"จาตุรนต์" ซัดระเบียบ "กกต." ทำให้การเลือก "
สว." แย่ยิ่งกว่าจับฉลาก !
วันที่
3 พฤษภาคม 2567 นายจาตุรนต์ ฉายแสง
ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang ระบุว่า
ระเบียบ
กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่ออกมาเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา
มีปัญหาอย่างมากทั้งไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของ
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
แต่ยิ่งไปกว่านั้นไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
เพราะจงใจปิดกั้นและจำกัดสิทธิเสรีภาพของทุกฝ่าย ทั้งผู้สมัคร
ผู้ที่จะช่วยเหลือผู้สมัคร ประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีส่วนร่วม รวมไปถึงสื่อมวลชน
ขัดต่อ
“พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา” ได้แก่
-
ในมาตรา 21 ระบุว่า
“ให้ผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับอำเภอต้องประกาศรายชื่อผู้สมัครที่อย่างน้อยต้องระบุอาชีพและอายุของผู้สมัครให้ประชาชนทราบโดยทั่วไป…”
จะเห็นเลยว่าเจตนาของกฎหมายต้องการให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร
แต่ระเบียบกลับห้ามเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ
-
ในมาตรา 37 และมาตรา 38 ที่กฎหมายจะระบุชัดเจนว่าห้ามไม่ให้ไปหาเสียงกันในวันเลือกตั้ง
แต่ตอนที่จะแนะนำตัวก่อนถึงช่วงเลือกนั้นได้ระบุไว้ในมาตรา 36 ว่า “ผู้สมัครอาจแนะนำตัวได้ตามวิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด…”
จะเห็นว่าในมาตรานี้ไม่ได้ระบุว่าห้ามทำสิ่งใดเหมือนในมาตรา37และ38 แต่
กกต.กลับออกระเบียบห้ามสารพัดจึงถือว่าการออกระเบียบนี้เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้
ขัด
“รัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย” ได้แก่
-
มาตรา 114 “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย…”
: ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหลักประชาธิปไตยถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจะต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย
แต่ระเบียบกลับออกมาไม่ให้ประชาชนรับรู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
-
สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน โดยดูจากระเบียบ ข้อ 11 ที่จงใจไม่ให้สื่อมวลชนมาทำหน้าที่
แม้ไม่ได้ห้ามสื่อมวลชนโดยตรงเพราะในรัฐธรรมนูญจะถือว่าไปจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อ
แต่กกต.ไปพลิกแพลงห้ามผู้สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครไม่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแทน
รวมถึงห้ามแจกใบปลิว ห้ามติดป้ายประกาศ ห้ามลงสื่อออนไลน์ จึงเป็นการเลือกตั้งที่แปลกประหลาดมากที่ไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารใดๆทั้งสิ้น
แต่จำกัดข้อมูลอยู่แต่ผู้สมัครด้วยกัน
ก็หมายความว่าผู้สมัครจะต้องส่งไลน์หรือสร้างไลน์กลุ่มขึ้นมาส่งประวัติเท่านั้น
ทั้งนี้ในระบบกติกาแบบนี้ต้องการให้สว.เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพต่าง
ๆ
แต่วิธีการเลือกแบบไขว้คือผู้ที่จะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพที่ได้รับเลือกในขั้นตอนสุดท้ายจะมาจากการเลือกของผู้ที่อยู่ในอาชีพอื่นเป็นหลัก
ดังนั้นการเลือกคนในกลุ่มอาชีพใดกลุ่มอาชีพหนึ่งนี้โดยไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย
แล้วประชาชนก็ไม่ได้มามีส่วนเกี่ยวข้องเลย
ก็หมายความว่าจะไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าผู้ที่ได้รับเลือกมีความเหมาะสมจะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพได้จริง
การทำแบบนี้จะทำให้การเลือกตั้งแย่กว่าการจับฉลาก
มันจะเลวร้ายกว่ามาก เพราะแทนที่ กกต.จะไปให้ความสำคัญ กับการป้องกันการทุจริต
เช่น คนมีอำนาจ คนมีเครือข่าย คนมีเงินมากๆจะได้เปรียบมาก
ที่สามารถจะจ้างคนจำนวนมากๆไปสมัคร แต่ กกต.กลับไม่เน้นเรื่องนี้
ที่แย่ไปกว่านั้น
กกต.ไม่เข้าใจเลยว่าว่าการป้องกันการทุจริตเหล่านี้ที่ดีที่สุด
คือการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้มากที่สุด ประชาชนถึงจะช่วยป้องกัน
ช่วยกันตรวจสอบ เพราะฉะนั้นการแนะนำการเชิญชวน ให้มีการมาสมัครกันมากๆก็ดี
การให้ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนให้มากๆก็ดี
หรือการให้ผู้ที่สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครสามารถสื่อสารกับประชาชนได้
จึงไม่ใช่เป็นเรื่องควรห้ามแต่เป็นเรื่องควรส่งเสริมอย่างจริงจัง
เปรียบเทียบได้จากเงื่อนไขการเลือกตั้งสส.
ที่ห้ามจูงใจด้วยการสัญญาว่าจะให้ ห้ามจัดมหรสพ หรือการข่มขู่
แต่สามารถจูงใจได้ถ้าทำโดยสุจริต
ทั้งจูงใจให้ไปเลือกตั้งหรือแม้กระทั่งจูงใจให้ไปเลือกผู้สมัครแต่ละคน
ซึ่งตรงข้ามกับกฎระเบียบการเลือก สว. ที่ห้ามไม่ให้จูงใจให้คนไปสมัคร
และห้ามไม่ให้ข้อมูลแก่ประชาชน
และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้สมัครเป็นที่ยอมรับของคนในอาชีพนั้นหรือไม่
ผู้สมัครมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับป้องกันการไปทุจริตคอรัปชั่น
มีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลให้ได้องค์กรอิสระ หรือเวลาจะรับรอง
ประธานตุลาการ ศาลปกครอง อัยการ
การไปทำหน้าที่สำคัญทั้งหลายเหล่านี้คนที่ไปสมัครมีความคิดอย่างไร
จึงจะไม่มีใครรู้
ดังนั้นระเบียบของ
กกต. นี้จึงขัดต่อหลักการสำคัญของประชาธิปไตยคือสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และหลักการที่สำคัญคือ “สมาชิกวุฒิสภาต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย”
แต่จะเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยได้อย่างไร
ในเมื่อประชาชนไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับพวกคุณเลย