“พริษฐ์” เปิด 3 ข้อเสนอเร่งด่วนจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
(1) รัฐบาล-ฝ่ายค้านหารือประธานสภาฯ ให้เดินหน้าประชามติ 2
ครั้ง (2) หากต้องทำประชามติ 3 ครั้ง ควรออกแบบคำถามหลักของประชามติครั้งแรกให้เปิดกว้าง และ (3) เปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญเพื่อร่วมแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ
วันที่
22 เมษายน 2567 พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล
กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมรัฐบาลมีแผนจะเสนอให้ ครม.
เดินหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการทำประชามติรวมกัน 3 ครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องที่รัฐสภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับจำนวนประชามติ
ว่าในภาพรวม
พรรคก้าวไกลอยากเห็นการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นได้จริงโดยเร็วที่สุด
โจทย์เรื่องควรทำประชามติ
2 หรือ 3 ครั้ง
เป็นข้อถกเถียงที่มีมานานและไม่ควรเป็นเหตุให้การเดินหน้าเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าช้าไปมากกว่านี้
ตนจึงมี 3 ข้อเสนอต่อรัฐบาลดังต่อไปนี้ ก่อนการประชุม ครม.
ที่จะเกิดขึ้นในวันอังคาร ซึ่งคาดว่าจะมีมติให้เดินหน้าการทำประชามติ 3 ครั้ง
ข้อเสนอที่
1 ตนอยากให้ สส. รัฐบาลและฝ่ายค้าน ร่วมมือกันในความพยายามครั้งสุดท้าย
เพื่อโน้มน้าวให้ประธานรัฐสภาพิจารณาทบทวนบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร.
ของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
เพื่อเดินหน้าตามเส้นทางประชามติ 2 ครั้ง เพราะหากสำเร็จ
จะประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ
ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเห็นตรงกัน
ว่าการที่ประธานรัฐสภาบรรจุร่างดังกล่าว
จะเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 และความเห็นส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก
(อย่างน้อย 5 จาก 9) การตีความเช่นนี้ยิ่งได้รับคำยืนยันที่ชัดเจนขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องโดยให้เหตุผลส่วนหนึ่งว่า
“ได้วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว” ในคำวินิจฉัย 4/2564 และแผนผังที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่ออกมาที่ระบุชัดว่าขั้นตอนทั้งหมดในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
จำเป็นต้องมีประชามติแค่ 2 ครั้ง
สำหรับใครที่กังวลว่าแม้ประธานรัฐสภายอมทบทวนและบรรจุร่าง
สมาชิกรัฐสภาบางส่วน (โดยเฉพาะ สว.) ที่ไม่เห็นด้วย
อาจพยายามยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
เราอย่าลืมว่าการยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องอาศัยมติเสียงข้างมากของรัฐสภา
ดังนั้นหาก สส. รัฐบาลและฝ่ายค้าน
ยืนยันร่วมกันว่ารัฐสภาจะเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อได้
ก็ไม่มีทางที่เสียงสนับสนุนให้ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง
(2) จะมีเพียงพอ
สำหรับใครที่กังวลว่าแม้ประธานรัฐสภายอมทบทวนและบรรจุร่าง
ร่างดังกล่าวก็อาจจะไม่ได้เสียงสนับสนุนจากอย่างน้อย 1 ใน 3
ของ สว. ซึ่งจำเป็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เราอย่าลืมว่าอีกไม่ถึง
1 เดือน กำลังจะมีกระบวนการคัดเลือก สว. ชุดใหม่ 200 คน หากกระบวนการเดินหน้าได้อย่างราบรื่นตามกรอบเวลาที่กำหนด
สว.ชุดใหม่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่จะถึงนี้
และอาจมีมุมมองต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เหมือนกับ สว. ชุดปัจจุบัน 250 คน
พริษฐ์กล่าวต่อว่า
ข้อเสนอที่ 2
หากความพยายามของเราไม่สำเร็จ และมีความจำเป็นที่จะต้องทำประชามติ 3
ครั้ง
ตนอยากให้รัฐบาลเลือกคำถามหลักของประชามติครั้งแรกให้เปิดกว้าง
เพื่อเพิ่มโอกาสที่ประชามติจะได้รับความเห็นชอบจากประชาชน
คำถามประชามติที่ถูกเสนอโดยคณะกรรมการศึกษาฯ
(“ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป
หมวด 2 พระมหากษัตริย์”) เป็นคำถามที่มีการ “ยัดไส้”
เงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยในตัวคำถาม
ซึ่งอาจทำให้ประชาชนบางคนที่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม
แต่ไม่เห็นด้วยกับอีกบางส่วนของคำถาม ไม่รู้ว่าจะลงมติเช่นไร
ซึ่งเสี่ยงจะทำให้ในบรรดาคนที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะลงคะแนน
“เห็นชอบ” เหมือนกัน อย่างเป็นเอกภาพ
ตนเห็นว่ารัฐบาลควรใช้คำถามหลักของประชามติครั้งแรกที่เปิดกว้าง
เช่น “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่?” เพื่อทำให้คนที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทุกคน
(ไม่ว่าจะเห็นต่างกันในรายละเอียดบางส่วน) ลงคะแนน “เห็นชอบ” เหมือนกัน
อย่างเป็นเอกภาพ และเพิ่มโอกาสที่ประชามติครั้งแรก (หากจำเป็นต้องจัด)
ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน
ซึ่งคำถามลักษณะเปิดกว้างเช่นนี้
ไม่ได้เป็นเพียงข้อเสนอของพรรคก้าวไกลและภาคประชาชนบางกลุ่ม
แต่ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกคำถามประชามติที่ทางคณะอนุกรรมการรับฟังความเห็นฯ
ของรัฐบาล ที่นำโดยคุณนิกร จำนง ได้เสนอให้คณะกรรมการศึกษาฯ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน
แต่คณะกรรมการศึกษาฯ ที่นำโดยคุณภูมิธรรม เวชยชัย ตัดสินใจไม่เลือก
พริษฐ์กล่าวว่า
ข้อเสนอที่ 3
คือไม่ว่ารัฐบาลจะลงเอยที่ทางเลือกไหนระหว่างประชามติ 2 ครั้งหรือ 3 ครั้ง
สิ่งที่รัฐบาลควรร่วมมือกับฝ่ายค้านทำทันที คือการเปิดประชุมสภาฯ
สมัยวิสามัญเพื่อเร่งแก้ไข พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2564 ให้ทันกรอบเวลาที่จะมีการจัดทำประชามติ
เพราะทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเห็นตรงกันว่า พ.ร.บ.ประชามติ
ปัจจุบันมีข้อกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไข “เสียงเกินกึ่งหนึ่งสองชั้น” (Double
majority) ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมระหว่างแต่ละฝ่าย
เพราะเปิดช่องให้ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ประชามติผ่าน
อาจเลือกใช้วิธีนอนอยู่บ้านและไม่ออกมาใช้สิทธิ เพื่อหวังคว่ำประชามติ
โดยการกดสัดส่วนผู้ออกมาใช้สิทธิลง
แม้ฝ่ายตนเองจะมีจำนวนน้อยกว่าฝ่ายที่ต้องการให้ประชามติผ่านก็ตาม โดยทั้ง 2
พรรคได้ยื่นร่างแก้ไขเข้าสู่สภาฯ ตั้งแต่ต้นปี
ตอนนี้ผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นและบรรจุเข้าระเบียบวาระการะประชุมแล้ว