“ชัยธวัช” ร่วมงาน Next Talk ยะลา
ชี้โจทย์ใหญ่สังคมไทยยังเป็นเรื่องการหาฉันทามติที่จะอยู่ร่วมกัน
ระหว่างการเมืองชนชั้นนำที่ไม่ไว้ใจการเลือกตั้ง
กับการเมืองภาคประชาชนที่เติบโตจนถอยกลับไม่ได้แล้ว
วันที่
26 พฤษภาคม 2567 ที่อุทยานการเรียนรู้ TK Park อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ร่วมกล่าวปาฐกถาในเวที “Next Talk: อนาคต ความหวัง ความฝัน”
ซึ่งเป็นเวทีที่รวมบุคคลในแวดวงต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนใต้
ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สังคม ธุรกิจ การพัฒนาเมือง และการเมือง
มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทย
ในตอนหนึ่ง
ชัยธวัชกล่าวถึงความเป็นมาของประวัติศาสตร์การเมืองไทยในแต่ละยุคสมัย
ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงอยู่ที่โจทย์ใหญ่ของสังคมไทย
คือเรายังไม่สามารถหาฉันทามติที่จะอยู่ร่วมกันได้
โดยมีโจทย์ที่ติดค้างมาตั้งแต่อดีตและโจทย์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
นับตั้งแต่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ มาจนถึงยุคพฤษภาคม 2535 และกระแสธงเขียวรัฐธรรมนูญ
2540 แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่ในบรรยากาศที่สังคมไทยไม่เคยไว้วางใจอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเต็มที่
และมาถึงจุดแตกหักเมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง
ตามมาด้วยการรัฐประหารในปี 2549 และในปี 2557 ในเวลาต่อมา
ชนชั้นนำนอกระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งพยายามออกแบบระบบการเมืองไทยใหม่
โดยเรียนรู้จากความผิดพลาดเมื่อปี 2540 ว่าจะออกแบบระบบประชาธิปไตยไทยอย่างไรที่ยังดูเป็นประชาธิปไตย
มีการเลือกตั้งอยู่
แต่ก็สามารถควบคุมกำกับอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งให้อยู่ในขอบเขตได้
ออกแบบระบบการเมืองซึ่งทำให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้เป็นอำนาจสูงสุดจริงๆ
แต่ให้อยู่ภายใต้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เช่น การพยายามนำ
สว.กลับไปเป็นระบบแต่งตั้ง การใช้องค์กรอิสระมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ใช้ตุลาการภิวัฒน์ควบคู่กับการรัฐประหารด้วยอาวุธ วางกลไกต่างๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550
และ 2560 ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าชนชั้นนำเดิมที่อยู่นอกการเลือกตั้งพยามออกแบบระบบการเมืองใหม่ที่ลงตัวกว่านี้
ชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า
ขณะเดียวกันการแบ่งขั้วเหลือง-แดงที่ทางหนึ่งเป็นความขัดแย้งฝังลึก
แต่อีกทางหนึ่งก็เป็นการเมืองของภาคประชาชนที่ขยายตัวอย่างกว้างขวางแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คนจำนวนมากมีความกระตือรือร้นทางการเมือง ผูกพันกับการเมือง และเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันกับการต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมือง
เพื่อที่จะให้แต่ละฝ่ายเข้าไปมีอำนาจรัฐ
เพียงแต่ว่าฝ่ายหนึ่งเรียกร้องการเลือกตั้ง
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
แต่ความพยายามของชนชั้นนำเดิมที่พยายามออกแบบระบบการเมืองใหม่มาแทนที่ฉันทามติปี 2540 ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ทุกวันนี้ไม่มีใครเชื่อว่ารัฐธรรมนูญ 2560 จะอยู่ไปตลอดกาล
ผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาเป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นชัด
ว่าชนชั้นนำทางการเมืองที่เคยขัดแย้งอยู่คนละฝั่งกันได้มองเห็นศัตรูตัวเดียวกัน
ก็คือการเมืองแบบอนาคตใหม่-ก้าวไกล ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมาเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ทำให้เกิดการสร้างพันธมิตรขึ้นมาชั่วคราว
โดยมีศัตรูร่วมกันและมีวาระทางการเมืองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
นำไปสู่สภาวะการเมืองสามเส้า โดยสองเส้าก็คือชนชั้นนำทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเคยเข้าสู่อำนาจโดยอาศัยความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง อีกฝ่ายหนึ่งเคยเข้าสู่อำนาจโดยอาศัยวิถีทางนอกประชาธิปไตย
และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพลังใหม่ที่ชนะการเลือกตั้งแต่ไม่ได้อำนาจ
ชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า
สุดท้ายแล้วโจทย์ใหญ่ก็คือเรายังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่
การเมืองข้างบนกำลังปะทะกับการเมืองข้างล่างของประชาชนที่กำลังสับสนอลหม่าน
ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่ยังไม่สามารถหาฉันทามติได้
ว่าระบบการเมืองและกติกาแบบใดที่พวกเราแม้จะเห็นไม่ตรงกัน มีความขัดแย้งกัน
แต่ก็ยอมรับที่จะอยู่ร่วมกันได้
สามารถหาข้อยุติด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ยอมรับร่วมกันได้
ผลัดกันแพ้ชนะและขัดแย้งได้
ข้อดีของสถานการณ์ช่วงนี้คือการเมืองมวลชนของประชาชนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาและไม่สามารถทำให้กลับไปหลับได้อีกแล้ว
ตั้งแต่สมัยการเมืองยุคเหลือง-แดงมาจนถึงปัจจุบัน และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้
ผู้ที่เชื่อมั่นศรัทธาว่าเรามีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศผ่านการเลือกตั้งได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว
“แม้จะยังไม่สำเร็จ
แต่ก็มีปัจจัยบวกที่จะทำให้การเมืองของประชาชนที่มีเป้าหมายและเจตจำนงไม่เหมือนกับการเมืองของคนข้างบน
สร้างพลังเข้าไปปะทะต่อรองในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ได้
เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญเพื่อกำหนดว่าหน้าตาของสังคมไทยในอนาคตอีกหลายทศวรรษจะเป็นอย่างไร
และถ้าใครอยากจะมีส่วนร่วม เอาความฝันความหวังของตัวเองเข้าไปผลักดัน
ก็ต้องเข้าไปทำตอนนี้เท่านั้น ไม่ใช่อีก 10 ปีข้างหน้า”
ชัยธวัชกล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล