“พิธา” เวทีสวัสดิการผู้สูงอายุ หวังเห็นประเทศไทยมีครบทั้ง 4 ขารับสังคมสูงวัย เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ-ศูนย์ชราบาล-ออกแบบเมืองด้วย universal
design-จ้างงานผู้สูงอายุ
วันที่
9 เมษายน 2567 ที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน พิธา
ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล
รับเชิญเป็นผู้บรรยายในงานสัมมนาสวัสดิการผู้สูงอายุสู่อนาคตที่ยั่งยืน
จัดโดยคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร
ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในการนี้
พิธาได้ขึ้นกล่าวบรรยายในหัวข้อ “รัฐสวัสดิการที่ต้องสร้างการมีส่วนร่วม”
โดยระบุว่าเรื่องของสวัสดิการผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองต่างพูดถึงกันหมด
ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งปีที่แล้ว
มีคนถามว่าทำไมพวกตนในวัยหนุ่มสาวและวัยกลางคนถึงต้องสนใจเรื่องสวัสดิการผู้สูงอายุด้วย
คำตอบก็คือสวัสดิการผู้สูงอายุก็คือสวัสดิการของประชาชนทุกคน
กระทั่งสำหรับคนวัยทำงานเอง
หากประเทศไทยมีสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุและดูแลเด็กแรกเกิดถ้วนหน้าอย่างไม่ตกหล่น
คนวัยทำงานก็จะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรีด้วยเช่นกัน สามารถไปทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเป็นห่วงอะไร
นี่คือผลของการที่รัฐบาลลงทุนในประชาชนของเขา
ไม่ใช่แค่ลงทุนในตึก สนามบิน ถนนหนทาง ฯลฯ ที่ทุจริตกันได้ง่าย
การที่รัฐบาลลงทุนกับประชาชนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ วัยทำงาน
วัยเด็กเล็ก ถ้ารัฐบาลไทยลงทุนได้กับสิ่งปลูกสร้างมาไม่รู้เท่าไรที่แทบจะไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำ
การลงทุนกับประชาชนของตัวเองก็ย่อมต้องทำได้
เรื่องของผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้น
พิธากล่าวต่อไป
ว่าแต่ก็มีคนมาเถียงว่าประเทศไทยดีจะตายสำหรับผู้สูงอายุ เป็นอันดับต้นๆ
ของโลกที่คนต้องการจะมาเกษียณที่นี่ แม้จะเป็นข้อเท็จจริง
แต่ในขณะเดียวกันมันเป็นแบบนั้นเฉพาะสำหรับคนต่างชาติ
แต่ไม่ได้เป็นสำหรับคนที่อยู่ในบ้านนี้เมืองนี้ หากไปดูรายได้ค่าเฉลี่ยของคนไทยในวัยทำงาน
จะพบว่าตกที่เดือนละประมาณ 8,000-9,000 บาท แต่รายจ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 8,500
บาทต่อเดือน
รายได้ที่ได้มาจากการทำงานทุกอย่างเข้ากระเป๋าเจ้าสัวหมดแล้ว
และยังต้องดูแลคนในบ้านและลูกหลานอีก
เพราะฉะนั้นคนไทยส่วนใหญ่ต่างไม่มีโอกาสที่จะออมเงิน
ที่คนต่างชาติชอบมาเกษียณก็เพราะประเทศของเขามีโครงสร้างที่ทำให้การออมเงินของประชาชนก่อนที่จะเป็นผู้สูงอายุเป็นไปได้
มีรายได้มากกว่ารายจ่ายและสามารถออมเงินได้ แต่สำหรับประเทศไทยไม่ได้เป็นอย่างนั้น
การบอกให้ประชาชนออมเงินเพื่อเมื่อชราขึ้นมาจะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลานและภาระของรัฐ
มันจึงเป็นไปไม่ได้เพราะโครงสร้างแบบนี้
พิธากล่าวต่อไป
ว่าสิ่งสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุและสังคมสูงวัย ประเทศไทยต้องมีอย่างน้อย 4 ขา
เปรียบเหมือนเก้าอี้ที่ต้องมี 4 ขาจึงจะมั่นคงได้
และประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะไปถึงเป้าหมายเหล่านั้น
1)
ปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ
เพื่อให้ผู้สูงอายุมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
2)
ศูนย์ชราบาล ที่ทั่วโลกต่างมีกันหมด
ให้ผู้สูงอายุสามารถมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทำงาน เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
เพื่อแก้ปัญหาผู้สูงอายุที่อยู่เพียงลำพังซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศไทยจากการที่ลูกหลานต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด
3)
การออกแบบเมืองสำหรับคนทุกคน (universal design) ที่ทุกคนสามารถเดินทางได้ด้วยตนเอง
ประเทศไทยทุกวันนี้โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
การเดินทางของผู้สูงอายุยังเป็นเรื่องยากลำบาก
ซึ่งนี่ยังสามารถกลายเป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ด้วย
4)
การจ้างงานผู้สูงอายุ
ทุกวันนี้แม้ภาครัฐพยายามจะให้เอกชนจ้างงานผู้สูงอายุ
แต่ตนก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องจ้างงานผู้สูงอายุเพิ่มเองด้วยเช่นเดียวกัน
“เราต้องให้ท่านมีโอกาส ไม่ใช่แค่การทำงานในภาคเอกชนกับบริษัท
แต่สามารถทำงานที่มีคุณค่าและ สามารถเป็นฐานให้กับคนรุ่นใหม่
คนวัยกลางคนอย่างพวกผมช่วยกันพัฒนาไปด้วยกัน
พวกเราเห็นคุณค่าของพวกท่านในประสบการณ์ที่ท่านมีกับสิ่งที่ทุกท่านได้ผ่านมาแล้ว”
พิธากล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #สวัสดิการผู้สูงอายุ