พวงทอง
ภวัครพันธุ์ :
ทะลวงกรอบ ทลายกรง รัฐความมั่นคงของไทย
งานปิดนิทรรศการ
“วิสามัญ ยุติธรรม”
โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษย์ชน
#10ปีรัฐประหาร57
26 พฤษภาคม 2567
สวัสดีค่ะทุกท่าน
มันเป็นเรื่องยากมากนะคะที่มาพูดหลังจาก 5 ท่านก่อนหน้านี้
เพราะว่าฟังทั้ง 5 ท่านแล้วไม่ว่าจะเป็นพี่น้อย, หนูหริ่ง,
ไผ่, รุ้ง และทนายด่าง ก็รู้สึกว่ามันจุกอยู่ที่อก
หัวข้อวันนี้ที่ได้รับมอบหมายมาพูดในเวลา
30 นาที ก็เลือกที่จะพูดเรื่อง รัฐความมั่นคงของไทย คือจริง ๆ แล้วคำเต็ม ๆ
ของมันก็คือ National Security State รัฐความมั่นคงแห่งชาติ มันเป็นไปด้วยความมั่นคงของชาติ
วันนี้ท่านอาจจะได้ยินศัพท์วิชาการหลาย ๆ คำ ก่อนหน้านี้อาจารย์ธงชัยใช้คำว่า Prerogative
State หรือ รัฐอภิสิทธิ์ ซึ่งมันมีหลายอย่างที่คล้ายกัน
คาบเกี่ยวกัน แต่ว่าอาจารย์ธงชัยจะเน้นไปที่ระบบกฎหมาย ความยุติธรรม
ดิฉันในวันนี้จะพูดถึงกองทัพ
ทำไมถึงเลือกที่จะพูดหัวข้อนี้
“ทะลวงกรอบ ทลายกรง รัฐความมั่นคงของไทย” ขอเรียกสั้น ๆ ว่า รัฐความมั่นคงของไทย
ให้เข้าใจว่านี่คือความมั่นคงระดับชาติ
เพราะว่าดิฉันมองว่าคนไทยเราได้ยินคำว่าความมั่นคงของชาติบ่อยมาก
มันกรอกหูเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อะไร ๆ ก็เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ
เรื่องราวที่ท่านเห็นในนิทรรศการวิสามัญฆาตกรรมที่อยู่ข้างนอก
มันเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นในนามของความมั่นคงแห่งชาติทั้งนั้น
หรือแม้กระทั่งเราย้อนกลับไปในเหตุการณ์ 6ตุลา
การสังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยมทารุณในครั้งเมื่อวันที่ 6 ตุลา
2519 หรือแม้กระทั่งการสังหารคนเสื้อแดงเมื่อปี 53 ก็กระทำในนามความมั่นคงของชาติเช่นกัน การพยายามทำให้คนคิดแบบเดียวกัน
เชื่อแบบเดียวกัน อย่าตั้งคำถาม การพยายามที่จะโฆษณาชวนเชื่อของรัฐผ่านกลไกต่าง ๆ
ทั้งการศึกษา ทั้งเครือข่ายสื่อของรัฐ ก็กระทำในนามความมั่นคงของชาติ
แม้แต่คนที่ทำรัฐประหารก็ตั้งชื่อตัวเองว่าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ
นอกจากนี้
ถ้าเราไปเปิดดูเอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ เราจะพบว่าทุกวันนี้กองทัพรวมเอาสารพัดปัญหาเป็นภัยความมั่นคงของชาติไว้ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความยากจน ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ปัญหาภัยธรรมชาติ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการค้ามนุษย์ คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย
ปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาโลกาภิวัตน์ คือเรียกว่านับไม่ถ้วน แต่ดิฉันสงสัยว่าพวกเรา คนไทยส่วนใหญ่รู้หรือไม่ว่าเรื่องเหล่านี้มันถูกจัดให้เป็นภัยมั่นคงแห่งชาติไปแล้ว
หรือว่าเรารู้แต่เราไม่สนใจ
เพราะเราได้ยินเรื่องความมั่นคงแห่งชาติบ่อยเสียจนเรารู้สึกเคยชิน
ไม่มีปัญหากับมัน ซึ่งอันนี้เป็นอันตราย ความเคยชินคืออันตรายและมันเป็นปัญหามาก ๆ
สิ่งที่จะพูดในวันนี้จะเป็น
3 ประเด็นหลัก ก็คือ ทำไมเรื่องสารพัดชนิดที่ว่ามา เรื่องเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง จึงถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปัญหาความมั่นคงแห่งชาติไปได้ ประเด็นที่ 2 เวลาที่ประเด็นเหล่านี้ถูกทำให้เป็นปัญหาความมั่นคงแห่งชาติมันมีความหมายอย่างไร
มันมีสถานะอย่างไร มันมีความพิเศษอย่างไร ประเด็นที่ 3 อะไรเป็นผลกระทบของมัน
ประเด็นแรกเรื่องสารพัดชนิดที่ถูกทำให้เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติไปได้
คือภัยความมั่นคงบางเรื่องมันก็อยู่กับเรามานานเลย เพราะว่าตกทอดมาจากยุคสงครามเย็น
อย่างเช่นในยุคของที่รัฐไทยต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น
การดำรงอยู่ของคอมมิวนิสต์ก็ถูกอธิบายว่ามันเป็นภัยคุกคามที่จะทำให้ชาติไทยมันล่มสลายถึงขั้นสิ้นชาติ
เพราะว่าคอมมิวนิสต์ต้องการที่จะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เปลี่ยนแปลงการปกครองในระดับถึงรากถึงโคน
ฉะนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องมีความสามัคคีกัน มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ
ยิ่งจงรักภักดีมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่าชาตินั้นมั่นคงมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือการสร้างอุดมการณ์ราชาชาตินิยมผ่านกลไกสารพัดจนกลายมาเป็นลัทธิกษัตริย์นิยมล้นเกินในปัจจุบัน
แล้วทำให้สถานบันกษัตริย์กลายเป็นหัวใจของความมั่นคงของชาติในปัจจุบัน นี่ก็เป็นมรดกที่ตกทอดมาจากยุคสงครามเย็น
แต่ภัยคุกคามบางอย่างหลายเรื่องมันเกิดขึ้นหลังยุคสงครามเย็น
หลังยุคที่ภัยคอมมิวนิสต์หมดไปแล้ว แต่รัฐก็ต้องสร้างศัตรูตัวใหม่ขึ้นมา
สร้างภัยคุกคามตัวใหม่ขึ้นมา ในกรณีของไทย ด้านหนึ่งก็เพื่อทำให้กองทัพยังคงมีบทบาทและอำนาจในสังคม
ในพื้นที่ทางการเมืองต่อไปด้วย ฉะนั้น หลังจากที่คอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ไปไม่นาน
มันก็เกิดคำอธิบายใหม่โดยชนชั้นนำจารีตว่ามันมีภัยคุกคามอย่างอื่นนะ ที่มันน่ากลัวกว่าคอมมิวนิสต์
นั่นก็คือภัยคุกคามเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
เพราะว่ามันแทรกซึมไปทั่วทุกหัวระแหง พอไปเรียกความยากจน
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ
ทหารก็บอกว่าฉันจะต้องเข้ามามีบทบาทในการที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านี้
ดังนั้นเราก็จะพบโครงการเศรษฐกิจมากมายของทหาร
ซึ่งเดี๋ยวดิฉันจะอธิบายต่อไปว่าเช่นโครงการอะไรบ้างที่เป็นโครงการเศรษฐกิจ
ซึ่งมันอยู่ในมือของทหาร อยู่ในนามของความมั่นคงภายในของชาติ
ความมั่นคงภายในบางเรื่อง
มันก็เกิดจากการหยิบฉวยเอาคอนเซ็ปทางวิชาการของตะวันตกเข้ามา
แล้วก็มาปรับใช้ให้มันเป็นแบบไทย ๆ ให้มันเป็นแบบทหาร
ให้ทหารเข้ามามีบทบาทในการที่จะบริหารจัดการมากยิ่งขึ้น
หลายท่านน่าจะเคยได้ยินคำว่า Human security ความมั่นคงมนุษย์
และอีกคำคือความมั่นคงแบบใหม่ซึ่งมันจะซ้อนทับกัน 2 คำนี้ ความมั่นคงมนุษย์เป็นศัพท์ที่นักวิชาการตะวันตกคิดขึ้นมาในยุคหลังสงครามเย็น
เช่น ปัญหาเรื่องความขัดแย้งชาติพันธุ์ ศาสนา ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
ปัญหาค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ การย้ายถิ่นฐาน ผู้อพยพ โรคระบาด ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่าง
ๆ เหล่านี้
ที่จริงแนวคิดความมั่นคงมนุษย์มันมีเจตนาที่ดี
เจตนาที่จะทำให้รัฐโยกงบประมาณ โยกสรรพกำลัง ความรู้
ความสนใจของรัฐไปสู่เรื่องอื่น ๆ ที่มันกระทบต่อวิถีชีวิตมนุษย์ของคนปกติธรรมดามากยิ่งขึ้น
เพราะว่าในช่วงสงครามเย็น ปัญหาเรื่องการรุกราน ปัญหาการสะสมอาวุธ มันดึงเอางบประมาณของประเทศชาติเป็นจำนวนมาก
แล้วมันทำให้ทหารเข้ามามีบทบาทในพื้นที่การเมืองมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายแหล่
ฉะนั้น
ประเด็นของเรื่องความมั่นคงมนุษย์มันต้องการลดบทบาททหาร ลดงบประมาณทหาร
และเพิ่มบทบาทของพลเรือนให้จัดการปัญหามนุษย์ให้หน่วยงานพลเรือนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องต่าง
ๆ เข้ามาแก้ปัญหามากยิ่งขึ้น แต่กรณีสังคมไทยมันกลับตาลปัตร
กรณีสังคมไทยมันกลายว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ทหารสามารถเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ในมิติใหม่
ๆ มากยิ่งขึ้นด้วย จากจุดประสงค์เดิมที่ต้องการที่จะลดบทบาททหาร (demilitarized) แต่กรณีสังคมไทยเรากลับพบว่าพอไปใส่เรื่องพวกนี้ รับเอาคอนเซ็ป Human
security เข้ามาว่าเป็นเรื่องภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ
เรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง มันถูก militarized มากยิ่งขึ้น
ทหารเข้ามามีบทบาท วิธีคิดในการจัดการปัญหามันเป็นแบบทหารมากยิ่งขึ้น ทหารตั้งงบประมาณในการจัดการมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการ
militarized ประเด็นปัญหาเรื่องที่ดิน สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ
ก็คือนโยบายทวงคืนผืนป่าที่ถูกประกาศใช้ทันทีไม่ถึง 1
เดือนของการทำรัฐประหารคสช. ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร ปัญหาเรื่องที่ดินคือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ
มันมีการเจรจาต่อรองโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเป็นเวลานานแล้ว มันมีการอะลุ้มอล่วยกันเยอะ
มีความพยายามเข้าใจว่าพื้นที่หลายส่วนนั้นชาวบ้านเข้าไปใช้ก่อนที่จะมีการประกาศว่าพื้นที่นั้นเป็นป่าอนุรักษ์
แต่พอทหารเข้ามาไม่ถึงเดือน กวาดเขาออกจากที่ดินทันที ทำลายพืชผลที่เขาทำไว้
ไม่เปิดโอกาสให้เขาจะเก็บเกี่ยวพืชผลเลยด้วยซ้ำไป ทหารมองว่าคนเหล่านี้กำลังเป็นภัยคุกคามแห่งชาติ
ฉะนั้นจะอะลุ้มอล่วยกันไม่ได้ ประณีประนอมไม่ได้ ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด
มีตัวอย่างอีกเยอะแยะที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อทหารเข้ามาแล้วมันถูก militarized มันถูกทำให้เป็นวิธีการแบบทหารในการจัดการปัญหามากขึ้น
ในปัจจุบันนี้ถ้าเราไปดูโครงการต่าง
ๆ ในมือกองทัพ ทุกเหล่าทัพ บก เรือ กองบัญชาการกองทัพไทย
กองบัญชาการสูงสุดที่เราคุ้นเคยกันในอดีต และ กอ.รมน. มันจะมีโครงการที่เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจสังคมการเมืองเต็มไปหมดในนามของความมั่นคงของชาติ
โครงการเหล่านี้กลายเป็นงานส่วนใหญ่ของกองทัพ คือถ้าไปนับจำนวนโครงการ 10
โครงการ 7 ใน 10 นั้น
เป็นเรื่องความมั่นคงภายใน เป็นเรื่องยาเสพติด ความมั่นคงมนุษย์ สิ่งแวดล้อมอะไรทั้งหลายแหล่ทั้งสิ้น
ซึ่งอันนี้มันทำให้เรียกได้ว่าในปัจจุบันนั้นภารกิจหลักของกองทัพไม่ใช่เรื่องการปกป้องดินแดน
ไม่ใช่ปกป้องอธิปไตยเอกราชจากภัยคุกคามจากภายนอก ซึ่งจริง ๆ
แล้วมันเป็นมานานแล้วนะ อย่างน้อยที่สุดคิดว่าตลอดช่วงสงครามเย็นเอง ความมั่นคงภายในคือภารกิจของกองทัพ
ถ้าไม่มีเรื่องความมั่นคงภายในสารพัดชนิด
โดยเฉพาะในปัจจุบัน
กองทัพจะไม่มีงานทำ นายพลทั้งหลายแหล่ก็จะไม่มีงานทำ
มันเป็นสิ่งที่มารองรับการเติบโตของกองทัพไทยเลยก็ว่าได้
เวลาที่ปัญหาประเด็นเรื่องเศรษฐกิจสังคมการเมืองมันถูกทำให้เป็นปัญหาความมั่นคงของชาติ
มันมีนัยยะและผลกระทบอย่างไร ดิฉันจะพูดประเด็นที่ 2 ที่ 3 ควบคู่กันไป มันมีศัพท์ทางวิชาการคำหนึ่งคือคำว่า securitization มันหมายถึงการยกสถานะของปัญหาหนึ่ง ๆ ให้กลายมาเป็นปัญหาความมั่นคงของชาติ
ระดับชาติ ทำให้มันสำคัญมากยิ่งขึ้น
จากที่มันอาจจะเป็นปัญหาระดับท้องถิ่นหรือปัญหาที่เรารู้สึกว่าถ้าเป็นปัญหาเศรษฐกิจก็ผลักดันนโยบายเศรษฐกิจออกมา
อย่าไปมองว่าเป็นภัยคุกคามน่ากลัว แต่ว่าพอมันถูกยกระดับ
ถูกยกว่าเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ มันมีความพยายามที่จะสร้างคำอธิบายสร้างความชอบธรรมขึ้นมาว่าภัยคุกคามนั้นมันคุกคามต่อการดำรงอยู่ของรัฐและชาติและประชาชนในประเทศ
มันเป็นภัยคุกคามระดับ existential threats คำว่า existence
มันหมายถึงการดำรงอยู่
ภัยคุกคามในระดับที่มันจะทำให้ชาตินั้นอยู่ไม่ได้
เช่นกรณีวาทกรรมเกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามคอมมิวนิสต์เป็นต้น
ฉะนั้นต้องจัดการอย่างเด็ดขาดรวดเร็วฉับพลัน ไม่งั้นชาติจะอยู่ไม่ได้จะพินาศย่อยยับ
เมื่อเราอธิบายว่าปัญหาเรื่องนั้น
ๆ มันสำคัญต่อชีวิตของชาติ รัฐจำเป็น
รัฐจึงต้องทุ่มเทงบประมาณและสรรพกำลังเข้าไปแก้ไขมัน บางครั้งก็ต้องอาศัยวิธีการพิเศษ
วิธีการพิเศษนั้นอาจจะหมายถึงการละเมิด rule of law ละเมิดนิติรัฐ
ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ก็จำเป็นต้องทำ และมักอนุญาตให้รัฐทำโดยไม่ต้องรับผิด
แม้ว่าการกระทำนั้นจะผิดกฎหมาย อนุญาตให้มีการลอยนวลพ้นผิด
หรืออภิสิทธิ์ต่อความผิด Impunity ซึ่งลักษณะแบบนี้
การลอยนวลพ้นผิด มันเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติของรัฐความมั่นคงแบบไทย
เงื่อนไขเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการจัดการกับภัยความมั่นคงของชาติ
วาทกรรมเรื่องภัยความมั่นคงของชาติจะเสมอ ถ้าไม่ใช้แนวทางที่รวดเร็วฉับพลันเด็ดขาด
ภัยคุกคามนั้นจะลุกลามบานปลายจนควบคุมไม่ได้ พูดง่าย ๆ
ก็คือการทำปัญหาหนึ่งให้เป็นปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงของชาติก็คือการอนุญาตให้การจัดการปัญหานั้นอยู่ในสภาวะยกเว้น
และบ่อยครั้งในกรณีสังคมไทยสภาวะยกเว้นนั้นดำเนินต่อเนื่องจนกลายเป็นสภาวะถาวร
เช่นกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือบางทีก็ใช้มันนานเกินเหตุเช่นกรณีโควิดที่ใช้กันถึง
2 ปี กรณีการปราบเสื้อแดงปี 53 ใช้กันถึง 7 เดือน เป็นต้น
รัฐไทยเองก็จัดอยู่ในรัฐความมั่นคงแห่งชาติ
มีคุณสมบัติที่ว่านี้ทั้งหมด
รูปธรรมก็คือการดำรงอยู่ของกฎหมายสารพัดชนิดทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน
พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน กฎหมายเหล่านี้เป็นกฎหมายที่รัฐส่วนใหญ่มี
แต่ในสังคมประชาธิปไตยมันจะถูกจำกัดให้ใช้ในเฉพาะสภาวะที่จำเป็นจริง ๆ
และในระยะสั้น ในบางประเทศประกาศให้ใช้แค่ 3 วัน
ถ้าคุณจะต่อคุณต้องไปขอรัฐสภา แต่ในสังคมไทยประกาศกันต่อเนื่องยาวนาน
หรือแม้กระทั่งการดำรงอยู่กฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดความมั่นคงของรัฐ
สิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมไทยที่ผ่านมาก็ฟ้องตัวมันเองชัดเจนว่ามันอยู่ในสภาวะยกเว้น
ทั้งเรื่องการไม่ให้ประกัน การลงโทษหนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีความกฎหมายที่ว่าต่อให้สิ่งที่พูดเป็นความจริงก็ถือว่าผิดอย่างเดียว
และไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่พูดนั้นจริงหรือไม่ ในกฎหมายปกติข้อความในลักษณะนี้เป็นไปไม่ได้
มาตรา
112 จึงถูกยกให้มีสถานะพิเศษเหนือระบบการเมืองและกฎหมายปกติมานานแล้ว
สถานะพิเศษนี้เรียกร้องให้ทุกองคาพยพของสังคมต้องช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน
ต้องอนุญาตให้ประชาชนสามารถฟ้องร้องกล่าวโทษได้ เป็นหูเป็นตาให้กับรัฐได้
เรารู้กันใช่มั้ยคะว่างบประมาณปกป้องสถาบันกษัตริย์นั้นจัดอยู่ในหมวดการรักษาความมั่นคงภายในแห่งชาติ
ถ้าคุณไปดูงบทหารมันจะอยู่ในกลุ่มของงบความมั่นคงภายในแห่งชาติ ฉะนั้นมาตรา 112
จึงเป็นสภาวะที่เป็นภัยคุกคาม มันเป็น forever existential
threats มันเป็นภัยคุกคามการดำรงอยู่แบบถาวรตลอดไป นอกจากนี้รัฐความมั่นคงยังถือว่าการปฏิบัติการลับเป็นเรื่องปกติด้วย
ไม่ต้องมีการตรวจสอบ ไม่ต้องมีความโปร่งใสใด ๆ ในอดีตเรามีเงินราชการลับมหาศาล
ในปัจจุบันรัฐมีระบบสอดแนม ใช้ spyware แอบฟังโทรศัพท์
ไปจนถึงการทำ IO สร้าง fakenews
นอกจากนี้ดิฉันอยากย้ำให้เห็นปัญหาของรัฐความมั่นคง
คือในปัจจุบันการที่ประเด็นปัญหาภายในประเทศถูกทำให้เป็นปัญหาความมั่นคงภายในของชาติ
คือจริง ๆ แล้วมันก็เกิดขึ้นในหลายสังคม ในประเทศอื่น ๆ ก็มี
แต่ปัญหาก็คือเวลาที่มันเกิดในสังคมที่มันไม่เป็นประชาธิปไตย
สังคมที่ทหารมีอำนาจมาก ประชาชนจะถูกคุมคาม
เพราะเวลาที่คุณบอกว่าเรื่องภายในประเทศ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
ความแตกต่างทางความคิดเป็นภัยคุกคามมันเกี่ยวข้องกับประชาชนภายในชาติแทบทั้งนั้น
มันไม่ใช่เรื่องภายนอกแล้ว
การทำปัญหาปกติให้กลายเป็นความมั่นคงระดับชาติคือการทำให้ประชาชนกลายเป็น
enermy of
the state ทำให้ประชาชนเป็น “พวกมัน” รัฐเป็น “พวกเรา”
คนที่ยืนข้างรัฐเป็น “พวกเรา” คนที่ยืนตรงข้ามคือประชาชนเป็น “พวกมัน”
ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด รัฐความมั่นคงยังเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ได้มาด้วย
โดยไม่ตระหนักถึงอคติที่ครอบงำตัวเองอยู่ อคติที่มองประชาชนเป็นภัยคุกคาม
ความแตกต่างคือภัยคุกคาม อคติที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจและจะประณีประนอมไม่ได้
และจะไม่พยายามทำความเข้าใจ ความแตกต่างก็คือความแตกต่าง ไม่จำเป็นต้องเข้าใจมัน
ฉะนั้นอำนาจของรัฐความมั่นคงไม่ใช่แค่อำนาจทางกฎหมายและกลไกบริหาร
ไม่ใช่แค่อำนาจของหน่วยราชการ กองทัพ และตำรวจ
แต่มันเป็นอำนาจที่ครอบงำความคิดของผู้คนในสังคมด้วย มันคือแว่นที่รัฐใช้ และรัฐก็พยายามที่จะทำให้แว่นนั้นเป็นแว่นตาของประชาชนทั่วไปด้วย
เพื่อสนับสนุนความเชื่อเรื่องภัยคุกคาม คำถามคือในปัจจุบันการที่บรรดาปัญหาสารพัดที่ถูกทำให้เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติมัน
make
sense หรือไม่ มัน make sense จริง ๆ หรือคะ
ความแตกต่างทางความคิดจะทำให้ประเทศนี้มันพังทลายจริง ๆ หรือ
หรือเป็นเพียงความพังทลายของบางกลุ่มอำนาจเท่านั้น
ดิฉันอยากจะเล่าประสบการณ์บางอย่างด้านหนึ่งมาจากการทำงานวิจัย
ด้านหนึ่งมาจากการที่ได้เข้าไปร่วมอยู่ในกรรมาธิการวิสามัญของสภาที่ศึกษาธุรกิจของกองทัพซึ่งมีพรรคก้าวไกลเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้
คือเราพบเหตุการณ์พิลึกพิลือในนามของการรักษาความมั่นคงแห่งชาติบ่อยมาก
เมื่อกี้อย่างที่บอกในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาทุกเหล่าทัพมีโครงการเศรษฐกิจมากมายในนามของการรักษาความมั่นคงภายในของชาติ
อันนี้เป็นหนึ่งในโครงการความมั่นคงภายในของชาติ เรียกว่าโครงการ ARMY LAND
เป็นแหล่งท่องเที่ยวในค่ายทหาร ปัจจุบันมีมากกว่า 170 แห่งทั่วประเทศ สร้างขึ้นโดยภาษีของประชาชน
ภายในค่ายก็มีกิจกรรมประเภทแบบปีนหน้าผาจำลอง กระโดดหอ ยิงปืน ให้ดูอาวุธยุทธภัณฑ์
รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวีรประวัติของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตและปัจจุบัน
เราจะบอกว่านี่เป็นการท่องเที่ยวแบบทหาร ด้านหนึ่งมันช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของทหารในสายตาประชาชน
แต่ด้านหนึ่งมันช่วยส่งเสริมอุดมการณ์หลักของชาติ แต่ด้านที่สำคัญคือมันใช้งบประมาณของเราไป
ที่จริงว่าง ๆ เราน่าจัดทัวร์
จากเว็บไซต์ที่ดิฉันเข้าไปดูโครงการ ARMY LAND พบว่ามันมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาเข้าไปชมเป็นหมู่คณะด้วย
รวมถึงนิสิตของจุฬาฯ เกษตร แล้วก็ มศว.ประสานมิตรด้วย เพราะว่า 3 มหาวิทยาลัยนี้มีคอส 2 คอสที่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของชาติ
แล้วเชิญทหารมาเลคเชอร์ 100% อันนี้ก็เป็นการพยายาม militarized
การศึกษาไทย
การพยายามที่จะครอบงำเยาวชนไทยในมหาวิทยาลัยระดับท็อปของรัฐ
นี่เป็นอีกมิติหนึ่งที่มหาวิทยาลัยกำลังกลายเป็นที่ตั้งของกองทัพ ของทหาร หรือของอุดมการณ์หลักของชาติไปแล้ว
มันมีข้อมูลอีกเยอะเลยที่จะชี้ให้เห็นถึงการพยายามที่จะเข้ามาควบคุมมหาวิทยาลัยในหลาย
ๆ ด้าน
นอกจากโครงการ
ARMY LAND แล้ว ยังมีโครงการเศรษฐกิจ เช่น พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC
ทหารมีงบประมาณนี้ดิฉันนั่งดูของกองทัพเรืออย่างเดียวเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกือบหมื่นล้าน โครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ
โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โครงการสร้างความสุขให้ประชาชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เขตทหาร
โครงการเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับความมั่นคงของชาติ? มันไม่เกี่ยวค่ะ
แต่เขาทำให้มันเกี่ยว เพราะเขาอ้างว่าในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า
การพัฒนาประเทศต้องมุ่งให้เกิดความมั่นคง
ฉะนั้นทหารก็มองว่าทหารก็ต้องมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย และนี่กลายมาเป็นข้ออ้างความชอบธรรมทางกฎหมาย
ไม่ต้องถามว่าทหารมีความรู้ความสามารถในการจัดการเรื่องเศรษฐกิจเหล่านี้มั้ย?
เพราะมันไม่สำคัญ ตราบเท่าที่เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ
การพัฒนาเศรษฐกิจก็เพื่อความมั่นคงของชาติ ทหารก็ต้องมีภารกิจ
ต้องมีงบประมาณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วย
มันยังมีสิ่งพิลึกพิลั่นอีก
เมื่อกี้บอกไปว่าการมีความลับ ความไม่โปร่งใส ไม่ต้องมีการตรวจสอบเป็นคุณสมบัติสำคัญของรัฐความมั่นคง
ความมั่นคงเป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องโปร่งใส
ฉะนั้นปัญหาใหญ่ที่กรรมาธิการศึกษาธุรกิจกองทัพประสบก็คือเราไม่ค่อยได้รับความร่วมมือในการให้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของกองทัพ
โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องสถานะการเงิน
ในบรรดาหน่วยงานทั้งหมดกองทัพบกจะมีธุรกิจเยอะที่สุด มีที่ดินมากที่สุด
ครอบครองที่ดินมากที่สุด มักจะไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขบัญชีรายรับรายจ่าย
ธุรกิจจำนวนมากถูกจัดอยู่ในสวัสดิการเพื่อคนในกองทัพ ธุรกิจพวกนี้ไม่ต้องถูกตรวจสอบโดยสตง.
กองทัพตรวจสอบกันเอง หรือไม่ก็ไปจ้างบริษัทเอกชนให้มาตรวจสอบ
แต่พอเราขอดูปัญชีก็ไม่ให้
ส่วนธุรกิจที่กำหนดว่าต้องให้สตง.ตรวจสอบ
ก็พบว่าตัวแทนสตง.ที่เข้าไปร่วมประชุมด้วยก็บอกว่าไม่เคยเข้าไปตรวจสอบเลยค่ะ
ไม่เคยได้เลยค่ะ เช่น รายได้ของสถานีโทรทัศน์ ช่อง 5 และบริษัทลูก
รายได้จากการเช่าคลื่นวิทยุโทรทัศน์จากกองทัพ เราก็ยังไม่ได้
นี่คือสภาวะยกเว้นทางเศรษฐกิจ เราไม่ได้มีแต่สภาวะยกเว้นทางการเมือง ทางกฎหมาย
เรามีสภาวะยกเว้นทางเศรษฐกิจในนามของความมั่นคงแห่งชาติด้วย
และมีแต่กองทัพเท่านั้นที่ได้อภิสิทธิ์นี้ หน่วยงานอื่นไม่ได้ นอกจากนี้ความมั่นคงแห่งชาติยังถูกใช้เพื่อให้กองทัพสามารถครอบครองที่ดินจำนวนมหาศาลของประเทศ
ที่ดินของรัฐทั้งประเทศมี 12.5 ล้านไร่
อยู่ในมือกองทัพไปแล้ว 7.5 ล้านไร่
จำนวนมากถูกเอาไปทำสนามกอล์ฟ โรงแรม บ้านพักตากอากาศ แหล่งท่องเที่ยว
ยังมีเรื่องพิลึกกึกกืออีกอันคือปัญหาการให้บริการไฟฟ้าในพื้นที่สัตหีบ
ที่ชลบุรี ที่ดำเนินการโดยกองทัพเรือ รายได้จากการขายไฟฟ้านี้ปีละร้อยกว่าล้านบาทเข้าสวัสดิการกองทัพเรือ
ไม่ได้เข้าคลัง เรื่องนี้เป็นปัญหาขึ้นมาเมื่อชาวบ้านใน 5 ตำบลในอำเภอสัตหีบร้องเรียนว่าต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าราคาปกติ
และไฟก็ดับบ่อยมาก ๆ คนในกรุงเทพฯ อย่างพวกเราปกติที่ซื้อไฟจากการไฟฟ้า
เราจ่ายที่ยูนิตละประมาณ 4 บาทเศษ ๆ
ชาวบ้านที่นั่นจำนวนมากหลายครัวเรือนจ่าย 6-7 บาทต่อยูนิต แล้วก็ดับบ่อยมาก
กรรมาธิการเสนอว่าให้กองทัพจัดการรับผิดชอบเฉพาะไฟฟ้าที่ใช้ในค่ายทหาร หน่วยทหาร
ส่วนอื่น ๆ นั้นขอให้ซื้อจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เอาเข้าจริง ๆ เขาไม่ได้ผลิตเองนะคะ
คือเราเข้าใจผิดมาตลอดจนกระทั่งมานั่งกรรมาธิการนี้ เราเข้าใจกันว่ากองทัพเรือผลิตไฟฟ้าเอง
มีโรงไฟฟ้าปั่นไฟเอง ปรากฏว่าไม่ใช่ ซื้อจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้วมาขายต่ออีกทีหนึ่ง
แต่เขาอ้างว่าพื้นที่อำเภอสัตหีบทั้งหมด บางส่วนของบ้านฉางด้วย
เพราะว่าสนามบินอู่ตะเภาตั้งอยู่ที่บ้านฉาง พื้นที่ทั้งหมดเป็นพื้นที่ของทหาร
เป็นพื้นที่ความมั่นคง ฉะนั้นกองทัพก็จะต้องดูแลเรื่องไฟฟ้าในพื้นที่นี้ด้วย พื้นที่นี้ประกอบด้วยอะไรบ้างถ้าคุณเข้าไปดู
มีโรงแรม มีรีสอร์ท ร้านอาหาร มีสวนน้ำ มีคอนโดมิเนียม มีปั๊มน้ำมัน
มีร้านกาแฟเต็มไปหมดเลย นี่ไม่ใช่พื้นที่ทหารแล้วค่ะ แต่เขาอ้างว่าความมั่นคงภายในและยังไม่ยินยอมที่จะคืนพื้นที่หรือสิทธิในการที่จะให้การไฟฟ้าฝ่ายภูมิภาคเข้าไปเป็นผู้บริหารจัดการไฟฟ้าในพื้นที่นั้น
ฉะนั้นความมั่นคงแห่งชาติมันจึงกลายเป็นยาสารพัดชนิดให้กับกองทัพและชนชั้นนำไว้ปราบปรามประชาชนก็ได้
ไว้ทำธุรกิจก็ได้ ไว้ตั้งงบประมาณสูง ๆ เพื่อให้บรรดานายพลมีงานทำก็ได้
คำถามว่าแล้วเราจะทลายกรงของรัฐความมั่นคงได้อย่างไร?
คนมักจะพูดกันว่าการที่ระบอบประยุทธ์สามารถอยู่ในอำนาจมาได้ถึง
8 ปีกว่านั้น เพราะคนไทยโกรธไม่พอ ดิฉันไม่เชื่อ
ดิฉันคิดว่าทุกวันนี้เราโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว
ถามตัวเองดิฉันเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าโกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงแล้ว
แต่ปัญหาคือเราไม่ได้มีแต่ความโกรธ เรามีความกลัวด้วย พูดแบบนี้ไม่ได้จะดูถูกกัน
ดิฉันก็กลัว แต่ต้องถามว่ากลัวอะไร ดิฉันไม่คิดว่าคนกลัวปืน
ดิฉันไม่คิดว่าคนกลัวตาย ในอดีตที่ผ่านมาหรือแม้กระทั่งเร็ว ๆ นี้
เราเห็นการเสียสละชีวิตของผู้คน แม้กระทั่งเหตุการณ์ปี 53
คนเสื้อแดง แต่คนพร้อมที่จะเสียสละชีวิตตัวเอง
ความสุขสบายของตัวเองถ้าเขามีความหวัง แต่ถ้าคุณเสียสละแล้วคุณตายฟรี
คุณเสียสละแล้วคุณรู้สึกว่ามันไม่เกิดอะไรขึ้น
ระบอบเดิมก็ยังคงอำนาจอยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ผู้ที่ตายก็ตายไป เจ็บก็เจ็บไป
คนจำนวนมากทุกข์ยากจากความบาดเจ็บล้มตายของคนในครอบครัว ขณะที่คนที่ทำร้ายประชาชนสังหารประชาชนกลับได้ดี
ได้รางวัล ได้เลื่อนขั้น แต่ประชาชนกลับถูกลงโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันคือภาวะสิ้นหวังที่คนรู้สึกว่าแล้วจะสู้ไปทำไม
ภาวะสิ้นหวังนี้มันเกิดจากภาวะ
Impunity การลอยนวลพ้นผิด ไม่ต้องรับผิด มันคือการที่บอกว่าถ้าคุณทำ/ตอบสนองนโยบายของรัฐคุณจะได้รับรางวัล ถ้าคุณกล้าท้าทาย คุณจะถูกลงโทษอย่างแสนสาหัส
นี่ต่างหากที่คนกลัว การลอยนวลพ้นผิดต่างหากที่คนกลัว สู้แล้วไม่มีหวังคุณจะสู้ทำไม
กระนั้นก็ตาม
ดิฉันคิดว่าในหลายปีที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นความกล้าหาญของคนจำนวนมากของเยาวชนตั้งแต่ปี
63 เป็นต้นมา ของคนที่เสียชีวิตไป คนที่ยังติดคุกอยู่
คนที่ยังมีสารพัดข้อหาติดตัวอยู่ทุกวันนี้ เห็นความกล้าหาญของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ดิฉันคิดว่าหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงความพยายามที่จะท้าทายความมันคงของรัฐมากขึ้นเรื่อย
ๆ ตั้งคำถามกลับมาเรื่อย ๆ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ดิฉันคิดว่าประชาชนจะตั้งคำถามกับความชอบธรรมของสถาบันทางอำนาจที่ดำรงอยู่มากเท่านี้อีกแล้ว
เราตั้งคำถามไปจนถึงว่าทางอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์ ระบบอาวุโส
ล้วนถูกดันเพดานขึ้นไป
ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะทำลายความมั่นคง
ความชอบธรรมของรัฐความมั่นคง เราต้องตั้งคำถามไปให้ถึงที่สุด ดิฉันอยากจะเสนอก็คือว่า
เราต้องตั้งคำถามแม้กับสิ่งที่อ้างว่าเป็นความมั่นคงของชาติทุกชนิด
แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจริงแท้แน่นอนสำหรับคนไทยมาตลอดชีวิตก็ควรตั้งคำถามได้
ดิฉันอยากยกตัวอย่างหนึ่งที่คิดว่าคนไทยหลายชั่วอายุคนทีเดียวเชื่อว่ามันจริง
ก็คือภัยคอมมิวนิสต์ คนที่โตมาในยุคสงครามเย็นก็จะอยู่กับคำอธิบาย
อยู่กับวาทกรรมคำว่าภัยคอมมิวนิสต์นั้นจะทำลายชาติทำลายความเป็นไทย
ทำลายสถาบันหลักของประเทศ จะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ฉะนั้นก็ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด การสังหารนักศึกษาประชาชนเมื่อวันที่ 6ตุลาคม
ก็วางอยู่บนวาทกรรมแบบนี้
แต่ดิฉันมองว่าวาทกรรมนี้แหละที่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ผิดพลาด
มันเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงของรัฐเผด็จการที่ไม่สามารถที่จะรับมือกับความแตกต่างหลากหลายทางความคิดด้วยสันติวิธีได้
เพราะในความเป็นจริงในสังคมประชาธิปไตยหลายสังคมทีเดียวที่คอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นภัยความมั่นคงของชาติ
คอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นรัฐอย่างฝรั่งเศส นอร์เวย์ สวีเดน
เดนมาร์ก ประเทศเหล่านี้อนุญาตให้คอมมิวนิสต์ถูกกฎหมายได้ สู้กันในระบบรัฐสภา
สู้กันด้วยนโยบาย
แล้วให้ประชาชนตัดสินว่าเขาเชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณว่าจะตัดสินได้
เลือกผิดก็เลือกใหม่ เขาเริ่มจากการไม่มองว่าประชาชนเป็นพวกโง่จนเจ็บตัดสินใจเองไม่ได้
เริ่มจากการมองว่าประชาชนไม่ได้เป็นภัยความมั่นคงของรัฐ
ฉะนั้น
แม้สิ่งที่มันดูจริงแท้แน่นอนในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีปัญหาเยอะมาก ๆ
ที่จะให้ตั้งคำถามได้
ดิฉันอาจจะบอกว่าเราต้องตั้งการ์ดไว้สูงทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าความมั่นคงของชาติ
ต้องระแวงไว้ก่อน สงสัยไว้ก่อน นอกจากนี้คำว่าความมั่นคงของชาติบางทีมันก็มาในคำอื่น
มาในศัพท์อื่นด้วยเหมือนกัน เราก็ควรที่จะต้องตั้งคำถามกับมันได้ เช่น
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ศัพท์คำนี้ดิฉันว่าความหมายของมันก็คือความมั่นคงของชาติ ถ้าคุณกล้าท้าทายมัน
คุณคือภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ
ประโยคสุดท้ายที่ฝากไว้
ต้องทำให้เรื่องความมั่นคงของชาติทั้งหมดกลายเป็นเรื่องไร้ความหมาย
ไร้ความน่าเชื่อถือ ถ้ามันเป็นปัญหาเศรษฐกิจก็บอกว่ามันเป็นปัญหาเศรษฐกิจ
ถ้ามันเป็นปัญหายาเสพติดก็เรียกมันว่าปัญหายาเสพติด
เป็นปัญหาผู้ลี้ภัยก็เรียกมันว่าเป็นปัญหาผู้ลี้ภัย อย่าไปยอมรับคำว่าความมั่นคงแห่งชาติง่าย
ๆ เพราะคำ ๆ นี้มันปิดปากเรา และมันอนุญาตให้รัฐใช้อำนาจอย่างเกินเลยในการที่จะกดปราบปรามประชาชน
ขอบคุณค่ะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #วิสามัญยุติธรรม #10ปีรัฐประหาร #10ปีศูนย์ทนายฯ