#14ปีเมษาพฤษภา53 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
ณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ : กฎหมาย พ.ร.บ.ป.ป.ช. ยังไม่หมดหวัง ยันยังมีเวลาอีก 1 ปี ยิ่งเดินหน้า
ยิ่งเจ็บ แต่ยังไม่หยุด ขอคนเสื้อแดงมองไปข้างหน้า กระทบกระทั่งหัวใจและความรู้สึกกันให้น้อยลง
พี่น้องที่เคารพครับ
ผมคิดว่าบรรยากาศของงานรำลึก 10เมษา วันนี้บรรยากาศจะแตกต่างจากทุกปี
แล้วก็ส่งผลให้ความคิดหรือความรู้สึกของพี่น้อง
ทั้งที่มาร่วมงานและที่ติดตามการถ่ายทอดก็อาจจะไม่เหมือนกัน หมายความว่าวันนี้พี่น้องที่เคยต่อสู้ด้วยกันในนามคนเสื้อแดง
หากมีความเชื่อเรื่องแนวทางของพรรคการเมืองแตกต่างกันเสียแล้ว
ก็อาจจะมีข้อสรุปสำหรับงานวันนี้ไม่ตรงกันมากขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าท่านจะคิดมองสถานการณ์หรือเชื่ออย่างไร
ผมเห็นว่าเป็นความจำเป็นที่วันนี้ผมต้องขึ้นมายืนพูดตรงนี้ในฐานะเจ้าภาพผู้จัดงาน
ผมมีสถานะเดียวกันกับอาจารย์ธิดา หมอเหวง และเพื่อน ๆ หลายคน
และมีสถานะรองจากญาติของวีรชน ซึ่งเขากำลังนั่งแถวหน้าอยู่ในเวทีนี้
เมื่อสักครู่นี้ด้วยความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพี่น้องทุกคน
ไม่ว่ากันนะครับ แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจญาติ ๆ ผู้เป็นเจ้าภาพ เข้าใจเพื่อนมิตรบางส่วนที่อยากให้อารมณ์ความรู้สึกมันถูกเก็บเอาไว้ในระดับหนึ่ง
ก่อนที่จะเกิดการพูด เกิดการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงท่าทีของผู้ที่มาร่วมงาน
ขอขอบคุณทุกพรรคการเมือง
ไม่ได้มีแค่แกนนำรัฐบาลกับแกนนำฝ่ายค้านนะครับ พรรคการเมืองอย่างประชาชาติ
อย่างไทยสร้างไทย เขาก็มีหรีด มีตัวแทน
แต่เนื่องจากว่าสองพรรคเป็นหลักของทั้งสองฝ่าย ขอบคุณตัวแทนของพรรคเพื่อไทย
ขอบคุณตัวแทนของพรรคก้าวไกล
แล้วให้บังเอิญว่าตัวแทนของพรรคทั้งสองคนที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้ เมื่อ 14
ปีที่แล้ว เขาทั้งคู่อยู่ในสนามการต่อสู้ร่วมกับพวกเรา “ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ”
เมื่อสักครู่ผมถามว่าปีนี้อายุเท่าไหร่ เขาบอก 35
นั่นหมายความว่า 14 ปีที่แล้วเขา 21 ปี
และเขาอยู่ที่นั่น เขาอยู่ผ่านฟ้า เขาอยู่ราชประสงค์ด้วยกันกับเรานี่แหละครับ
“ศศินันท์
ธรรมนิฐินันท์” สส.พรรคก้าวไกล อายุอานามก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับ “ชนินทร์”
สส.จากพรรคเพื่อไทย “แจม ศศินันท์” ก็อยู่ที่นั่น เป็นลูกหลานคนเสื้อแดงพร้อม ๆ
กันกับพวกเรานี่แหละครับ
เพราะฉะนั้น
พี่น้อง ผมเรียนอย่างนี้ ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับผม แต่สำหรับผม
คนอย่างชนินทร์ คนอย่างศศินันท์ เป็นความหวังของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 14
ปีที่แล้ว เป็นลูกหลานเป็นเยาวชนซึ่งหาได้ยากเหลือเกินในวันนั้น
ที่ยืนเคียงข้างและต่อสู้ด้วยกันกับพวกเรา ไม่ว่าวันนี้ท่านจะสนับสนุนแนวทางของใคร
สังกัดพรรคไหน แต่ผมว่าน่าภูมิใจนะครับ ที่ 14 ปีผ่านไป
เด็กที่เคยสู้กับเวทีเสื้อแดงวันนี้เป็นสส.และมาร่วมงานกับเราที่นี่ทั้งสองคน
และผมเรียนว่า
วันนี้เสร็จกิจกรรม ผมขออนุญาตเดินไปส่งทั้งคู่นะครับ ขออนุญาตเดินไปส่งชนินทร์จากพรรคเพื่อไทย
และศศินันท์จากพรรคก้าวไกลด้วยความขอบคุณในฐานะคนเสื้อแดงที่กำลังเริ่มแก่คนหนึ่ง
ขอบคุณลูกหลาน ขอบคุณน้อง ๆ
ส่วนเรื่องที่จะพูด
ผมก็เรียนอย่างนี้ว่า ที่จริงสิ่งที่มันเกิดขึ้นมา 14 ปี มันอยู่ในสัจจธรรมของชีวิตและสัจจธรรมของโลกนะครับ
ว่าทุกอย่างมันต้องมีเหตุ มีผล มีความเป็นไปของมัน
และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจหาข้อสรุปให้กับตัวเอง หาทางเลือกให้กับตัวเอง
นี่คือความชอบธรรม และเป็นสิทธิ์โดยสมบูรณ์ของทุกคน ไม่มีใครผูกยึดกับสิ่งใด
กับบุคคลคนใด หรือกระทั่งกับพรรคการเมืองไหน ตราบเท่าที่หัวใจไม่ยินยอมที่จะผูกยึด
ฉะนั้นผมคิดว่าเป็นเสรีภาพของทุกคนที่จะตัดสินใจเลือก แล้วเราเคารพกันที่ตรงนี้
เพียงแต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า
ถ้าย้อนเวลาไปได้ 14 ปี ชีวิตผมนะครับตั้งแต่เกิดอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายครั้ง
เพราะวัยรุ่นน่ะเกเร ตีรันฟันแทงกับเขา
แต่ไม่เคยเลยที่จะมีคนกลุ่มไหนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพร้อมตายด้วย พร้อมตายแทน
พร้อมปกป้อง พร้อมเคียงข้าง ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และคนกลุ่มนั้นคือคนเสื้อแดง
คือเพื่อนตายกลุ่มเดียวในชีวิตของผม และผมเชื่อว่าในชีวิตของพวกเรากันและกัน
ดังนั้น
คำว่าคนเสื้อแดง ไม่ใช่เสื้อตัวที่ใส่นะครับ ไอ้ที่ใส่นี่เขาเรียกเสื้อสีแดง
ไอ้คนที่อยู่ในเสื้อต่างหากเขาเรียน “คนเสื้อแดง” ไม่ว่ามันจะใส่เสื้อสีอะไร
แล้ววันนี้เมื่อมันเป็นงานรำลึกครบรอบ 14 ปีที่ผ่านมา
ผมจึงอยากจะบอกไปยังพี่น้องที่เป็นคนเสื้อแดงทุกคนนั่นแหละครับว่า
วันนี้ก็คือวันนี้ แต่วันนี้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว
เราอยู่ร่วมกันตรงนี้ เราอยู่ร่วมกันบนถนนเส้นนี้
แล้วเรารำลึกถึงค่ำคืนคืนนี้ด้วยกัน ด้วยหัวใจที่รัก ด้วยหัวใจที่ผูกพัน
และด้วยความซื่อตรงต่อกันในวันที่มีแต่เรากับหลังพิงกันเท่านั้น
ฝ่าลูกกระสุนตลอดถนนราชดำเนิน
พี่น้องครับ
ผม ตั้งแต่ประกาศตัดสินใจทางการเมือง
เพิ่งออกมาในงานที่จะต้องพูดคุยทางการเมืองครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรก
กรรมาธิการนิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎรเขาเชิญผมไปให้ความเห็น ผมก็ไปพูดตรง ๆ
อย่างที่ผมพูด ชัด ๆ ว่า การนิรโทษกรรมคราวนี้จำเป็นที่จะต้องนิรโทษกรรมทุกฝ่าย
ทุกคน ทุกข้อกล่าวหา ทุกบทบัญญัติ ทุกมาตรา ไม่เว้นประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผมบอกให้ มวลชนที่เคยเห็นต่างกับผมมาตลอด ผมนั่งต่อหน้าฝ่ายตรงกันข้ามากับกลุ่มมวลชนที่เคยเป่านกหวีด
ที่เคยเดินขบวน ผมบอกพวกเขาว่าถ้าคุณจะไม่ติดคุกด้วยพ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ แล้วผมติดคุก
เพื่อนผมติดคุกมากมายกว่าคุณแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมจะต้องเสียเปรียบ ผมไม่รู้สึกว่าผมจะต้องอาฆาตแค้นแล้วเฝ้าภาวนาให้คุณต้องติดคุกเท่า
ๆ กัน เพียงแต่วันนี้ถ้าปล่อยคุณได้ ก็ต้องปล่อยผู้ต้องขังตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 112 ทุกคน นี่คือสิ่งที่ไปพูดในวันนั้น
และครั้งที่
2 ก็เพิ่งมานี่แหละครับ
มาเพื่อบอกพี่น้องว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงมันไม่มีคนเสื้อแดงคนไหนลืมลงหรอกครับ
ค่ำคืนที่โหดร้ายแบบนั้น มันไม่มีคนเสื้อแดงคนไหนไม่เจ็บไม่ปวดละครับ
แล้วตลอดเวลาของคืนนั้น ตลอดเวลาของทุกวันจนถึง 19 พฤษภาคม
ล่วงจนเช้าวันที่ 20 พฤษภาคม
ก็มีแต่คนเสื้อแดงนี่แหละครับที่จะเข้าใจความโหดร้ายของมัน
ที่จะเจ็บปวดกับความสูญเสียของมัน และที่พร้อมจะรำลึกนึกถึงมันแม้ว่าจะได้มาหรือไม่ได้มาที่นี่ก็ตาม
พี่น้องครับ
ผมร่วมจัดงานนี้กับพี่ ๆ น้อง ๆ มาทุกปี แล้วก็ยืนมาพูดอยู่ตรงนี้ครับ
จนสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่มันเป็นอยู่
สิ่งที่เรากำลังเผชิญสำหรับการทวงถามความยุติธรรมคืออะไรครับ คือ 1)
กระบวนการคดีตามศาลอาญาปกติ คดีมันไปถึงศาลรอบหนึ่งแล้วนะครับ ไม่ใช่ไม่เคยไปถึง
ในรัฐบาลชุดก่อนการรัฐประหาร พูดให้ชัดคือรัฐบาลท่านนายกฯ ปู คดีมันไปถึงศาลแล้ว
จำเลยที่ถูกฟ้องคือ นายอภิสิทธิ์ -นายสุเทพ
แล้วก็กลุ่มนายทหารหลายต่อหลายคน แต่แน่นอนที่สุดละครับ เบอร์ใหญ่ก็นายกฯ กับรองนายกฯ
เป็นจำเลยแล้วครับ ดีเอสไอเป็นพนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง อัยการสั่งฟ้อง เรื่องถึงศาล
จำเลย 2 คนที่เป็นนายกฯ กับรองนายกฯ ไปร้องแย้ง
บอกว่าศาลอาญาไม่มีอำนาจ แล้วสู้กันจนชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นบอกว่าศาลอาญาไม่มีอำนาจ ศาลฎีกาก็บอกว่าไม่มีอำนาจ
ไล่ให้ไปเริ่มต้นที่ ป.ป.ช.
นั่นหมายความว่า
วันนี้ นาทีนี้ พ.ศ.นี้
กระบวนการในศาลอาญาปกติมันไม่สามารถจะดำเนินคดีกับผู้สั่งการได้แล้ว
ยกเว้นไปยกเลิกคำพิพากษา คำวินิจฉัยศาลฎีกาดังกล่าว
ซึ่งถ้าดูในสถานการณ์ที่มันเป็น
คำวินิจฉัยที่บอกว่าใครรัฐประหารสำเร็จแล้วเป็นรัฏฐาธิปัตย์ก็คำวินิจฉัยศาลฎีกา
กี่สิบปีมาแล้วยังเลิกไม่ได้ นี่คือความจริงที่เราเจอ และอธิบดีดีเอสไอคนที่ทำคดี ชื่อ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ถูกฟ้องกลับ ติดคุก เดี๋ยวนี้ยังอยู่ในคุกเพราะทำคดีนี้แหละ
สถานการณ์ต่อมา
เมื่อให้ไปเริ่มที่ ป.ป.ช. ก็ไปกันแล้วครับ แล้ว ป.ป.ช.
ก็ชี้มูลว่าผู้บงการฝ่ายการเมืองไม่มีความผิด ยกคำร้อง
ผมไปนั่งฟังเขาแถลงอยู่เองครับ ไปนั่งสบตากับเลขาธิการ ป.ป.ช. คนที่แถลง
เขาแถลงเสร็จผมตั้งคำถามว่าท่านเลขาฯ ยอมรับได้มั้ยว่าสิ่งที่แถลงออกมาคือความยุติธรรม
เขาก็พูดไม่ได้ แต่นั่นแหละครับ มันมีผลให้คดีที่ ป.ป.ช. ก็ตันลงอีก
แล้วมันเหลืออายุความปีเดียวครับ คดีที่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. อายุความ 15 ปี
เมื่ออายุความ 15 ปี วันนี้เรารำลึกครบรอบ 14 ปี เหลือปีเดียว การเห็นด้วยหรือเห็นต่างกันเรื่องแนวทางในการทวงถามความยุติธรรมไม่มีปัญหานะครับ
เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่เลือกแนวทางนี้ เพราะเห็นว่าถ้าปล่อยนานเนิ่นช้าไปครบ 15 ปี เขาหยุดเอาเฉย ๆ แล้วมันจะตันทั้งศาลอาญา มันจะตันทั้งการไปเริ่มที่
ป.ป.ช. ก็เลยชวนกัน
ทีนี้พอเล่ามาถึงตรงนี้ก็ขอความกรุณาพี่น้องอย่าได้มองเป็นมุมเรื่องการเมือง
เรื่องพรรค เรื่องฝ่ายเลยครับ นี่เรื่องคนเสื้อแดง
ก็ผมคุยกับพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ผมยังหาเสียงอยู่ ร่างกฎหมาย 2 ฉบับ
แก้ พ.ร.บ.ป.ป.ช. กับแก้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความในศาลนักการเมือง
เพื่อตั้งใจให้คดีนี้มันไปเริ่มที่ ป.ป.ช. ได้ หลักการของมันคือ คดีที่ ป.ป.ช.
ยกคำร้อง ให้อัยการสูงสุดเรียกสำนวนทั้งหมด
พยานหลักฐานทั้งหมดจากป.ป.ช.ที่ยกคำร้องไปพิจารณา
ปกติถ้ายกคำร้องแล้วจบเลยนะครับ แต่ที่เราแก้นี่ให้อัยการสูงสุดเรียกไป
ถ้าอัยการเห็นฟ้อง ก็สู้กันในศาลฎีกานักการเมือง ถ้าอัยการตีตกไม่ฟ้อง
ไม่ตัดสิทธิ์ผู้เสียหาย พี่น้องผมที่นั่งข้างหน้า ฟ้องตรงต่อศาลฎีกานักการเมืองได้
ถามว่ามันยากมั้ยครับทางที่ทำนี่
ยาก! แต่ถามต่อว่ามันมีทางไหนง่ายบ้าง ถ้ามันง่ายมันไม่มาถึง 14 ปี แล้วมานั่งทวงกันอยู่ตรงนี้หรอกครับ แต่ว่าโลกของความเป็นจริงมันเป็นเส้นทางที่เดินยิ่งไกล
เส้นทางที่มันทำให้เกิดความยากลำบากที่ไม่มีใครเข้าถึงความรู้สึกแบบนี้เหมือนเราได้
ผมพูดต่อหน้าพี่ ๆ ต่อหน้าญาติ ต่อหน้าภาพถ่ายของคนที่เสียชีวิตนะครับ
ว่าผมไม่เคยลืมเลยสักวัน และผมพยายามสุดความสามารถตามสติปัญญาตามกำลังที่ผมทำได้
ผมยังสบตาพวกพี่ได้ทุกวัน ผมยังมองหน้าคนตายในรูปได้ทุกคน เพราะผมพยายาม
ผมไม่เคยลืม แต่มันยาก
กฎหมายลูก
2 ฉบับ พอมันเป็นกฎหมายลูก รัฐธรรมนูญเขาเขียนว่าต้องไปเห็นชอบในรัฐสภา
หมายความว่าต้องมี สว. มาเอี่ยวด้วย พอเอาเข้ารัฐสภา พี่น้องครับ
สิ่งที่เกิดก็คือมันต้องมีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อันนี้เป็นไปตามกฎหมาย สส.เขายื่นต่อประธานสภาในวันที่ 31
ส.ค. แล้วมีขั้นตอนในการรับฟังความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร
ป.ป.ช.เขาแย้งมาว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่ในชั้นเอกสารนั้นปรากฏหลักฐานว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานอัยการสูงสุดเห็นชอบในหลักการนะครับ ในชั้นแรกมันเป็นแบบนี้
เห็นไม่ตรงกันนะครับ อัยการสูงสุดกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติบอกว่าเห็นชอบ เดินได้
เรื่องเรื่อยมาจนถึงการประกาศบรรจุในวาระการประชุมรัฐสภา
บรรจุวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมานี่แหละครับ วันที่ 12 ก.พ. ผมได้รับแจ้งตอนเย็นจากวิปรัฐบาลว่าเลขาธิการป.ป.ช.
มาในที่ประชุมวิป แล้วมาแถลงมติที่ประชุมใหญ่กรรมการป.ป.ช.ว่า
เขาเห็นว่าร่างกฎหมายนี้ขัดรัฐธรรมนูญ พอเลขาธิการป.ป.ช.มาแถลงแบบนั้น
สถานการณ์ในวิปกระเพื่อมครับ ตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุด ศาลฎีกานักการเมือง
แม้กระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เริ่มสงวนท่าทีในการแสดงความคิดเห็น
วิปรัฐบาลก็โทรมาเล่าผมว่าเรื่องมันเกิดแบบนี้ ผมก็ขอร้องเขา ผมบอกว่าอาจารย์ครับ
พี่ครับ มาถึงตรงนี้แล้วเดินหน้าเถอะครับ เดินไปจนถึงวันที่ 13 ผมไปพบหัวหน้าพรรคเพื่อไทยตอนเช้า ลงมานั่งแถลงด้วยกันเดินหน้าในที่ประชุม
บ่ายผมไปพบหัวหน้าพรรคก้าวไกล
คุณชัยธวัช นี่แหละครับ คุณธีรัจชัย พันธุมาศ และสส.หนุ่ม ๆ อีก 3-4 ท่าน
ประทานโทษเถอะผมจำชื่อท่านไม่ได้ขออภัย พรรคก้าวไกลรับฟังแนวคิดก็บอกว่าเห็นด้วย
พร้อมที่จะโหวตให้กันนะครับ ชัยธวัชถึงขนาดเอากระดาษมาเขียนตัวเลขว่าถ้าเพื่อไทยเอา
ก้าวไกลเอา แล้วเราได้พรรคไหนอีก เราได้กี่แต้ม นับด้วยกันอยู่นี่แหละครับ
นับแล้วชัยธวัชเขียน เขียนแล้วบวก ได้ 312 ครับ
ที่ผ่านนี่ต้อง 376 ครบเต็มรัฐสภาต้อง สว. ด้วย ชัยธวัชก็บอกว่า
พี่ เรามีแค่นี้นะ พี่เอาจากที่ไหนได้อีก ผมก็บอกว่าต้องเอาได้ สว.
เดี๋ยวก็ต้องช่วยกันเจรจา พรรคการเมืองไหนก็ช่วยกันเจรจา
เขาก็กุลีกุจอกันนะครับว่าเดี๋ยวจะเจรจาหาคะแนนมาเติมกันให้
แต่พี่น้องครับ
ข้างนอกสภา พรรคการเมืองหรือแม้กระทั่งวุฒิสภาปฎิกิริยาแตกต่างไปแล้ว
เขาแสดงความกังวล แล้วแสดงความไม่เชื่ออย่างชัดเจนว่ากฎหมายนี้จะผ่านได้
สัญญาณมันเป็นแบบนั้น อาจารย์ชูศักดิ์เลยโทรมาหาผมบอกเต้นเรื่องเป็นแบบนี้
แล้วถ้าเอาเข้าแพ้นะโว้ย ผมก็เห็นตัวเลขที่จิ้มกันอยู่ว่ามี 312 ครับ
แพ้! ท่านครับ ผมไม่รู้ ยอม ถูกหรือไม่ถูก
แต่อาจารย์ชูศักดิ์บอกว่าจำเป็นต้องถอยออกมาก่อนเต้น แล้วปรับกันใหม่ คุยกันใหม่
เดี๋ยวเผื่อสว.พวกนี้ไป เผื่อหาได้เพิ่ม โอกาสเอากลับเข้าแล้วชนะมันมากกว่าวันนี้ พี่น้องครับ
ผมเหลือเวลาปีเดียวเดี๋ยวจะขาดอายุความ ผมก็เลยบอกอาจารย์ครับ ถ้าอย่างนั้นถ้าอาจารย์ถอย
ถอยออกมาก่อนแล้วเดี๋ยวมาว่ากันใหม่
อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เข้าไปแพ้เสียตั้งแต่ต้นมือ
ยังมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งในห้วงเวลา 1 ปีนี้
ผมเล่าให้ฟังเพราะผมไม่ได้ไปออกทีวีที่ไหน
เขาชวนผมก็ไม่ได้ไป เพราะผมเป็นพนักงานเสริฟ กิจกรรมการเมืองที่ไหนผมก็ไม่ได้ไป
แต่มาวันนี้ มานั่งต่อหน้าพ่อกับแม่เทิดศักดิ์ มานั่งต่อหน้าพี่สาวพี่ทศชัย
มานั่งต่อหน้าใครต่อใครหลายคนที่เป็นผู้เสียชีวิตแล้วญาติเขามา
ผมถึงมาบอกพวกพี่ว่าผมยังไม่หยุดหรอก ยิ่งเดินมันยิ่งเจ็บทุกที
แต่ยังไงผมก็ไม่หยุด แล้วผมไม่ปฏิเสธทุกแนวทางนะครับ ถ้าจะทำได้ มีแนวทางไหน ๆ
ถ้าจะทำได้ ทำเถอะครับ แต่อย่างที่ผมบอก
สติปัญญาผมแนวคิดผมจะไปทางนี้ด้วยเหตุผลอย่างที่ว่า และข้อเท็จจริงอย่างที่เล่า
แล้วถ้าใครมีแนวทางอื่น ๆ อีกก็เดินครับ ยิ่งทำมากคน ยิ่งทำมากทาง
มันยิ่งดีไม่ใช่หรือครับ เพราะเรื่องอย่างนี้มันต้องไม่ละความพยายาม
พี่น้องครับ
พอพูดมาถึงตรงนี้
ได้เล่าในสิ่งที่หลายคนตั้งคำถามผมตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าถอนกฎหมาย
ผมก็รอจนในวันนี้ รอจนวันที่นั่งสบตากับญาติคนตายนี่แหละ
ผมมาเล่าให้ฟังว่าเรื่องมันมาแบบนี้ครับ
สุดท้าย
ผมอยากจะบอกพี่น้องว่า การเมืองแบบนี้มันยังจะมีอะไรเกิดขึ้นและผันเปลี่ยนอีกมาก
การเมืองแบบนี้มันจะเป็นการเมืองที่ประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องตั้งสติ
อดทน และยังมุ่งมั่นในการเดินไปข้างหน้าอย่างมาก
ไม่แปลกหรอกครับที่วันนี้คนที่เคยใส่เสื้อสีเดียวกันเรียกตัวเองว่าคนเสื้อแดงจะเชื่อคนละอย่าง
จะวางใจคนละพรรค จะรักคนละกลุ่ม ไม่แปลกนะ วันนี้พี่น้องเลือกก้าวไกลผมก็เคารพ
คนที่เลือกเพื่อไทย อยู่ ๆ ผมจะไปประณามเขาได้ยังไงก็ในเมื่อวันหนึ่งผมเชื่อว่า
ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกเผด็จการไล่ล่า
ผมว่าไอ้คนที่มันเป็นเสื้อแดงที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ไอ้คนพวกนั้นแหละครับหวังใจว่าจะช่วยได้
คนพวกนั้นนะครับเพื่อนตายแท้ ๆ
ดังนั้นมองไปข้างหน้าเถอะครับ
ผมไม่รู้มีสิทธิ์จะพูดหรือเปล่าถ้าผมจะบอกว่า
เรากระทบกระทั่งหัวใจและความรู้สึกของกันและกันให้น้อยลงเถอะครับ
คำพูดหรือการย่ำยีที่ฝ่ายตรงข้ามเคยกระทำต่อเรา
เวลาถูกกระทำจากเพื่อนที่เคยกอดคออยู่ด้วยกันมันเจ็บกว่าหลายเท่า กองเชียร์พรรคก้าวไกลวันนี้
ถ้าถูกเพื่อนที่เคยต่อสู้ด้วยกันชี้ว่าไอ้พวกล้มเจ้า
ผมว่านี่ก็เป็นข้อหาที่เขาเหยียบย่ำทำลายและหาเรื่องเข่นฆ่ากักขังมาตลอด
กองเชียร์พรรคเพื่อไทย ถ้าถูกเพื่อนที่เคยกอดคอสู้มาด้วยกัน เรียกว่าไอ้ควาย
ไอ้สมุน ไอ้ทาส เห็นแก่เงิน ก็ถือว่าเป็นอาวุธอันเก่าที่เขาใช้โบยตีพวกเรากันเองตลอดมา
ดังนั้น
ก็ฝากพี่น้องไว้พิจารณาที่ตรงนี้ แล้วก็ขอขอบคุณทุกคนทุกท่านที่ยังทำให้ 14
ปีมีความหมาย 15 ปี 16 ปี 17 ปี และไม่ว่ากี่ปีมันจะยังมีความหมายในหัวใจเราเสมอตลอดกาล ตลอดไป
เพราะเราได้เอาชีวิตเอาอิสรภาพของเราเองเขียนคำว่า “คนเสื้อแดง”
ในบรรทัดประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณครับ