“ศิริกัญญา” ซักฟอกรัฐบาล อัดมาตรการเศรษฐกิจระยะยาวยังไม่มีแผน ฉะ
“ดิจิทัลวอลเล็ต” ออกทะเล ชี้จะใช้งบจาก 3 แหล่ง
แต่สุดท้ายก็ยังต้องกู้ ถามจี้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาขนาดนี้ตกลงมีประสบการณ์จริงหรือ?
วันที่
3 เมษายน 2567 ในการอภิปรายเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล ได้เป็นผู้อภิปรายถึงภาพรวมนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
พร้อมกับให้ข้อเสนอแนะ
ศิริกัญญาเริ่มต้นอภิปรายว่า
ในการแถลงผลงาน
3 เดือนของรัฐบาล หลายเรื่องรัฐบาลทำได้อย่างรวดเร็ว
หลายเรื่องทำไปแล้วตั้งแต่เดือนแรกที่จัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะการลดรายจ่าย
แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายโครงการที่ยังอยู่ในระดับการ “ขับเคลื่อน” “ผลักดัน”
“ส่งเสริม” “เร่งรัด” ยังไม่ได้มีผลอะไรเป็นรูปธรรม แต่รัฐบาลก็เอามาบรรจุไว้เป็นผลงานแล้ว
หลายเรื่องเป็นเรื่องเล็กน้อยจนไม่ควรจะอ้างถึงได้ ก็มีการเอามาบรรจุไว้เช่นกัน
เช่น การขยายเวลาเปิดทำการท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการแถลงผลงานรอบ 6 เดือน
ก็จะพบว่ารัฐบาลได้ผลิตซ้ำผลงานเมื่อ 3 เดือนก่อนมาเป็นผลงาน
6 เดือน โดยไม่มีอะไรใหม่ในเรื่องการลดรายจ่าย
มีเพิ่มมาแค่ไม่กี่เรื่องคือการปรับลดภาษีสรรพสามิตไวน์และสุราแช่ ราคายางพาราทะลุ
80 บาท และการปราบปรามสินค้าเถื่อน ดึงดูดนักลงทุนเชิงรุก
ขณะที่บางอย่างไม่ควรนำมาอ้างเป็นผลงานด้วยซ้ำ เช่นการ “วางเป้า”
ให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิติดอันดับ 1 ใน 50 ภายในหนึ่งปี เป็นต้น
ศิริกัญญาตั้งคำถามว่า
ผลงานที่เพิ่มขึ้นมามีน้อยเหลือเกิน เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน
ทำงานเป็นนายกฯ แบบนอกเวลา (พาร์ทไทม์) หรือไม่
ส่วนหนึ่งของเวลานี้เอาไปใช้ในการเป็น “เซลส์แมน” เดินทางไปต่างประเทศหรือไม่
ทำให้ไม่มีเวลามาบริหารราชการแผ่นดินแบบเต็มเวลา ผลงานรอบ 6 เดือนจึงมีสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาน้อยมากเหลือเกิน
และสิ่งที่เราเฝ้ารอคือเรื่องของการกระตุ้น ฟื้นฟู
และพยุงเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกลับไม่พบเห็นเลย
อย่างไรก็ตาม
เมื่อลงไปดูในรายละเอียด
ตนก็พบว่ามีบางโครงการที่ควรค่าแก่การตั้งคำถามและให้ข้อเสนอแนะ ได้แก่
มาตรการลดรายจ่าย
พบว่าหลายมาตรการของรัฐบาลกำลังทยอยหมดอายุ เช่น การลดค่าไฟเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วยที่หมดไปตั้งแต่
3 เดือนที่แล้ว จะใส่มาในผลงาน 6 เดือนทำไม
ทุกวันนี้ค่าไฟ 4.18 บาทต่อหน่วย
โดยที่ในเดือนพฤษภาคมจะต้องมีการจ่ายคืนหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) ซึ่งจริง ๆ แล้วต้นทุนค่าไฟวันนี้ลดลงมาเหลือ 3 บาทกว่าแล้ว
แต่หนี้
กฟผ.ที่ยังไม่ได้รับการสะสางเสียทีก็ได้กลายมาเป็นภาระที่รัฐต้องจ่ายเพิ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังมีมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน
1 บาท ซึ่งหมดอายุไปตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมปีนี้
ส่วนมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลก็กำลังจะสิ้นสุดมาตรการหลังสงกรานต์นี้
และน่าจะมีการปรับเพิ่มราว 4 บาท
แม้รัฐบาลจะยังคงใช้กองทุนน้ำมันในการอุดหนุนน้ำมันดีเซลอยู่
แต่ไม่รู้ว่าจะอุดหนุนไปได้อีกนานแค่ไหน
ขณะที่มาตรการตรึงราคาก๊าซหุงต้มก็หมดอายุไปตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคมแล้ว คำถามคือ รัฐบาลจะมีแนวทางต่ออย่างไรกับมาตรการลดค่าครองชีพ
หรือว่าจะเป็นเพียงแค่การลดค่าครองชีพแบบชั่วคราวโดยที่ยังไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาวตามมา
ทั้งนี้
เพราะมาตรการลดรายจ่ายเหล่านี้ล้วนแต่มีต้นทุนที่เกิดขึ้น เช่น
กองทุนน้ำมันที่จะต้องแบกรับภาระในการอุดหนุนน้ำมันดีเซล
ส่วนมาตรการลดภาษีดูทรงแล้วน่าจะไม่ได้ไปต่อ
เพราะขณะนี้กรมสรรพสามิตเองก็เก็บภาษีหลุดเป้าไปไกล โดย 5 เดือนแรกเก็บต่ำกว่าเป้าไปแล้วกว่า
3.2 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการที่เก็บภาษีน้ำมันไม่ได้
งานหนักก็เลยมาตกอยู่ที่กองทุนน้ำมันที่สถานะกองทุนเองเคยอยู่ในแดนบวก
แต่ทุกวันนี้ติดลบไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท
และถ้าดูยอดเงินกู้ก็จะพบว่ามีการกู้ไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาทจนใกล้จะเต็มเพดานที่เคยมีการออกกฎหมายอนุญาตให้กู้ไปแล้ว
คำถามคือ รัฐบาลจะมีแผนจัดการอย่างไรกับสถานะของกองทุนน้ำมัน จะมีการออก
พ.ร.บ.ขยายวงเงินกู้ยืมให้กับกองทุนน้ำมันอีกหรือไม่
และจะยังมีพื้นที่ทางการคลังเหลือเพียงพอหรือไม่
ประการต่อมา
ในเรื่องของการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
ถึงแม้รัฐบาลจะอ้างว่าราคาบางผลผลิตทางเกษตรเพิ่มขึ้นมา เช่น ราคายางพารา
แต่เมื่อไปดูข้อเท็จจริงแล้วก็พบว่าเป็นการเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก
ซึ่งปัญหาคือผลผลิตยางพาราในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาออกน้อย ทำให้สุดท้ายแม้ราคาผลผลิตจะขึ้น
แต่กลายเป็นว่ารายได้เกษตรกรติดลบ และติดลบต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 4 แล้ว
นี่เป็นสัญญาณอันตรายว่ากำลังซื้อของเกษตรกรกำลังตกลง
และอาจจำเป็นที่จะต้องมีการช่วยเหลือเพื่อพยุงกำลังซื้อของประชาชนในระดับรากฐาน
เพราะไม่ใช่แค่รายได้เกษตรกรเท่านั้นที่ติดลบ แต่ยังมีตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น
ยอดการซื้อรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ของปี 2567 โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์
ลดลงไปร้อยละ 10 ยอดรถกระบะจดทะเบียนใหม่หดตัวลงร้อยละ 36
ในเดือนมีนาคม เป็นต้น
ศิริกัญญาอภิปรายว่า
การพยุงกำลังซื้อเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะต้องทำตั้งแต่สองเดือนก่อนหน้านี้
ไม่ใช่เพิ่งมาทำหรือทำในอีก 6 เดือนข้างหน้า
คำถามคือภายในไตรมาสสองของปีนี้
เราจะได้เห็นมาตรการอะไรที่จะออกมาช่วยพยุงกำลังซื้อในระยะสั้นของประชาชนและเศรษฐกิจฐานรากหรือไม่
ในเรื่องของการท่องเที่ยว
แม้รัฐบาลจะออกมาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวประเทศต่าง ๆ
รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ก็อาจจะช่วยภาคการท่องเที่ยวไทยไม่ได้มากนัก
เพราะพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปแล้ว
หากดูจำนวนที่นั่งในเที่ยวบินจากจีนไปประเทศต่าง ๆ จะพบว่าก่อนหน้านี้ประเทศไทยนำมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ
แต่ในช่วงหลังโควิด-19
ญี่ปุ่นได้แซงประเทศไทยไปแล้ว
รวมถึงเกาหลีใต้ที่กำลังหายใจรดต้นคอจะแซงไทยเช่นกัน คำถามคือนโยบาย Tourism
Hub ของรัฐบาลจะช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างแบบนี้ได้อย่างไร
จะช่วยให้ประเทศไทยกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนมากเกินไปได้อย่างไร
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไปถึงมาตรการด้านการขยายโอกาส
โดยเฉพาะการเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยระบุว่า การเร่งเจรจา FTA
แม้จะเป็นสิ่งที่ดี
แต่การที่ประเทศไทยยิ่งเร่งเจรจาเอฟทีเอโดยไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกไปใช้สิทธิ์
สุดท้ายเงินและเวลาที่ใช้ไปในการเจรจาต่าง ๆ ก็จะสูญเปล่า ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่าง 4
FTA ที่น่าผิดหวังในการใช้สิทธิ์ ได้แก่ 1) เขตการค้าเสรีอาเซียน
(AFTA) ที่มีมากว่า 20 แล้ว
ทุกวันนี้ยังมีผู้ใช้สิทธิ์ไม่ถึงร้อยละ 75 2) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย
(TAFTA) ที่ใช้ไปได้แค่ประมาณร้อยละ 60 เท่านั้น และยังลดลงจากปีก่อนหน้าด้วย 3) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี
(AKFTA) ที่ใช้ยังไม่ถึงร้อยละ 50 และลดลงมาจากปีก่อนหน้าเป็นอย่างมาก
และที่เป็นความสูญเปล่ามากที่สุด
ก็คือ 4) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่ไม่มีใครใช้เลย
ทั้งที่มีจุดเด่นในการที่ประเทศไทยสามารถทำห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนร่วมกันได้
แต่ประเทศไทยยังไม่คงไม่ได้ใช้จุดแข็งนี้เลย ตนจึงขอให้ข้อเสนอแนะกับรัฐบาลว่า
การเจรจาที่เร่งไปย่อมสูญเปล่า ถ้าไม่ได้ให้ผู้ส่งออกได้มาใช้สิทธิ์กันอย่างเต็มที่
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไปถึงด้านการส่งออกว่า
นี่เป็นช่วงที่การส่งออกย่ำแย่ แต่ถ้าดูในรายละเอียดกลับพบว่าประเทศอื่น ๆ
ที่มีระดับเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทยและพบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นเดียวกัน
กลับมีการส่งออกที่ลดลงน้อยกว่าไทยมาก ดังนั้น ตนจึงขอให้รัฐบาลเริ่มคิดว่านี่คือปัญหาของเรื่องความสามารถในการแข่งขัน
โดยเฉพาะในยามที่จีนเริ่มรุกคืบดำเนินนโยบายเพิ่มการผลิตภายในประเทศให้มากขึ้น
และส่งออกสินค้ามายังประเทศใกล้เคียง
ประเทศไทยมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ
20 มาเป็นร้อยละ 41 โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม จีนก็ส่งเข้ามาตีตลาดจนขณะนี้ไทยขาดดุลทางการค้าต่อจีนหนัก
โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เหล็ก และเหล็กกล้า
เป็นสองปีติดแล้วที่ประเทศไทยขาดดุลการค้ากับประเทศจีน โดยในปี 2566 ขาดดุลไปแล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท
สินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้ามาแม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่ก็ต้องทวงถามไปยังรัฐบาลว่าจะมีมาตรการรับมืออย่างไร
แน่นอนว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องปกป้องทุกกลุ่มทุกอุตสาหกรรม
การค้าเสรีมีประโยชน์และผู้บริโภคได้ประโยชน์แน่นอน
แต่ถ้าจะเปิดกว้างแบบไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ควรเช่นกัน
เพราะปัญหาเริ่มลุกลามไปทั้งห่วงโซ่อุปทานแล้ว
ตั้งแต่รายใหญ่ไปจนถึงเอสเอ็มอีที่ต้องทยอยปิดกิจการลง เช่น
อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า
ไปจนถึงสินค้าอุตสาหกรรมเหล็ก ที่ถูกถล่มราคาอย่างหนัก
คำถามคือเรื่องของความสามารถในการแข่งขันกับประเทศจีน รัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของมาตรการการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่
เช่น การเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
ทุกวันนี้มีแรงงานที่จะได้รับผลกระทบอยู่ประมาณ 8.9 แสนคนที่อาจจะตกงานหรือไม่มีงานทำหากรัฐบาลไม่มีแผนการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน
ประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่กับสินค้าที่กำลังจะตกยุค ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สันดาป
ฮาร์ดดิสก์ หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่าง ๆ
ที่กำลังจะถูกลดความสำคัญลงไปจากกระแสเศรษฐกิจสีเขียวที่กำลังรุนแรงมากขึ้น
ตนจึงอยากสอบถามว่า
รัฐบาลนี้มีนโยบายรับมือการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคตอย่างไร
หรือจะยังจมปลักอยู่กับอุตสาหกรรมที่กำลังจะตกยุคแบบนี้
สุดท้าย
ศิริกัญญาได้อภิปรายตั้งคำถามถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต โดยระบุว่า
ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในรายละเอียดเป็นรอบที่ 5 แล้ว
และโครงการนี้ก็มีปัญหาในเรื่องรายละเอียดและสร้างความสับสนมาโดยตลอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแหล่งที่มาของเงิน จากช่วงก่อนเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยประกาศจะใช้งบประมาณปี 2567 พอเป็นรัฐบาลก็เปลี่ยนจะไปกู้ธนาคารออมสินแต่กฤษฎีกาได้ห้ามไว้ก่อน
ต่อมามีแนวคิดว่าจะใช้งบผูกพันปี 2567-2568 แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็บอกว่าผิด
พ.ร.บ.เงินตรา ต่อมาบอกว่าจะใช้ทั้งงบประมาณและ พ.ร.บ.เงินกู้ แต่เมื่อไปดูในร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ก็ปรากฏว่าไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ก็เลยมีการเปลี่ยนรอบที่ 4 จะเป็นการกู้ทั้งหมด
แต่ก็โดนสกัดตัดขาโดย ป.ป.ช. จึงต้องมีการเปลี่ยนอีกเป็นรอบที่ 5 ซึ่งตนขอเดาว่าน่าจะมีการใช้แหล่งเงินจาก 3 แหล่งด้วยกัน
คือ
1)
งบประมาณปี 2568 ที่เมื่อวานคณะรัฐมนตรีได้มีการทบทวนกรอบการคลังระยะปานกลาง
โดยให้เพิ่มงบประมาณปี 2568 เป็น 3.75 ล้านล้านบาท
และจะกู้ชดเชยขาดดุลเพิ่มอีก 1.5 แสนล้านบาท
ซึ่งก็ตรงกับสมมติฐานที่ตนตั้งไว้ตั้งแต่ต้นว่าน่าจะมีการแบ่งงบปี 2568 เพื่อนำมาใช้ในการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
2)
งบประมาณกลางปี 2567 ซึ่งรัฐบาลสามารถออก
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี หรือ “งบกลางปี” ขึ้นมาได้
ซึ่งในขณะนี้ก็จะสามารถกู้จนเต็มเพดานได้อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
แต่วิธีการนี้ก็ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าออกงบกลางปี 2567 แล้วจะไปใช้ปี
2568 ได้อย่างไร ซึ่งก็พบว่ามีช่องทางอยู่
คือน่าจะเป็นเอาไปใส่ไว้ในกองทุน
เพราะบรรดากองทุนหรือเงินทุนหมุนเวียนของรัฐบาลสามารถใส่เงินเข้าไปได้
และจะนำมาใช้เมื่อใดก็ได้ ใช้กับอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องส่งคืนคลัง
ซึ่งตนเข้าใจว่าน่าจะเป็นกองทุนประชารัฐเพื่อสวัสดิการ
ที่มีวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่าจะต้องให้กับเฉพาะผู้ที่มีสถานะยากจน มีรายได้น้อยตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้เท่านั้น
ซึ่ง ณ วันนี้มีคนที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่ที่ประมาณ 14 ล้านคน
ดังนั้น ตนจึงมีสมมติฐานว่าอาจจะต้องนำกลางปี 2567 มาใช้เพิ่มอีก
4 หมื่นล้านบาทหรือไม่ แต่ปัญหาก็คือมีแค่ 14 ล้านคนที่จะสามารถใช้งบตรงนี้ได้ จำนวนรวม 1.4 แสนล้านบาท
และยังมีส่วนที่ขาดอยู่ค่อนข้างมาก จึงนำมาสู่แหล่งที่ 3 คือ
3)
การสั่งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)
ดำเนินนโยบายแทนรัฐบาล ตามมาตรา 28 ของ
พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง คือการกู้เงินของ ธกส.มาใช้ก่อนแล้วค่อยใช้คืนทีหลัง
แต่วัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจของ
ธกส.เองก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าให้เป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาชนบท
จึงต้องมีการตีความอย่างตีลังกาว่า ธกส.จะสามารถแจกเงินดิจิทัลให้เกษตรกรได้หรือไม่
ซึ่งจะต้องเป็นไปในลักษณะของครัวเรือน
มากกว่าตามข้อมูลของทะเบียนเกษตรกรซึ่งมีอยู่ประมาณแค่ 8 ล้านคน
ทั้งหมดนี้
ศิริกัญญายังคงรอคำตอบจากรัฐบาลว่าตนจะคาดการณ์ผิดไปหรือไม่ ซึ่งหากเดาไม่ผิด
นี่เป็นความพยายามที่เรียกได้ว่าเลือดเข้าตาแล้ว
จากเดิมที่เคยพายเรือในอ่างกลับไปเริ่มที่ศูนย์ใหม่เรื่อย ๆ
วันนี้เรากำลังออกทะเลกันไปไกลแล้ว เพราะมูลค่า 5 แสนล้านบาทที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้สุดท้ายก็ต้องมาจากการกู้
เพียงแต่ว่าเป็นการกู้ที่อาจจะสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไปว่า
ที่ยังน่ากังวลอยู่ก็คือตัวระบบการโอนเงินไปยังประชาชน
แต่ยังพอมีเวลาที่รัฐบาลจะไปสะสางปัญหาปัญหานี้
เพราะบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็ต้องใช้เฉพาะผ่านบัตรประชาชน
จะมาโอนต่างธนาคารต่างธุรกรรมไม่ได้ ต้องมีเครื่องอ่านสำหรับบัตรประชาชนโดยเฉพาะ
เรื่องพวกนี้รัฐบาลน่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ในท้ายที่สุด
แต่ต้องยอมรับว่าทั้งหมดนี้ทำให้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตค่อนข้างเละเทะ
จากการที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินไปมาประมาณ 5 ครั้ง
โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมีรอบที่ 6 หรือไม่
มีการเลื่อนการแจกมาอย่างน้อย 4 ครั้ง
มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีแอปพลิเคชันที่ใช้ มีการเปลี่ยนจำนวนคนที่จะได้รับตลอดเวลา
“ทำให้ชวนคิดว่า
สรุปแล้วรัฐบาลนี้มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาก่อนจริงหรือไม่
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการคลังของรัฐบาลทำให้ดิฉันตกใจว่าทำไมถึงกล้าออกนโยบายในลักษณะแบบนี้
มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะขนาดนี้ ยิ่งแสดงว่าไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมใด ๆ
เลยมาตั้งแต่เริ่มต้น จึงต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ แก้ทีละวันแบบนี้”
ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไปว่า
การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้จะทำให้เกิดความเสียหายมาก
เพราะโมเมนตัมทางเศรษฐกิจหรือพายุหมุนจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้บริโภคที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย
แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินบ่อยครั้งขนาดนี้ ขณะที่เทคโนโลยีก็ยังไม่เสถียร
ก็มีโอกาสที่เงินจะตกหล่น และทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น
สุดท้าย
ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจได้แล้ว
ในฐานะที่รัฐบาลเองก็ได้อาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องให้กับประชาชน
แต่ทำไปได้แค่ไม่กี่นโยบาย ตอนนี้ก็นิ่งสนิท งบกลางก็ไม่มีออก
งบกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่มี แล้วยังจะต้องให้ประชาชนรอไปอีกจนถึงไตรมาส 4 ของปี 2567
โดยที่ยังไม่รู้ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #อภิปราย152 #ดิจิทัลวอลเล็ต