แต่งตั้งจริง
ๆ 200 ที่นั่ง อีก 50 ก็จิ้มเอา
ตัวรัฐธรรมนูญก็เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ปล้นอำนาจประชาชน
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่น่าอัปยศที่สุด ตัวดิฉันว่ามันอาจจะอัปยศกว่า
“รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม” สมัยก่อนด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่าอัปยศที่สุด!
แล้วตอนนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น
ฝ่ายประชาชนต้องการแก้ไขทั้งฉบับ ให้ประชาชนร่าง แต่รัฐสภาอัปยศอันนี้
ซึ่งมีที่มาแสนอัปยศก็ยังเรียกว่า “หน้าทน” ที่จะแก้รัฐธรรมนูญตามใจชอบของตัวเองเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป
ดังนั้นเราก็จะเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีการ ตอนแรกก็บอกว่าแก้ไขเฉพาะระบบเลือกตั้ง
ถามว่าทำไมต้องแก้ไข? เพราะสถานการณ์ตอนนั้น พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของกองทัพ
ดูประหนึ่งว่าจะเป็นพรรคใหญ่ พอเป็นพรรคใหญ่ ถ้าใช้บัตรใบเดียวแบบเดิมก็อาจจะเป็นไปได้ว่าไม่มีบัญชีรายชื่อ
ดังนั้นความคิดที่จะแก้ก็กลายเป็นว่าเป็นบัตรสองใบ แข่งทั้งบัญชีรายชื่อ
แข่งทั้งในระบบส.ส.เขต แล้วมีการเปลี่ยนแปลงหมด ก็คือเอาส.ส.เขต 400
ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100
คือใคร
ๆ ก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นคู่ขนาน
เพราะระบบส.ส.เขตเป็นระบบที่ว่าเป็นการชนะในท้องถิ่น นั่นก็คือแพ้คือแพ้
ผู้ชนะก็ชนะไป
ส่วนบัญชีรายชื่อเป็นระบบเลือกตั้งทั่วประเทศว่าด้วยความนิยมของพรรคการเมือง
ดังนั้นก็คิดคะแนนรวมทั่วประเทศเพราะบัตรสองใบแล้ว มันจะได้ไม่ต้องมีปัญหาแบบครั้งที่แล้ว
ที่มีความน่าอัปยศมากยิ่งกว่าก็คือตอนคำนวณ
อย่างไรก็ตามคนก็ไม่อยากจะไปเอาเรื่องกกต.
เพราะว่าถ้าเป็นเยอรมนีนี่เขาฟ้องศาลรัฐธรรมนูญวุ่นวายกันไปหมด เพราะว่าในการยำรวม
500 หมายความว่ารวมทั้งสภา ส.ส.เขตมันใช้ระบบผู้ชนะเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าสภา
ถ้าของเยอรมันก็ Bundestag
ของไทยก็เหมือนกัน
คือผู้ชนะในเขตก็คือเข้ามาเลย ชนะเท่าไร คะแนนเท่าไร ไม่ต้องเอามาอ้าง ชนะ 100
เสียงก็ชนะ แต่มันจะไม่เหมือนกับบัญชีรายชื่อซึ่งคิดคะแนนรวมทั้งประเทศ
รอบที่แล้วเราก็เป็นระบบเลือกตั้งที่ไม่เคยมีในโลกนี้ มีประเทศเดียวที่เอาไปยำกับส.ส.เขตเป็นบัตรใบเดียว
ซึ่งความจริงการแก้ไขมันน่าอัปยศอยู่แล้วคือแก้เฉพาะระบบเลือกตั้งเพื่อเอาประโยชน์เฉพาะพรรคการเมือง
ไม่ได้คำนึงถึงประชาชนทั้งประเทศ
ไม่ได้คำนึงเลยว่ารัฐธรรมนูญทั้งฉบับมีปัญหาที่ไหน มันก็น่าอัปยศแล้ว น่าอัปยศอดสูด้วย
พอแก้ไปแล้วเป็นบัตรสองใบ
ก็กลายเป็นปาหี่เกิดขึ้นแบบที่เราทราบกัน ก็คือแทนที่ว่าบัญชีรายชื่อจะเป็น 100
ตีกลับเป็น 500 ก็แปลว่าจะเอาคะแนนที่ได้จากบัญชีรายชื่อมาคิดส.ส.พึงมี
โดยยำร่วมกับคะแนนของส.ส.เขต ดิฉันคิดว่าไม่รู้ว่ากกต.จะมีปัญหาและคิดคะแนนอย่างไร
อันนี้ว่าด้วยปัญหาของความน่าอัปยศคือ มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
จากใบเดียวเป็นสองใบ เป็นสองใบตามความเข้าใจก็ต้องคู่ขนาน
แต่ว่าไม่รู้ว่าวางแผนไว้ก่อนว่าจะเบี้ยวหรืออย่างไร
เพราะว่าฉบับของประชาธิปัตย์นั้นมันเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ไม่สมบูรณ์เลย พอไม่สมบูรณ์เลยแล้วไปเลือกฉบับประชาธิปัตย์ก็สามารถเบี้ยวได้
ตอนนี้ก็ขอเปลี่ยนกลับเป็น 500 ตามกรรมาธิการเสียงข้างน้อย
อันนี้เขาเรียกว่าน่าอดสูครั้งแล้วครั้งเล่า
มันชี้ให้เห็นว่าเปลี่ยนได้ตามใจชอบ
ขณะนี้ก็มีการแว่วมาว่า ถ้างั้นอาจจะเป็นใบเดียวอีกก็ได้ เพราะว่าถ้าเป็น 500
บัตรสองใบ เอาคะแนนส.ส.พึงมีมาคิด ไม่ได้คิดแบบคู่ขนาน
ก็เป็นไปได้ว่าตัวเองจะเสียเปรียบ ก็มีคนคิดเอาอีกว่า
ถ้างั้นก็บัตรใบเดียวแบบเมื่อก่อน
เผื่อจะได้แบบที่ตัวเองต้องการตามใจชอบที่ตัวเองจะได้ เพราะว่าเวลาเอาไปคำนวณแล้ว
ต่อให้หาร 500 ถ้าเอาระบบส.ส.พึงมีมาคิด อาจจะมองว่าหยุดแลนด์สไลด์ของเพื่อไทย แต่ในขณะเดียวกัน
พรรคใหญ่แบบพปชร. แบบภูมิใจไทย ที่มีส.ส.เขตมากก็เป็นไปได้ว่าจะไม่มีบัญชีรายชื่อเลยเหมือนกันถ้ามาคิดเอาจริง
ๆ
เพราะฉะนั้น
ตอนนี้ก็แปลว่าอยากจะทำยังไงก็ได้ จากบัญชีรายชื่อหาร 100 ก็มาเป็นหาร 500
แล้วก็อาจจะเป็นบัตรใบเดียวก็ได้ ดิฉันก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอัปยศที่สุด
กล้าเขียนรัฐธรรมนูญที่น่าอาย กล้าแก้ แล้วก็กล้า ๆ กลัว ๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
นี่ถ้าเป็นผู้หญิงคบแฟน ก็แปลว่าเปลี่ยนจากคนหนึ่งมาหาคนหนึ่ง มาอีกคนหนึ่ง
แล้วก็กลับไปหาอีกคนหนึ่ง ไม่รู้จะเรียกว่ายังไง? แต่นี่เป็นส.ส.
นี่เป็นพรรคการเมือง
ดิฉันอยากจะบอกว่า
ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนเป็นระบบไหนก็ตาม หารด้วย 100 หรือว่าหารด้วย 500
ดิฉันอยากจะบอกว่าพรรคที่พยายามอยากจะได้ส.ส.เขตมาก จะแจกกล้วย แจกกล้วยประจำเดือน
ประจำงวดในการอภิปราย แล้วก็แจกเพื่ออนาคตก็ตาม พยายามจะเน้นส.ส.เขต
ครั้งที่แล้วดิฉันยอมรับว่าดิฉันทำนายผิดไปอย่างหนึ่ง
ไม่นึกว่าประชาธิปัตย์จะเรียกว่ารูดขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นเสียงที่หายจากประชาธิปัตย์ และเสียงที่หายไปจากเพื่อไทย พปชร.ก็เอาไปได้
แต่ในขณะนี้ที่ดาวรุ่งพุ่งแรงก็คือภูมิใจไทย
ดิฉันอยากจะให้พวกเราดูผลการเลือกตั้งส.ส.เมื่อ
2562 คือมีคำถามจากนักข่าวต่างประเทศถามดิฉันเมื่อวานนี้ (1 ส.ค. 65) ว่า
เพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ได้มั้ย?
ถ้าคิดว่าแลนด์ไลด์ทั้งส.ส.เขตและแลนด์สไลด์ทั้งบัญชีรายชื่อ ก็อาจจะไม่ใช่! แต่ว่าถ้ามันเป็นบัตรสองใบ
หารด้วย 100 โอกาสของเพื่อไทยจากเดิมที่ส.ส.เขตได้ 136 ที่นั่ง มาสู่ 150 ที่นั่ง
ไม่น่าจะยาก กระทั่ง 160-180 ที่นั่ง
แน่นอน
ถ้าหารด้วย 100 โอกาสคิดเป็นส.ส.พึงมี ดิฉันสมมุติเอาว่าเพื่อไทยได้ 12 ล้านเสียง
ซึ่งเป็นไปได้แน่นอนในการสนับสนุน ถ้าเราคิดว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 40 ล้าน
ก็ได้ส.ส.พึงมี 150 คน ถ้าคิดว่าก้าวไกลมีคนสนับสนุน 8 ล้านเสียง ซึ่งเป็นไปได้ 8
ล้านเสียงถ้าแปรเป็นคะแนนเลือกตั้ง มีส.ส.พึงมี 100 คน แล้ว 8
ล้านเสียงนี่ก็ประมาณเดียวกันกับภูมิใจไทยหรืออย่างอื่น
ถ้าเราคิดคน
เอาเฉพาะผู้ที่มาเลือกตั้งคิด 40 ล้าน ครึ่งหนึ่งก็ 20 ล้าน
ดิฉันบอกได้เลยว่าไม่ว่าคุณจะใช้ระบบไหนก็ตาม อย่างน้อยที่สุด 2 พรรค
คือพรรคเพื่อไทย บวกกับพรรคก้าวไกล จะได้คะแนนเสียง 50%
ขึ้นแน่นอน แล้วถ้าเสรีรวมไทย รวมกับพรรคอื่น ๆ ได้อีกสักประมาณ 2 ล้านเสียง
คือถ้าคุณได้สนับสนุน 4 ล้านเสียงแบบภูมิใจไทย ก็จะได้ส.ส.พึงมี 50 คน ถามว่าส.ส.เขตเขาก็อาจจะเกินแล้ว
เพราะฉะนั้นเขาก็อาจจะไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย
แต่ถ้าสมมุติให้สนุกสักหน่อยก็คือ
8 ล้านเสียงซึ่งก้าวไกลมีสิทธิ์ได้ ต่อให้ก้าวไกลสอบตกส.ส.เขตทั้งหมด
ก็แปลว่าส.ส.พึงมีได้ 100 คน ก็ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อหมดเลย ทีนี้จะว่ายังไง?
ก็เป็นไปได้ หรือว่าถ้าก้าวไกลได้ส.ส.เขตสัก 10-20 คน
ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็ยังเหลือบัญชีรายชื่อตั้ง 70-80 คน
หันไปทางไหนก็น่ากลัวทั้งนั้น คือถ้าหารด้วย 100 ก้าวไกลเขาจะได้น้อย ถ้าหารด้วย
100 ส.ส.บัญชีรายชื่อของก้าวไกลก็อาจจะได้ประมาณ 20 คน (ถ้าเราคิด 8 ล้านเสียงนะ)
คือเป็นสัดส่วนตรง ๆ เพื่อไทยก็อาจจะได้ 30 รวมกับส.ส.เขต ถ้าส.ส.เขตได้ 150-160 คน
ก็บวกส.ส.บัญชีรายชื่อไปอีก
ยังไงก็ตามส.ส.บัญชีรายชื่อสมมุติว่าเอาเป็นหารด้วย
100 (ส.ส. 1 คนจาก 4 แสนเสียง) เพื่อไทย กับ ก้าวไกล รวมกันก็ (อย่างน้อย) ครึ่งหนึ่ง
ก็ 50 ถ้าหากว่าหารด้วย 500 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง
คะแนนก้าวไกลอย่างที่ดิฉันบอกก็คือ มีคนสนับสนุนประมาณ 8 ล้านเสียง มันเป็นไปได้
อาจจะถึง 10 ล้านเสียง 8 ล้านเสียงเขาก็เรียกว่าตัวเลขก็ถึง 100 อันนี้หารด้วย 500
นะ (ส.ส. 1 คนจาก 8 หมื่นเสียง) เพราะฉะนั้น ก้าวไกล ก็จะได้เปรียบที่สุด
แต่นั่นก็แปลว่าเพื่อไทยก็ขึ้นอยู่กับว่า ถ้าได้ส.ส.เขตน้อยสักหน่อย
ก็อาจจะได้บัญชีรายชื่ออีกสัก 10 คน 20 คน
แต่ว่าก้าวไกลนั้นโอกาสได้บัญชีรายชื่อสูงมาก
นี่ถ้าเราคิดว่ากลับไปกลับมาแล้วยังอยู่ที่ 500 ก็คือหาร 500 ก็คือ 8 หมื่นเสียงได้ส.ส.พึงมี
1 คน เพราะฉะนั้น 8 ล้านเสียงของก้าวไกลก็จะได้ส.ส.พึงมี 100 คน
แล้วพปชร.ก็สมมุติว่าประมาณนั้น เพราะว่าครั้งที่แล้วเขาก็ได้แค่ 8 ล้านเสียงนะ
ในความเป็นจริงอาจจะน้อยลงไปกว่านี้อีก ก็อาจจะได้ 100 แต่ภูมิใจไทยนั้น
ครั้งที่แล้วเสียงส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยมาก ก็อาจจะได้ประมาณ 50-60
ดังนั้นภูมิใจไทยก็อาจจะได้ส.ส.เขตเกิน (อาจไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ)
ประชาธิปัตย์
ครั้งที่แล้วก็ได้ประมาณ 11% ภูมิใจไทย 10% หมายความว่า
2 พรรคนี้ พรรคละประมาณ 10% เพราะฉะนั้นใน 500 ถ้าได้ 10% ก็ได้ 50 แล้วภูมิใจไทยอยากได้ส.ส. 50 คน? อยากได้มากกว่านี้
ครั้งที่แล้วภูมิใจไทยได้ส.ส.เขต 39 ที่นั่ง นั่นก็คือเขต 350 แต่คราวนี้เขต 400
แล้วก็แจกกล้วยได้เยอะ เพราะฉะนั้น 50 นี่ สมมุติคะแนนที่นิยมบัญชีรายชื่อได้ 4
ล้าน มากกว่าเดิมหน่อยหนึ่ง 50 เขาอาจจะไม่ได้บัญชีรายชื่อเลย 50 ส.ส. อาจจะเป็นส.ส.เขตหมด
ส.ส.เขตอาจจะมากกว่า 50 ด้วยก็ได้
ดังนั้น
ภูมิใจไทย, พปชร., เพื่อไทย และแม้กระทั่งประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ถ้าได้ 4 ล้าน
รวมกันก็ 50 มันก็ขึ้นอยู่กับว่าได้ส.ส.เขตเท่าไร รอบที่แล้วเขาได้ 11%
ของเสียงโหวต ก็ประมาณ 3.7 ล้าน เพราะว่าคนมาโหวตจริง ๆ ก็ 38 ล้าน
เพราะฉะนั้นประมาณ 10% ของ 50 ก็ลบเอาก็ได้แค่นี้ ดังนั้นถ้าเราดู
หาร 500 อย่างต่ำ ถ้าเพื่อไทยได้ส.ส.เขตเกิน 150 ก็เรียกว่าเอาส.ส.เขตเป็นหลัก
ไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก้าวไกล ได้ส.ส.พึงมี 100 ส.ส.เขตได้เท่าไรก็ไม่รู้
แต่รวมแล้วต้องได้ส.ส.พึงมี 100 พปชร. รวมกันส.ส.พึงมีก็ประมาณ 100 ถ้าได้ส.ส.เขตเยอะก็ถือว่าน้อยมาก
เพราะเขาหวังจะได้ส.ส.เขตมากกว่านี้
ดังนั้น
ในการเลือกตั้งครั้งนี้มันจะมีปัญหาถ้าคุณเอาส.ส.เขตผสมกับส.ส.บัญชีรายชื่อ 500
อย่างที่ดิฉันบอกคือ ส.ส.เขตมันเป็นระบบว่าชนะแล้วชนะเลย ชนะ 5 เสียงก็ชนะ
ได้คะแนน 3 หมื่นก็ชนะ แต่ถ้าส.ส.พึงมี คุณต้องคะแนนอย่างต่ำ 8 หมื่นในระบบหาร 500
แต่ถ้าระบบหาร 100 คุณต้องได้คะแนน 4 แสน พอมันเป็นเช่นนี้ก็คือ
คุณเอาสิ่งที่ไม่แน่นอนคือระบบเขต
มาฟิกซ์รวมกับสิ่งที่ควรจะต้องแน่นอนคือส.ส.บัญชีรายชื่อมี 100 ดังนั้น
โดยหลักการมันยำกันอย่างนี้ไม่ได้ เพราะถ้าคุณไปเอาระบบเยอรมัน (ซึ่งเขามีข้อปฏิบัติคือ)
1)
พรรคที่จะเข้าแข่งเลือกตั้ง คุณจะต้องได้คะแนนนิยม 0.1% ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งก่อน
คุณถึงจะมาสมัครรับเลือกตั้งได้
2)
โหวตแล้ว ถ้าคะแนนไม่ถึง 5%
ของคะแนนโหวตรวมหมด คุณจะเอาคะแนนมาคิดส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้
3)
ของเยอรมันที่ทำรวมกันอย่างนี้ ของเขาก็คือ เขาไม่สามารถตัดส.ส.เขตได้ แต่เขาแก้ Overhang ได้ ก็คือเขาไม่จำกัดส.ส. 500 ก็เกินไป (ได้ตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น)
ทีนี้ดิฉันจะให้ดูว่า
สุดขั้วของเราก็เคยมี เมื่อเราไม่ตัดอะไรเลย อย่างพรรคพลังชล (รอบก่อนหน้า) ได้ส.ส.เขต
6 ที่นั่ง แต่ว่าเปอร์เซ็นมันน้อย 0.55% นี่เป็นตัวอย่างของสุดขั้วว่ามันจะ
Overhang ยังไง พรรคพลังชลเป็นพรรคเล็ก เขาได้ส.ส.เขต 6
ที่นั่ง แต่คะแนนที่เอาไปทำส.ส.พึงมี เขาได้ร้อยละ 0.55 เท่านั้น ทีนี้พอ 0.55% ได้ส.ส. 6 ที่นั่ง ถ้าในเยอรมันคนอื่นเขาก็ไม่ยอมเขาก็ไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญว่าเขาได้
1% เขาได้ 2% เขาได้มากกว่าพลังชล
แล้วทำไมเขาไม่ได้ส.ส.พึงมี ดังนั้น พอเอา 100% ไปคูณก็กลายเป็นว่าสภาต้องมีส.ส.
1,091 คน นี่คือตัวอย่างของการที่ว่าคุณไม่มีข้อจำกัดใด ๆ แล้วมันก็เกิด Overhang แบบล้นเลย (ยกตัวอย่างจากคะแนนเลือกตั้งเมื่อปี 2554)
นี่เป็นคำเตือนว่า
ในระบบของเยอรมัน เอาของเขาก็เอามาไม่หมด เงื่อนไขก็ใม่เหมือนกัน
ของเขาเป็นสหพันธรัฐ แล้วก็มีเอกลักษณ์ของรัฐด้วย แล้วก็มีภาพรวมของประเทศด้วย
แต่ว่าศาลรัฐธรรมนูญของเขาตัดสินแล้วว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะจำกัด (ฟิกซ์) จำนวน
ถ้าส.ส.เขตมันมากกว่าส.ส.พึงมี ที่นั่งก็ต้องเพิ่ม
แล้วก็ทำให้สัดส่วนในการคำนวณเปลี่ยน ซึ่งดิฉันก็อยากจะขอเตือนว่า
ดิฉันไม่อยากเห็นภาพการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อแบบคราวที่แล้ว
แม้ระบบมันจะเฮงซวยยังไงก็ตาม
แต่การคำนวณมันต้องมีหลักคณิตศาสตร์และมีหลักของกฎหมาย
ดังนั้น
เมื่อส.ส.พึงมีอย่างต่ำต้องมี 1 คนต่อ 8 หมื่นเสียง คุณจะเอาแบบครั้งที่แล้ว มีเศษ
อ้างว่าส.ส.ปัดเศษ ปัดยังไงมันก็ไม่ได้ เพราะตามกฎหมายมันต้องเอาส.ส.ตามกติกา ส.ส.พึงมี
ครั้งที่แล้วพรรคอนาคตใหม่เสียคะแนนไปเยอะแยะ เพราะวิธีคิดแบบของกกต.
เพราะฉะนั้นสำหรับดิฉันก็คือว่า
รัฐธรรมนูญก็อัปยศ รัฐสภาก็อัปยศ
แล้วแทนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างที่น่าอายลดลงหน่อย แล้วก็มีอำนาจมาช้านานมากแล้ว
แทนที่จะมีความสำนึกว่าประเทศชาติมันต้องเดินหน้า ไปปล้นอำนาจประชาชนมา
แล้วจะถือครอง ในช่วงการถือครองและการเปลี่ยนผ่านมันควรจะมีความเที่ยงธรรมเกิดขึ้นเป็นลำดับชั้นก็ยังดี
นี่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง กลับไปกลับมา
คือถ้าเป็นผู้หญิงก็ยิ่งกว่าหลายใจหรือว่าอะไร แต่ว่าเทียบไม่ได้หรอก
ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ หรือทุกเพศ
สมมุติว่าคบคนนี้แล้วก็เปลี่ยนไปแล้วก็เปลี่ยนมา แต่นั่นมันเรื่องส่วนตัว แต่นี่มันเรื่องของประเทศชาติและประชาชน
เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่า
เขาอาจจะแค่เปรียบเทียบกับพม่าหรือเปล่า? มองไม่เห็นประเทศชาติที่เป็นอารยะอื่น ๆ
และมองไม่เห็นหัวประชาชน คิดจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบที่คิดว่าตัวเองได้ประโยชน์
นี่เป็นเรื่องที่น่าอายที่สุด แล้วมันก็จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์
ครั้งที่แล้วเราพูดเรื่องภาพจำในประวัติศาสตร์
การทำรัฐประหารกลายเป็นสิ่งไม่น่าอาย ตอนนี้ก็เหมือนกัน
เขียนรัฐธรรมนูญก็เขียนแบบไม่อาย แก้รัฐธรรมนูญก็แก้แบบไม่อาย
แถมยังแก้กลับไปกลับมา
เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่า
เราไม่มีความหวัง ประชาชนไม่มีความหวังกับรัฐสภา กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบนี้
ในขณะนี้ดิฉันถือว่ามันเป็นวิกฤตของประเทศ คือเราสามารถที่จะมองไปข้างหน้า แล้วก็มองด้านบวกได้
แต่ตอนนี้ดิฉันมองด้านบวก มันดูไม่มีเลย มันไม่มีเส้นทางร่วม
ถ้าตราบใดเราเอาผลประโยชน์ประชาชนเอาไว้ข้างหน้า แล้วก็ค่อย ๆ แก้ปัญหาไป
อันนี้คิดแบบพวกปฏิรูปนะ พวกมองโลกสวยนะ อันนี้มองยังไงโลกก็ไม่สวยเลย
โดยเฉพาะโลกประเทศไทย ดิฉันคิดว่ามันน่าอัปยศแล้วก็ มันยับเยิน
#ธิดาถาวรเศรษฐ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์