วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีใครในโลกปฏิเสธได้ คือ “บุ้ง” ไม่สมควรตายเพียงเพราะคิดต่างจากผู้มีอำนาจ #14ปีเมษาพฤษภา53

 


ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีใครในโลกปฏิเสธได้ คือ “บุ้ง” ไม่สมควรตายเพียงเพราะคิดต่างจากผู้มีอำนาจ 


ในงานรำลึก #14ปีเมษาพฤษภา53

19 พฤษภาคม 2567 ณ ราชประสงค์


พี่น้องที่เคารพครับ เราเจอกันทุกปีต่อเนื่องกันต่างสถานที่ต่างรูปแบบ จนถึงปีนี้เป็นปีที่ 14 แน่นอนครับ ทุกปีก็ยืนอยู่บนท่ามกลางความเจ็บปวด หยดเลือด ชีวิต อิสรภาพและคราบน้ำตาของพวกเราที่กอดคอต่อสู้กันมา แต่ว่าถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง เพื่อให้ขวัญและกำลังใจนี้ยังดำรงอยู่ และเพื่อให้การต่อสู้และเสียสละของพี่น้องเราผู้จากไปยังคงรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีเอาไว้ได้

 

ผมว่าคนเสื้อแดงอันไม่ได้หมายถึงตัวบุคคลนะครับ ไม่ได้หมายถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เป็นคนเสื้อแดง นายแพทย์เหวง หรือใครต่อใครแต่ละคนที่อยู่ตรงนี้ หรือไม่ได้มาที่นี่ แต่คำว่าคนเสื้อแดงของผมหมายถึง ขบวนคนจำนวนมหาศาลของประเทศที่ตัดสินใจประกาศการต่อสู้แล้วก็แลกชีวิตแล้วเดินทางร่วมกันมา ผมว่ามาถึงตรงนี้ คนเสื้อแดงในความหมายนั้นสัมผัสชัยชนะทางการเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญตรงที่ว่า ไม่ว่าใครคิดยังไงทางการเมือง ไม่ว่าใครจะยืนอยู่มุมไหนทางการเมือง และไม่ว่าพรรคการเมืองไหนจะอยู่ในสถานะใด ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกค่าย ทุกพรรค ต่างแสดงการยอมรับต่อคำว่า คนเสื้อแดง อย่างชัดเจนปรากฏในวันนี้ครับ

 

ผมไม่เห็นนะครับว่าคนที่ปรากฏตัวหรือไม่ปรากฏตัว แต่เคยร่วมต่อสู้กันมา แม้ว่าวันนี้อาจจะมีมุมมองทัศนะทางการเมืองที่ต่างกัน แต่ไม่เห็นใครปฏิเสธความเป็นคนเสื้อแดง ไม่มีใครด้อยค่า ไม่มีใครแสดงออกว่าการต่อสู้เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การยกย่องพูดถึง

 

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้สู้เพื่อหมายคว้าเอาชัยชนะแบบนี้ เราสู้เพียงเพื่อเรียกร้องให้อำนาจอธิปไตยกลับคืนมาสู่มือประชาชน นั่นก็คือการเลือกตั้งทั่วไป ภาจใต้ข้อเรียกร้องพื้นฐานที่สุดคือยุบสภา คนเสื้อแดงไม่ได้สู้ว่ารัฐบาลต้องเป็นอย่างที่เราชอบเท่านั้นด้วยซ้ำ แต่คนเสื้อแดงสู้เพื่อต้องการรัฐบาลที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่า ๆ กัน แล้วก็เลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม

 

แต่ข้อเรียกร้องนั้นมันแลกมากับความตาย แลกมากับความบาดเจ็บเสียหาย และแลกมากับการต้องแบกรับสิ่งที่ถูกยัดเยียดว่านั่นคือความพ่ายแพ้ นั่นคือขบวนการเผาบ้านเผาเมือง นั่นคือขบวนการก่อการร้าย นั่นคือม็อบรับจ้าง ม็อบไร้การศึกษา แต่เราก็เดินหน้ากันมาจนปัจจุบัน จนปัจจุบันที่ไม่น่าเชื่อนะครับว่าแม้แต่ใครหลาย ๆ คนที่เคยปรามาสและเหยียบย่ำการต่อสู้นี้ ก็ยังต้องแสดงออกถึงการคารวะสดุดี

 

แต่พี่น้องครับ การเดินทางไกลมันก็เดินอยู่บนความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอน ทุกสรรพสิ่งมันปฏิเสธกฎเกณฑ์ของการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ วันนี้เราจึงเห็น นี่เป็นปรากฎการครั้งแรกของการจัดงานรำลึกที่ตลอดแนวถนนราชประสงค์ เต็มไปด้วยกิจกรรมรำลึกคนเสื้อแดง ผมนับได้ไม่ต่ำกว่า 4 กลุ่มกิจกรรม และท่านที่เคารพครับ ผมเดินพบปะพูดคุยทุกกลุ่มตั้งแต่เย็นที่พี่น้องกลุ่มหนึ่งเดินขบวนจากตรงนี้ไปที่ป้ายราชประสงค์ หัวค่ำผมเดินไปกลุ่มที่อยู่ด้านหลัง และก็เดินไปอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใต้สะพานลอยถัดไป ความจริงที่ผมพบก็คือว่าทุกคนทุกกลุ่ม คนเสื้อแดงทั้งนั้น ไม่มีใครสวมรอย ไม่มีใครปลอมแปลงตัวมา กลุ่มที่เดินถือธงมา กลุ่มที่นั่งอยู่ตรงนี้ กลุ่มที่นัดถัดไปและนั่งอยู่ใต้สะพานลอย ล้วนแล้วแต่เป็นคนใส่เสื้อสีแดงที่ชวนกันมากินมานอน ชวนกันรวมเป็นร่วมตายที่นี่ด้วยกันทั้งนั้นเมื่อ 14 ปีที่แล้ว นี่เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้

 

ผมเดินดูตลอดแนว ผมก็สัมผัสว่านี่แหละพี่น้องเรา นี่แหละพี่น้องกัน นี่คือกลุ่มคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่มีความผูกพันกันทางสายเลือด พูดให้ถึงที่สุด จำนวนมากไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน แต่เพียงเพราะบางคืนมานั่งชุมนุมอยุ่ติดกัน เพียงเพราะบางวันเดินขบวนไปพร้อม ๆ กัน เพียงเท่านั้นก็แบ่งน้ำกันกิน แบ่งข้างกันกิน แบ่งทุกข์กันจิบ แบ่งความตาย แล้วก็แบกพากันมาจนจบการต่อสู้ของเรา เพราะฉะนั้นผมยืนยันข้อเท็จจริงนี้ก่อน

 

ข้อเท็จจริงที่สองที่ผมพบก็คือแต่ละกลุ่มมีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกันครับ พูดกันง่าย ๆ ถ้าเอารูปธรรมก็ต้องบอกว่าแต่ละกลุ่มสนับสนุนแนวทางของพรรคการเมืองมากกว่า 1 พรรค ไม่ตรงกัน ถามว่านี่มันคืออะไร นี่คือเสรีภาพและนี่คือวิถีทางประชาธิปไตย และนี่คือสิทธิโดยชอบของประชาชนไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ก็ตาม นี่เป็นสิทธิโดยขอบของทุกคนครับ ท่านมีสิทธิที่จะเลือก มีสิทธิที่จะไม่เลือก มีสิทธิที่จะสนับสนุนและไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดก็ได้ และท่านมีเหตุผลของท่าน ท่านมีสิทธิตัดสินใจโดยชอบด้วยตัวท่าน ที่ผ่านมาเราเชื่อกันมาแบบนี้

 

ประการต่อมา ทำท่าฝนจะลงนะครับ ไอ้ไผ่น้องผมแต่งตัวหล่อรอดีดพิณหลังเวที ถ้าพูดยาวเดี๋ยวน้องมันจะไม่ได้เล่นดนตรีล่ะครับ ก็เอาเป็นว่ามาถึงตรงนี้ไม่รู้ผมจะพูดคล้ายกับที่ท่านคิดหรือท่านอยากฟังหรือเปล่า หรือไม่รู้จะพูดในสิ่งที่ท่านพอใจหรือไม่ แต่ผมว่าไอ้ที่คิดต่างกันทางการเมือง ไอ้ที่ชอบ/ไม่ชอบ สนับสนุน/ไม่สนับสนุน ไม่ตรงกันทางการเมือง เป็นสิทธิของทุกคน แต่ส่วนตัวผม ผมว่าความเป็นพี่น้องเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมา 14 ปี ตรงนั้น อย่าถึงกับขั้นให้มันมลายหายไปเสียสิ้น เหตุผลเพราะว่าชีวิตคน ๆ หนึ่ง ผมว่าดีไม่ดีมีเหตุการณ์เดียวนะครับที่เราจะผ่านพบเพื่อนแท้ที่เคยเคียงข้างกันมาแบบนั้น

 

แล้วความเป็นคนเสื้อแดง ไม่รู้นะครับ ถ้าวันนี้ผมยืนพูดอยู่ที่นี่ แล้วมันเกิดเหตุเภทภัยใด ๆ ก็ตามจากการกระทำของอำนาจเผด็จการอำนาจนอกระบบที่เข้ามารุกรานคุกคาม ผมเชื่อว่าคนที่นี่พร้อมจะปกป้องกันและผมเชื่อว่า 2-3 กลุ่มตรงนั้นก็พร้อมที่จะมาเคียงข้างกัน ผมเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ ครับ

 

เมื่อปี 2563 ผมถูกขังอยู่ในเรือนจำ จังหวะเวลานั้นเป็นแกนนำเสื้อแดงคนเดียวที่อยู่ในนั้น จู่ ๆ ก็เกิดความเคลื่อนไหวของน้อง ๆ คนหนุ่มคนสาว เขาส่งแกนนำหลัก ๆ นักต่อสู้คนสำคัญในห้วงเวลานั้นเข้าไป อานนท์, เพนกวิน, ไมค์, ไผ่, แอมมี่ ใครต่อใคร ปรบมือให้กับน้อง ๆ เหล่านี้ครับ คนเหล่านี้นอกจาก “ไผ่ ดาวดิน” คนเดียว นอกนั้นไม่เคยเข้าคุกไม่เคยเข้าเรือนจำแม้แต่สักนาที เมื่อเข้าไปถึงบังเอิญมีคนถูกขังอยู่คนหนึ่ง ไอ้คนนั้นก็เลยทำหน้าที่ที่เป็นทั้งการ์ด เป็นทั้งพี่เลี้ยง เป็นทั้งคนแบกข้าวแบกน้ำให้ เป็นทั้งคนดูแลบริการให้ทุกอย่าง คน ๆ นั้นเป็นผู้ต้องขังชื่อนายณัฐวุฒิ แต่เขาไม่ได้ทำในนามนายณัฐวุฒิ เขาทำในนามคนเสื้อแดง เพราะเราต้องสนับสนุนอุดมการณ์และจิตวิญญาณของคนหนุ่มสาว ที่เขาต่อสู้ต่อยุคต่อเนื่องจากวันเวลาของเรา

 

ดังนั้น ท่านที่เคารพครับ เอากันตรง ๆ เวลานี้คนที่เคยเคียงข้างร่วมเป็นร่วมตายกันมาบางส่วนบางกลุ่ม โทษนะครับพูดตรง ๆ ด่ากันจนเอ่ยชื่อถึงกันไม่ได้แล้ว อย่าว่าเห็นหน้ากันเลย ผมเดินอยู่ตรงนี้ เดินไปแต่ละที่ เขาบอกว่า “เต้น ขนาดเต้นยังถูกด่าเลย เต้นรู้มั้ย”. “ขนาดเต้น คนยังด่าอย่างโน้น อย่างนั้น อย่างนี้ เต้นรู้มั้ย” ผมบอกว่าไม่ต้องบอกหรอกครับ ตั้งแต่ปี 2550 ที่ผมต่อสู้มาผมก็โดนด่าอย่างนี้เกือบ 20 ปี่ล่ะครับ ก็โดนด่าอย่างนี้ ก็ไม่เห็นเป็นไร แล้วไม่เคยคิดจะไปตอบโต้ ไม่เคยคิดจะไปอธิบาย ไม่เคยคิดจะไปปริปากบอกใครว่ากำลังทำอะไรอยู่ และกำลังดำเนินการผลักดันเรื่องอะไรแบบไหนบ้าง ไม่จำเป็น เพราะคนเสื้อแดงเวลาเราสู้ เราไม่ได้ป่าวประกาศนะครับ คนเสื้อแดงเวลาเราเจ็บ หันซ้ายหันขวาก็มีแต่คนเสื้อแดงด้วยกัน อย่างที่วันนี้เราหันซ้ายหันขวาก็มีแต่คนเสื้อแดงอย่างที่เราสู้กันมา แต่มันอบอุ่นมากขึ้นกว่าเพราะมีคนหนุ่มสาวมาเคียงข้างเราด้วย แล้วเขากำลังรอจะขึ้นเวทีอยู่นี้

 

ผมเห็นด้วยอย่าเปิดเผยและพูดตรงไปตรงมาตลอดนะครับ ว่าการนิรโทษกรรมนี่คณะกรรมาธิการสภากำลังพิจารณากันอยู่ ต้องนิรโทษกรรมคดีความอันเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมทั้งคดีที่ถูกกล่าวหาด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างไม่มีข้อยกเว้น แล้วไม่ใช่พูดที่นี่ให้มันเสียงดังผ่านไมค์ พูดที่อื่นพูดมากกว่านี้อีก พูดตรงกว่านี้อีก แต่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าผมต้องมาประกาศอะไรอยู่ตรงนี้

 

มันเป็นความเจ็บปวดที่ลูกหลานคนไทยรุ่นหนึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรงกับศาล ผมสู้มาจนถึงวันนี้ ผมโดนคดีมาตั้งแต่ปี 2550 ท่านเชื่อไหมครับ เดี๋ยวนี้ผมยังสู้คดีปี 2552 ไม่เสร็จ นั่นหมายความว่ายังไง หมายความว่าเกือบ 20 ปีแล้วผมยังสู้คดีของเก่า นี่ผมโดนประมาณ 20 กว่าคดีนะครับ ลูกหลานบางคนมันโดน 30 กว่าคดี 50 กว่าคดี ถ้าไม่ช่วยไม่แก้ปัญหาให้ ต้องพูดกันล่ะครับ น้องบางคนอายุ 20 กว่า อายุเกือบ 60 ยังสู้คดีไม่เสร็จ แล้วสมัครงานก็ไม่ได้ จะบินออกไปสู่โลกภายนอกก็ติดเงื่อนไข จะใช้ศักยภาพมันสมองและพลังชีวิตที่ตัวเองมี ทำตัวเองให้แข็งแกร่งและสร้างสังคมให้มันดีกว่านี้ ก็กลายเป็นว่าต้องใช้สรรพกำลังทั้งหมดไปยืนอยู่ตีนโรงตีนศาล นี่เกือบ 20 ปีแล้วครับยังสู้คดีเก่า แล้วน้อง ๆ ปัจจุบันคนหนึ่ง 30-40 กว่าคดี ท่านคิดว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่

 

ดังนั้นผมเห็นว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องผลักดัน และจำเป็นต้องแสดงความเมตตาและเคารพต่อความคิดของคนหนุ่มสาว ไอ้เมตตาอย่างเดียวก็จะกลายเป็นว่าคนหนุ่มสาวรุ่นนี้เขาทำในสิ่งที่มันไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรับฟังกันได้เลย เป็นดังเฉกเช่นอาชญากรที่รอความเมตตาจากกลไกอำนาจ ซึ่งผมว่าไม่ใช่ นอกจากเมตตาแล้วต้องรับฟัง แล้วก็เข้าใจความแตกต่าง เข้าใจสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันอาจจะคิดไม่เหมือนคนในวันวานในอดีตก็เป็นได้

 

ท่านที่เคารพครับ จริง ๆ วันนี้ก็ไม่ตั้งใจจะพูดอะไรยาว จะเตรียมเพลงมา 3 เพลงแบบคุณหมอก็กระไรอยู่ เพราะว่าน้ำเสียงมันสู้กันไม่ได้ ผมเป็นรองหมออยู่หลายขุม เอาเป็นว่าเท่านี้พอเพราะว่านี่ครับ ต้องให้รุ่นนี้เขาขึ้นมาแสดงทัศนะของเขาบ้าง

 

สุดท้ายจริง ๆ ในนามของคนเสื้อแดงซึ่งแต่ก่อนเป็นแกนนำที่อายุน้อยที่สุด เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนอายุมากที่น้อง ๆ เขาอาจจะมองเป็นคนแก่แล้วก็ได้ ผมขอใช้สิทธิของการเป็นแกนนำคนหนึ่งพูดแทนคนเสื้อแดงก็แล้วกันครับ ขอแสดงความเสียใจไว้อาลัยต่อการจากไปของ “บุ้ง” เนติพร เสน่ห์สังคม ไม่ว่าเราจะให้ความหมาย ไม่ว่าเราจะเห็นด้วย เห็นต่าง ห่วงใย หรือยอมรับอย่างไรต่อการเคลื่อนไหวของ “บุ้ง” แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีใครในโลกปฏิเสธได้คือ “บุ้ง” ไม่สมควรตายเพียงเพราะคิดต่างจากผู้มีอำนาจ ด้วยความเคารพครับ และส่งเวทีให้กับน้อง ๆ เพราะน้อง ๆ กลัวฝนตกมาสะกิดแล้วครับ ขอบคุณครับ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #คนเสื้อแดง