ธิดา ถาวรเศรษฐ : วาระ 10 ปี การรัฐประหาร 2557 มีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทย
การทำรัฐประหาร 2557
ทำความเสียหายแก่ประเทศไทยทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม อย่างสุด ๆ
เพื่อดำรงอำนาจของระบอบจารีตอำนาจนิยม ซึ่งนับตั้งแต่หลังยุคสฤษฎ์-ถนอมเป็นต้นมา
ไม่เคยมีการทำรัฐประหารครั้งไหนที่ผ่านการวางแผนและสมบูรณ์แบบเท่ากับการทำรัฐประหารเมื่อ
22 พฤษภาคม 2557 อีกแล้ว
ด้านเศรษฐกิจ
ปัญหาความตกต่ำภาคการผลิต, อุตสาหกรรม, เกษตรกรรม, ภาคพาณิชย์, การตลาด, แรงงานฝีมือ
ตัวเลข GDP เชิงเปรียบเทียบกับชาติอื่นในอาเซียน การเติบโตเชิงตัวเลข GDP ขีดความสามารถในการแข่งขันล้วนเสียหาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับประเทศฝ่ายเสรีประชาธิปไตย
ไม่ดีพอที่จะหนุนช่วยภาวะการเศรษฐกิจด้านการตลาด
ดังนั้นทั้งตัวเลข GDP และความเหลื่อมล้ำ
หนี้ครัวเรือน หนี้ประเทศ ล้วนวิกฤติทั้งสิ้นในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา
ยากที่จะฟื้นตัวให้มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจได้ทันสถานการณ์โลกปัจจุบันและอนาคต
ในด้านการเมือง
การรัฐประหาร 2557 เป็นการทำรัฐประหารที่ครองอำนาจได้นาน ถ้านับว่ามีการสืบทอดอำนาจมาถึงปัจจุบันก็ถือว่ากว่าสิบปี
และไม่แน่ว่าจะกดดันพรรคการเมืองสำคัญ คือพรรคเพื่อไทย
ให้เดินตามเส้นทางเดิมที่คณะรัฐประหารวางไว้ เช่นที่กรรมการยุทธศาสตร์ชาติวางไว้ ดิฉันถือว่านี่เป็นการทำรัฐประหารที่ยื้อหยุดเวลาพัฒนาประชาธิปไตยอย่างรุนแรง
มีอานุภาพที่สุด ทำให้อำนาจการเมืองการปกครองไปอยู่กับฝ่ายจารีตอำนาจนิยม
ที่ใช้การทำรัฐประหาร 2557 ได้ผลมากที่สุดเกินกว่า 1 ทศวรรษ
ความต่อเนื่องและบทเรียนของการทำรัฐประหาร 2549 ทำให้มีการวางแผนการทำรัฐประหาร
2557 อย่างรอบคอบ พิถีพิถัน และเล็งผลเลิศมากที่สุด ซึ่งก็คือการถอยหลังทางการเมืองอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษนี้
ตั้งแต่การทำรัฐธรรมนูญฉบับล้าหลังที่สุด
การสร้างอำนาจ กอ.รมน.
เป็นรัฐความมั่นคงของทหารซ้อนรัฐเบื้องหน้าที่มาจากการเลือกตั้ง และมีบทเฉพาะกาลที่สร้างอำนาจ
สว. ของ คสช. อยู่ได้นาน และมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี เลือกองค์กรอิสระทั้งหลาย
สว.ยังมีอำนาจกำหนดรัฐบาล กำหนดนายกรัฐมนตรี และส่งผลกระทั่งวันนี้ แม้ สว.
จะหมดวาระไปแล้ว ก็กำลังจัดการนายกรัฐมนตรีที่ตนเองไว้วางใจไปแล้วก็ตาม
และแม้จำต้องให้ “พรรคเพื่อไทย” มาเป็นพรรคนำจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว
แต่ก็ยังแสดงออกถึงธาตุแท้ของจารีตอำนาจนิยม ที่จะต้องควบคุม “พรรคเพื่อไทย”
ให้อยู่ในอำนาจของฝ่ายจารีตนิยมเดิม รวมทั้งต้องการให้คุณทักษิณจำกัดบทบาทของตน
ไม่ให้ล้ำเส้นตามที่คณะรัฐประหารเดิมได้ขีดเส้นไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ปัญหาความมั่นคงและยุทธศาสตร์ชาติ และไม่แย่งอำนาจไปจากฝ่ายจารีตอำนาจนิยม
แต่เป็นลูกน้องเชื่อง ๆ ซึ่งคงเป็นไปได้ยากสำหรับคุณทักษิณ ชินวัตร
ที่กำหนดภาพเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และมีภาวะผู้นำสูง
นี่จะเป็นโจทย์ต่อไปของรัฐบาลผสมข้ามขั้วตามแผนของฝ่ายจารีตนิยม
ว่าจะไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่?
แต่นี่คือผลพวงการทำรัฐประหารที่มีความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่
อยู่ในอำนาจยาวนานเป็นทศวรรษ
จึงกล่าวได้ว่า
ผลพวงทางการเมืองของประเทศไทยทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญที่ล้าหลัง
ยังไม่คืนอำนาจให้ประชาชนจริง ซึ่งอันที่จริงถ้าไม่มีการหนุนช่วยของ กกต.
พรรคพลังประชารัฐก็ไม่สามารถส่งให้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ผลการคำนวณสูตรพิสดาร ผิดทั้งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ผิดรัฐธรรมนูญ
และผิดหลักการคณิตศาสตร์ ก็ทำให้พรรคเล็กพรรคน้อยเข้ามาแทนที่พรรคอนาคตใหม่
ซึ่งเสียงหายไ 7-8 เสียง
แล้วทำให้เผด็จการสามารถสืบทอดอำนาจได้มาจนถึงการเลือกตั้งปี 2566
ทำให้จำใจต้องจับมือกับเสือตัวเก่า เพื่อไม่ให้เสือตัวใหม่ได้อำนาจการปกครอง
นี่จึงเป็นที่มาของรัฐบาลผสมข้ามขั้ว
ในทางสังคมและอุดมการณ์
ยังขานรับและใช้วาทกรรม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างผิด ๆ ไม่รู้ความหมายของ
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจต้องเป็นของประชาชน
แต่ใช้คำขวัญนี้ประดุจยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ล้าหลัง และสร้างความแตกแยกรุนแรง
ปราบปราม จับกุมคุมขังเด็กรุ่นใหม่ ที่เกือบ 100%
ไม่เอาอุดมการณ์จารีตอำนาจนิยม
ความขัดแย้งในสังคมหลังรัฐประหาร
2557 ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค
และปัญหาความยุติธรรม
โดยเฉพาะกรณีคนเสื้อแดง
คดีความที่การฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อาวุธกระสุนจริงยิงประชาชน
ถูกแช่แข็งบิดเบือน มีผู้ยังไม่ได้รับการไต่สวนชันสูตรพลิกศพถึง 62 ราย
ส่วนกรณีที่ศาลไต่สวนไปแล้วระบุว่าเป็นการตายจากเจ้าหน้าที่รัฐ (ทหาร)
ก็ไปจบที่อัยการศาลทหาร ไปต่อไม่ได้ เท่ากับยุติการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐ (ทหาร)
ฝ่ายนักการเมือง ได้แก่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ
ก็ถูกยุติคดีความที่ ป.ป.ช.
ไม่ส่งฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ดูเสมือนว่า
ส่วนหนึ่งของความจำเป็นในการทำรัฐประหาร 2557
มีความเกี่ยวข้องกับคดีความที่กำลังลามลุกเป็นไฟไปถึงหัวหน้าใหญ่ทั้งทหารและพลเรือนได้
จึงจำเป็นต้องทำรัฐประหารเพื่อยุติคดีเหล่านี้ แต่กลับทำคดีชายชุดดำ
คดีไฟไหม้ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คดีก่อการร้าย กับ นปช. คนเสื้อแดง
เพื่ออ้างความชอบธรรมในการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนปี 2553 แล้วยุติคดีที่ประชาชนฟ้องร้องกลุ่มตน
ดังนั้น
รัฐประหารปี 2557 จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันตนเองจากคดีความกรณี 2553
และลงหลักปักฐานทั้งรัฐธรรมนูญ ทั้งองค์กรอิสระ วุฒิสมาชิก และกฎหมายความมั่นคง
เพื่อความมั่นคงของ คณะชนชั้นนำจารีตอำนาจนิยมให้อยู่ได้นานที่สุด
ใช้กลยุทธ์มากที่สุด เพื่ออนาคตของกลุ่มคนเหล่านั้น
ซึ่งสวนทางกับประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
ที่ต้องการอำนาจการปกครองคืนมาจากชนชั้นนำที่ร่วมกับคณะรัฐประหาร
ประชาชนตาสว่างขึ้น
มีพลเมืองที่ตื่นรุ้มากขึ้นเป็นลำดับ
แม้ฝ่ายทำรัฐประหารยังสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาและมีฐานแข็งแรงเพียงใด
ก็ไม่อาจยิ่งใหญ่กว่าอำนาจประชาชนแน่นอน ดังนั้น รัฐประหาร 2557
แม้จะวางหมากกลแยบยลเพียงใด และเป็นคุณกับฝ่ายจารีตอำนาจนิยมเพียงใด แต่ถ้ามันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ประชาชนทวงอำนาจคืนมากขึ้นทุกวัน
ปัจจุบันก็เกินครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้ว เที่ยวหน้าถ้ามีการเลือกตั้งทั่วไปอาจจะถึง
70-80% แล้ว คุณจะทำรัฐประหารใหม่อีกหรือ เพราะจารีตอำนาจนิยมมาสุดทางแล้ว