วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.67 ตอน : เป็นคนเดือนตุลาที่เข้าป่า แต่กลับมาหนุนรัฐประหาร ขวางการต่อสู้ของประชาชน

 


แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.67 

ตอน : เป็นคนเดือนตุลาที่เข้าป่า แต่กลับมาหนุนรัฐประหาร ขวางการต่อสู้ของประชาชน


สืบเนื่องมาจากกรณีในวันที่ 14ตุลา เราได้เห็นปรากฏการณ์อันหนึ่งของกรณี 14ตุลา ครบรอบ 48 ปี ที่มีคณะกรรมการมูลนิธิวีรชน 14ตุลา ออกมาโวยวายขัดขวางที่นักศึกษาจะมีการพูดฟรีสปีชและมีการแขวนป้าย ซึ่งอ้างเหมือนกับราชการเลยว่าไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการมูลนิธิฯ ประมาณนั้น


ดิฉันก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถ้าเป็นคนรุ่นดิฉัน ซึ่งผ่านมาตั้งแต่ 14ตุลา และก็รู้กระบวนการความคิดของปัญญาชนไทยมาเป็นลำดับก็จะไม่รู้สึกแปลกใจ แต่วันนี้ก็อยากจะมาพูดเพื่อที่จะเป็นประหนึ่งเรื่องเล่าให้คนรุ่นถัด ๆ มา หรือคนรุ่นเดียวกับดิฉันที่ยังอาจจะมีข้อมูลไม่รอบด้านได้ฟัง ก็คือเรื่องราวที่ว่า “เป็นคนเดือนตุลาที่เข้าป่า แต่กลับมาหนุนรัฐประหารและยังขัดขวางการต่อสู้ของประชาชน” มันเป็นไปได้ยังไง? ว่าทำไมคนที่ดูเหมือนเป็นฝ่ายซ้าย พูดตรง ๆ ก็เป็นที่รู้ทั่วไป อย่างคุณประสาร มฤคพิทักษ์ อยู่ในพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายชัดเจนในช่วงหลัง 14ตุลา และเลขาธิการพรรคคือ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ก็ถูกฆ่า 


ดังนั้น ตอนในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 6ตุลาด้วยซ้ำ คุณไขแสงซึ่งเป็นโต้โผใหญ่ของพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยก็ได้บอกพวกคนในส่วนในพรรคสังคมนิยมและกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นพวกแกนนำ 14ตุลาเก่าว่าจะมีการปราบใหญ่ ดังนั้นเมื่อมีการทยอยเสียชีวิตของ คุณแสง รุ่งนิรันดรกุล, คุณอมเรศ ไชยสะอาด ที่มหิดล แล้วก็คุณนิสิต จิรโสภณ แล้วก็อาจารย์บุญสนอง ก็ไม่ว่าจะเป็นธีรยุทธ, เสกสรรค์, หมอเหวง แล้วก็คุณประสาร มฤคพิทักษ์ คือพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยเข้าไปหมด เป็นแนวร่วมพคท.แบบเป็นองค์กร แต่ส่วนที่เป็นบุคคลก็เข้าไปเยอะ


ดังนั้น ดิฉันไม่ได้หมายถึงคน ๆ เดียว ดิฉันหมายถึงขบวนการปัญญาชน 14ตุลา ที่เข้าป่า แล้วก็เห็นกระแสซ้าย ถือกระแสซ้ายเป็นด้านหลัก เข้าป่าแล้วออกมา มันกลายเป็นฝ่ายขวา กลายเป็นว่ามาสนับสนุนรัฐประหารได้ยังไง? 


แล้วหลายคนก็คือเป็นทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นทั้งกปปส. แล้วจนพันธมิตรฯ ก็สลายไปแล้ว กปปส.ก็สลายไปแล้ว แต่ยังมีติดการกระทำในลักษณะที่ขัดขวางประชาชน แล้วก็กลุ่มคนเหล่านี้ที่แล้วมาด้อยค่าการต่อสู้ประชาชน ด้อยค่าคนเสื้อแดง ดูถูกเหยียดหยามคนเสื้อแดง จึงสร้างกระแสของปัญญาชนไทย ทำให้ปัญญาชนไทยในทัศนะของดิฉันนะคะ “เพี้ยน” แทนที่จะยืนข้างการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพประชาชน คือคุณไม่ต้องเป็นคนเสื้อแดงก็ได้ 


แต่ถามว่าคุณสนับสนุนรัฐประหารได้ยังไง? 

คุณสนับสนุนกระบวนการโหนเจ้าได้อย่างไร?

และคุณมาโจมตี ปล่อยให้มีการฆ่าประชาชนกลางเมือง โดยที่คุณด้อยค่าการต่อสู้ประชาชน แล้วยังมาเป่านกหวีดอีก มันทำได้ยังไง? มาจนกระทั่งบัดนี้ บางคนก็อาจจะมีการเปลี่ยนบ้าง ก็คือยกตัวอย่างเช่น องค์กรเอกชนด้านต่าง ๆ แต่ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าป่านะคะ องค์กรที่เป็นเอ็นจีโออยู่ในประเทศไม่ได้เข้าป่า แต่คนส่วนหนึ่งที่เข้าป่าแล้วกลายมาเป็นขวา ดิฉันก็คิดว่า ดิฉันอยากจะโฟกัสตรงนี้ก็คือว่าทำไมมันถึงเป็นไปได้ แต่ว่าการส่งผลสะเทือนต่อปัญญาชนส่วนต่าง ๆ มันมีอยู่มาก


ตรงนี้ดิฉันก็อยากจะเล่าเรื่องว่า การเข้าป่ามันไม่ได้แปลว่าคนที่เข้าป่าจะเป็นฝ่ายซ้ายจริง จะเป็นฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศในลักษณะพูดง่าย ๆ ว่าไม่ใช่นักปฏิวัติจริง คือคนที่เข้าป่ามันก็มีการเปิดเส้นทางให้เข้า นั่นก็จำนวนหนึ่ง ก็คือไม่ได้มีการสำรวจหรอก ก็พากันเข้า โหนตามกระแส


เพราะฉะนั้นดิฉันอยากจะพูดว่า ที่ว่าอยู่ในพรรคฝ่ายซ้ายหรือว่าอยากแสดงตัวเป็นนักปฏิวัตินั้น ในทัศนะดิฉันก็คือยังไม่ใช่ซ้ายจริงอยู่จำนวนมาก การเข้าป่าไม่ได้แปลว่าเป็นอะไรที่เป็นประกาศนียบัตรว่าคน ๆ นั้นเป็นคนก้าวหน้า เพราะว่าเข้าป่าตามกระแส


อย่าลืมว่าขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่กระแสการปฏิวัติสังคมนิยมมันกำลังอยู่ในกระแสสูง และเป็นสิ่งที่ฝั่งขวาหวาดกลัวเป็นจำนวนมาก มันดูเหมือนกับว่าโลกนี้การปฏิวัติสังคมนิยมจะเป็นกระแสทั่วโลก ความสำเร็จของสหภาพโซเวียต ของประเทศจีน ของเวียดนาม กัมพูชา ลาว มันจึงเป็นกระแสที่ดูเหมือนว่าอยู่ในฐานะครอบงำ คิดเอาว่าจะเป็นกระแสที่ได้รับชัยชนะ


ดังนั้นเราจึงมีการตามกระแส ซ้ายตามกระแส คือซ้ายไม่จริง ซ้ายกลัวตกขบวน คิดว่าจะได้รับชัยชนะก็เป็นการฉวยโอกาส ซ้ายโหนกระแสและซ้ายฉวยโอกาส แล้วก็กลัวตกขบวนอยู่เป็นจำนวนมาก ก็เข้าไปอยู่ในเขตป่าเขา เพราะมันเป็นเหมือนทฤษฎีเลยว่าถูกปราบ


อันนี้มันก็เป็นเหรียญสองด้าน ในด้านของฝ่ายปราบปรามก็ต้องเข้าใจว่าคุณปราบรุนแรง คนก็ต้องไปหาทางออก ในยุคนั้นก็คือทางออกเหมือนกับว่ามีทางเดียว ก็คือเข้าป่าไปร่วมกับพคท. ซึ่งมีอาวุธเหมือนกัน ส่วนหนึ่งหนี ส่วนหนึ่งก็คิดว่าร่วมขบวนเพื่อหวังชัยชนะ อีกส่วนหนึ่งก็เข้าป่าไปเพราะว่าต้องการเป็นนักปฏิวัติจริง เราก็ต้องแฟร์ ต้องการเป็นนักปฏิวัติจริง แต่ว่าบางส่วนก็ไม่ใช่


ทีนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ แต่ต้องเข้าใจว่าคนเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นนักปฏิวัติหรือเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้ การเป็นสมาชิกพรรคก็ไม่ได้ง่าย เพราะฉะนั้นบางคนก็เป็นแนวร่วมองค์กร บางคนก็เป็นแนวร่วมในลักษณะบุคคล แต่บางส่วนจำนวนหนึ่งก็ได้เป็นสมาชิกพรรค


ทีนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็คือเกิดปัญหาที่กำแพงเบอร์ลินพังทลาย สหภาพโซเวียตล่ม แล้วก็มีการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ปัญหาของประธานเหมาในประเทศจีน เรื่องกลุ่ม 4 คน อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมดทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนที่เข้าป่าแล้วก็อยู่ในป่าไม่ได้ด้วยบุคลิกส่วนตัวส่วนหนึ่ง แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งก็เป็นปัญหาที่เรียกว่าเกิดจากความขัดแย้งในเชิงหลักการ ในเชิงทฤษฎี ความไม่เชื่อมั่นในการนำ และในที่สุดก็มีทหารที่ฉลาด ๆ ก็เสนอ 66/23 ซึ่งจริง ๆ มันเริ่มเปิดทางตั้งแต่สมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดิฉันถือว่าพวกนายทหารเหล่านี้ก็เป็นนายทหารที่มีสมองและฉลาด รู้ว่าการปราบปรามไม่ได้ผล ก็เปิดทาง และด้านหนึ่งเขาก็รู้ด้วยว่าคนที่เข้าไปก็คือหนีปัญหาที่ถูกปราบปรามในเมือง ดังนั้นก็เปิดโอกาสให้คนเข้ามา


ดังนั้นการเข้าป่าแล้วออกมา มันไม่ได้เป็นประกาศนียบัตรว่านี่เป็นนักปฏิวัติตัวจริง ต่อให้มีความเชื่อมั่นว่าเป็นนักปฏิวัติตัวจริง ก็คืออยากเข้าเป็นนักปฏิวัติ แต่ว่ามันเกิดปัญหามาก แล้วก็ออกมา หลายคนเวลาออกมาก็มาทำงานเป็นองค์กรเอ็นจีโอ บางคนก็ทำมาหากิน หรืออะไรก็ตาม


แต่ว่ามันน่าประหลาดใจตรงที่ว่ามันกลับหลัง ไม่ใช่ 360 กลับ 180 องศานะ คือกลับหลังเลยมาเป็นหนุนฝ่ายขวาได้อย่างไร? เราก็เคยวิเคราะห์ไว้หลายครั้งแล้ว ทั้งฝ่ายซ้ายจริง ซ้ายไม่จริง ในทัศนะดิฉันก็คือ ถ้าเป็นซ้ายจริง ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวหน้าจริง และยืนอยู่กับผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่จริง คุณอาจจะอกหักจากไปร่วมกับพคท. สมมุตินะ หรือว่าคุณอาจจะอกหักจากการที่มีความขัดแย้งระหว่างสหภาพโซเวียต สายโซเวียต สายจีน แล้วก็เรื่องปัญหาทฤษฎี คุณอาจจะอกหักจริง แต่ถ้าคุณมีจุดยืนอยู่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศหรือเปลี่ยนแปลงโลกให้พ้นจากการกดขี่ ขูดรีด ให้มีความเท่าเทียมกัน ใกล้เคียงกัน ไม่ต้องเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจก็ได้


เพราะฉะนั้น ปัญหาสิทธิเสรีภาพ ปัญหาความเท่าเทียม มันจึงเป็นเรื่องสำคัญ มันควรจะแก้ปัญหาให้ดีขึ้น แต่ว่าการกลับลำมายืนอยู่ข้างฝ่ายผู้กดขี่ขูดรีด ดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่มันใช้ไม่ได้ ในทัศนะของดิฉัน ขออภัย มันไม่ถูก อันนี้ก็แปลว่าเท่ากับเหมือนการพิสูจน์ว่าที่แล้วมาที่ทำของไม่จริง คือถ้าคุณยังมีจุดยืนอยู่กับผลประโยชน์ประชาชน คุณต้องพยายามหาทางที่จะทำอย่างไร วิธีการใดก็ตาม ที่ยังยืนหยัดอยู่ว่าเป็นวิธีการที่ได้ผลประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของการหิวแสง ไม่ใช่เรื่องของการอยากได้ผลประโยชน์ ฉวยโอกาสของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องของการโหนกระแส


เพราะฉะนั้นก่อนหน้านี้คุณโหนกระแสซ้าย แล้วคุณมาโหนกระแสขวาซิ อย่างนั้นหรือ? ใช่หรือเปล่า? คุณเปลี่ยนจากโหนกระแสซ้ายกับการปฏิวัติสังคมนิยม กลายเป็นว่าคุณมาใช้วิธีคิดวิธีทำงานแบบเดียวกับ สนธิ ลิ้มทองกุล พันธมิตรฯ ไม่พอยัง กปปส. อีก มันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่มีอะไรอย่างอื่น มีคำตอบอย่างเดียวว่า มันไม่ใช่ฝ่ายซ้ายจริง ไม่ใช่ก้าวหน้าจริง ไม่ได้ยืนอยู่กับผลประโยชน์ประชาชนจริง 


เพราะถ้าคุณยืนอยู่กับผลประโยชน์ประชาชนจริง คุณต้องยืนให้มั่น ยืนให้ได้ และพยายามหาวิธีการในการที่ว่าเส้นทางไหนที่จะเป็นผลประโยชน์กับผู้ถูกกดขี่ขูดรีด ไม่ใช่ไปยืนอยู่กับผลประโยชน์ของผู้กดขี่ขูดรีด ตอนนั้นคุณอาจจะมองว่าระบอบทักษิณเป็นระบอบกดขี่ขูดรีด แต่ดิฉันคิดว่าถ้าคนที่ก้าวหน้าจริง คนที่ยืนอยู่กับผลประโยชน์ประชาชน โดยเฉพาะมวลชนพื้นฐานชนชั้นล่างที่ถูกกดขี่ขูดรีดถึงที่สุดจริง คุณจะไปสนับสนุรัฐประหาร คุณจะไปสนับสนุนฝ่ายจารีตนิยม แล้วก็ทวนกงล้อประวัติศาสตร์ไม่ได้เด็ดขาด 


แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย และไม่ใช่แต่เฉพาะคนที่อยู่ในพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยแบบนี้ กระทั่งคนที่อยู่ในพคท. อยู่ในองค์กรนำ ดิฉันพูดอย่างนี้เพราะว่า อันนี้ดิฉันก็อยากจะพูดเพื่อที่จะทำความเข้าใจเพิ่มเติมจากที่มีการเขียนลงในนิตยสารสารคดีเพิ่มเติมว่า องค์กรนำของพคท. มันจะมีผ่านสิ่งที่เราเรียกว่า “สมัชชา” 


“สมัชชา” ก็คือคองเกรส คล้าย ๆ คองเกรสปาร์ตี้ของพคท. ก็คือจะมีแกนนำจากสมาชิกพรรคเป็นหน่วย ๆ มีการประชุมในวาระสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ ไม่ว่จะเป็นเรื่องวิเคราะห์สังคม และการเลือกตั้งเรียกว่า central committee หรือกรรมการกลาง แล้วกรรมการกลางก็จะมาเป็น Politburo หรือกรมการเมือง อันนี้มันเป็นระบบการจัดตั้งของพคท.


คนที่อยู่ผ่านการเลือกตั้งของสมัชชามาเป็นกรรมการกลาง ซึ่งมีไม่มากในหลักสิบก็ประมาณ 20 คน และเป็น Politburo ประมาณ 7 คน คนส่วนใหญ่เมื่อผ่านวิกฤตของประเทศไทย เชื่อหรือไม่ว่าคิดแบบเดียวกับปัญญาชนกลุ่มนี้ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเอาสัญลักษณ์สีนะ ก็เป็นเหลือง เป็นสลิ่ม คนในกรมการเมือง อดีตนะ ซึ่งก็มีชีวิตอยู่ แล้วก็กรรมการกลางพคท.ส่วนใหญ่ ดิฉันเองก็ยอมรับแล้วว่า ดิฉันก็ผ่านที่ประชุมสมัชชาเข้ามาอยู่คณะกรรมการกลางที่มีการวิเคราะห์สังคมและมีการโต้แย้ง แต่ตอนนั้นมันไม่ใช่เหลือง ไม่ใช่แดง มันก็เป็นปัญหาหลักการว่าคุณจะวิเคราะห์สังคมไทยอย่างไร? และคุณจะมียุทธศาสตร์อย่างไร? คุณจะมีนโยบายอย่างไรในการขับเคลื่อนต่อไป เมื่อเราไม่เห็นด้วยตรงนั้น ก็จบ


แต่ว่าหลังจากนั้นเมื่อมีการเกิดเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งพ.ร.บ.คอมมิวนิสต์หมดไปแล้วนะ จบไปแล้ว ตอนนี้ใครเป็นคอมมิวนิสต์ อย่างอ.ธิดาบอกเป็นคอมมิวนิสต์นี่จับไม่ได้นะ เพราะยกเลิกพ.ร.บ.ไปแล้ว บอกเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่พวกเด็ก ๆ ไปโยนโน่นโยนนี่กลายเป็นผิดกฎหมาย แต่ถ้าบอกว่าเป็นคอมมิวนิสต์ตอนนี้ที่จริงไม่ผิดกฎหมาย แต่เกือบทั้งหมด อย่าว่าแต่พรรคสังคมนิยมเลย ที่เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ เป็น Politburo หรือกรมการเมือง หรือกรรมการกลาง เกือบทั้งหมดนะ ยกเว้นอยู่คนสองคนที่เป็นเลขาธิการ อาจารย์ก็พูดตรง ๆ แล้วก็มีบางคนเท่านั้นเอง สักสองคน ที่มองเห็นว่าการไปร่วมกับพันธมิตร ตั้งแต่ตอนนั้นนะ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง


เพราะฉะนั้น นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย เศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งเคยเป็นฝ่ายก้าวหน้า เอ็นจีโอทั้งหลาย ซึ่งรับความช่วยเหลือจากในประเทศ และเอ็นจีโอที่ได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ทั้งหมดนี้เรียกว่ายกโขยงเป็นสายพันธมิตรฯ หมด แล้วก็ตามมาที่กปปส.ด้วย ยังไม่เปลี่ยน นี่เป็นปัญหาหนักหนาสาหัสของขบวนการปัญญาชนไทย! 


หลายคนเพิ่งมาเปลี่ยนเอาตอนนี้ ช่วงหลังนี้ เมื่อมีคนรุ่นใหม่ที่สามารถแหวกม่าน เหมือนกับเป็นม่านเหล็ก ถ้ารัสเซียเขาเรียกม่านเหล็ก ของจีนเขาเรียกม่านไม้ไผ่ เมืองไทยไม่รู้จะเรียกม่านอะไรไม่รู้ อาจารย์ก็เรียกไม่ถูก แต่หมายความว่าม่านที่มันดำมืด เยาวชนรุ่นนี้เขาสามารถแหวกสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ เขาเปิดม่านดูได้ แล้วก็พากันออกมา จึงทำให้ปัญญาชนรุ่นเก่าจำนวนหนึ่ง คนชั้นกลางรุ่นเก่าจำนวนหนึ่งได้มีการทบทวน หลายคนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนใจ เท่าที่อาจารย์ทราบ


เพราะฉะนั้น เราในฐานะแนวร่วมของประชาชนที่รักประชาธิปไตย เราก็ต้องใจกว้างยอมรับเสมอ แต่ตัวดิฉันเองในฐานะที่เป็นถือว่าก็เป็นปัญญาชนชั้นชั้นกลาง คือมันเสียใจ มันเจ็บใจ ว่าปัญญาชนในโลกที่ก้าวหน้าแล้วมันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ มันยากลำบากกว่าจะกี่ปีจนเด็กรุ่นหลังถึงมาเปิดม่านออกเพื่อให้เห็นว่าเบื้องหลังการเมืองไทย จารีตนิยมอำนาจนิยมได้ทำให้วงจรอุบาทว์เกิดขึ้นในประเทศไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก และทำให้ประเทศเราย่อยยับถึงขนาดนี้ คือแทนที่มันจะก้าวไปได้ มันก็ต้องก้าวเดินถอยหลัง ก้าวเดินถอยหลังอยู่อย่างนี้ และคนต้องพลีชีพจำนวนมาก


ดังที่บอกแล้วว่าวันที่ 31 เราก็จะไปจัดงานรำลึก “ลุงนวมทอง” เพื่อให้เห็นว่าคนธรรมดาสามัญชนอาชีพขับแท็กซี่นี่แหละ แต่ว่ามีความเข้าใจยิ่งกว่าปัญญาชนที่เป็นแกนนำในการต่อสู้ในอดีตด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น 14ตุลา 6ตุลา หรือกระทั่งอยู่ในเขตป่าเขา 


ดิฉันรู้สึกเสียใจจึงจะต้องเล่าเรื่องพวกนี้ออกมา และก็ขอบคุณคนรุ่นใหม่ และก็ขอบคุณอาจารย์นักวิชาการจำนวนหนึ่งซึ่งช่วยกันเขียนข้อมูล โดยเฉพาะคนรุ่น 6ตุลา ที่ถูกกระทำ ทำให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจและรู้มากขึ้น เพราะว่าอย่างพวกเราเมื่อมาเป็นคนเสื้อแดง ก็กลายเป็นว่าเราถูกประณามหยามเหยียด คำพูดนั้นคนที่รู้ก็คือคนเสื้อแดง แต่คนที่เป็นสีอื่น เสื้อเหลืองหรือสลิ่ม ปิดหูปิดตา ไม่รับฟัง ไม่ยอมรับอะไร เพราะฉะนั้น มันจึงต้องเป็นคนนอกขบวนคนเสื้อแดง ต้องเป็นปัญญาชนภายนอกที่เปิดข้อมูลต่าง ๆ ออกมา จนกระทั่งทำให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจและรับรู้มากขึ้น ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นคุณูปการ


แต่อย่างไรก็ตามดิฉันก็อยากจะบอกกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ว่า คุณได้ทำภารกิจที่สำคัญ แม้คุณจะยังเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ยังไม่ได้เวลานี้ แต่สิ่งที่สำคัญคือคุณได้เปิดม่านสีดำ ม่านทึบที่มันบังเอาไว้ ก็คือฉากข้างหน้าก็เป็นอย่างหนึ่งของความสวยงามของคนในแผ่นดินนี้ คนดี อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เปลี่ยนทำให้ยังมีคนส่วนหนึ่งเป็นเทพ ส่วนหนึ่งเป็นยักษ์เป็นมาร


แต่คุณได้เปิดม่านและเปลือยให้เห็นว่าฉากข้างหลังของคนดีนั้นที่แท้เป็นอะไร นี่เป็นภารกิจสำคัญที่คนเสื้อแดงทำไม่ได้ที่จะทำให้ปัญญาชนเข้าใจและลุกขึ้นมา แต่คนเสื้อแดงและมวลชนพื้นฐานเขารับรู้หมดแล้ว อยู่ที่ว่าเขาจะพูดแค่ไหนแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นปัญญาชนชนชั้นกลางต่างหากที่จะต้องคารวะเด็กรุ่นหลัง แล้วก็ต้องคารวะมวลชนพื้นฐานในฐานะที่เป็นผู้ที่ต้องการทำให้ความจริงปรากฎ เปิดม่านสีดำที่มันปิดความชั่วร้ายต่าง ๆ เอาไว้


แล้วอย่าไปว่าเขาเลย แม้กระทั่งพรรคปฏิวัติ ถ้าคุณไม่จริง ทฤษฎีคุณไม่แม่น จุดยืนคุณไม่มั่นคง คุณจะเป็นซ้าย คุณจะเป็นนักปฏิวัติไม่ได้เด็ดขาดแบบที่เห็นอยู่ค่ะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์