ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : 45
ปี 6 ตุลา คารวะะจิตวิญญาณ นักศึกษา/ประชาชน
หลังเหตุการณ์
14 ตุลา 2516 ความเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาขึ้นสู่กระแสสูง
แทบทุกประเด็นสาธารณะในสังคมไทยล้วนมีบทบาทของนักศึกษาร่วมเรียกร้องต่อสู้และแก้ปัญหา
ขณะที่สถานการณ์ในเวทีโลก
ความเข้มข้นของสงครามเย็นเกิดขึ้นในทุกภูมิภาค เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การโค่นล้มลงของระบอบเก่าในกัมพูชา เวียดนาม และลาว
พร้อมกับชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์กำลังสร้างความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่ออำนาจอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย
มีการพูดถึงทฤษฎีโดมิโน
และไทยถูกตั้งคำถามว่าจะเป็นประเทศที่สี่
ที่มีการโค่นล้มเปลี่ยนแปลงโดยพรรคคอมมิวนิสต์หรือไม่?
พลังนักศึกษาซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์จึงถูกเชื่อมโยงย้อมสีกับความเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์
ถูกกล่าวหาเป็นขบวนการล้มล้างสถาบัน เปลี่ยนแปลงการปกครอง
เป็นขบวนการต่างด้าวที่เข้ามาเคลื่อนไหวเพื่อที่จะทำร้ายทำลายประเทศไทย
มีการใช้กลไกรัฐหลายหน่วยงานเป็นเครื่องมือ
มีการจัดตั้งขบวนการประชาชนฝ่ายขวาขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์กับขบวนการนักศึกษาโดยตรง
และเมื่อถึงเหตุการณ์จอมพลประภาสกลับเข้ามาในประเทศไทย
ต่อด้วยจอมพลถนอมบวชเณรกลับมา
การต่อต้านของขบวนการนักศึกษาก็ขยายตัวบานปลายจนเกิดการนัดหมายชุมนุมใหญ่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วันที่
4 ตุลาคม 2519
และจากการปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง
ทำให้ขบวนการนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นขบวนการต่างชาติ
เป็นขบวนการวายร้าย
ในที่สุดจึงเกิดการปราบปรามครั้งใหญ่ตั้งแต่กลางดึกของคืนวันที่ 5 ตุลาคม
ต่อเนื่องกันจนถึง 6 ตุลาคม เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย
เกิดภาพชีวิตอันโหดร้ายที่ยังคงเป็นรอยแผลเป็นใหญ่ของสังคมไทยจนถึงวันนี้
ในวาระครบรอบ
45 ปี 6 ตุลา 2519 จึงถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในบรรทัดประวัติศาสตร์ประเทศไทย
โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยพลังบริสุทธิ์ของประชาชน การจัดงานรำลึก 6ตุลา19
จึงเป็นวาระสำคัญร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมุดหมายสำคัญในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อันเป็นที่เกิดเหตุ จำเป็นต้องมีพื้นที่ให้กับประวัติศาสตร์หน้านี้
ผมรู้สึกประหลาดใจและเจ็บปวดเมื่อทราบข่าวการโต้แย้งกันระหว่างคณะศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันผู้ต้องการจัดงานรำลึก
6ตุลา
กับคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยและประชาคมธรรมศาสตร์บางส่วนที่แสดงอาการไม่เต็มใจและคัดค้าน
ทั้งที่เรื่องนี้ควรเป็นสำนึกร่วมกันของชาวธรรมศาสตร์ในทุกขวบปี
6ตุลา19 ไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องเถียงกันว่าจะจัดที่ไหน
แต่ควรเป็นหนึ่งในวิชาเรียนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ศิษย์ทุกรุ่นได้ซึมซับเข้าใจและเติบโตพ้นรั้วมหาวิทยาลัย
โดยช่วยกันป้องกันไม่ให้สังคมไทยย้อนกลับมาในประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดแบบเดิม
แต่นอกจากจะไม่เป็นวิชาเรียนแล้ว
ดูเหมือนกับว่าคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยพยายามที่จะเบียดบังบรรทัดประวัติศาสตร์นี้ให้มีพื้นที่อย่างจำกัดที่สุด
ทั้งที่นี่เป็นเหตุการณ์แรกและเหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ที่มีการใช้กำลังทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและมวลชนจัดตั้งของรัฐ
อาวุธสงครามนานาชนิดบุกเข้าในรั้วมหาวิทยาลัย เข่นฆ่าทำลายชีวิต ทำลายความรู้สึก
ทำลายจิตวิญญาณของนักศึกษาและประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด
ธรรมศาสตร์จะสอนให้นักศึกษารักประชาชนได้อย่างไร
หากปัจจุบันนักศึกษายังต้องสอนผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางคนให้รักประวัติศาสตร์ 6
ตุลาคม 2519
ส่วนข้อสังเกตว่าหลังจากเหตุการณ์เดือนตุลาผ่านไประยะเวลาหนึ่ง
กลุ่มนักศึกษาที่เคยร่วมกันต่อสู้ยืนยันอุดมการณ์ประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยข้ามฟากย้ายข้างไปสนับสนุนและรับใช้ระบอบเผด็จการในสังคมไทยมีตัวตนอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง
15 ปีหลังอย่างมีนัยสำคัญ
คำถามก็คือ
นักศึกษาที่กำลังต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้ อีก 15 หรือ 20 ปี
จะกลายเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งของระบอบเผด็จการอย่างที่รุ่นพี่เดือนตุลาบางกลุ่มทำมาหรือไม่?
ส่วนตัวผมมองเห็นภาพที่แตกต่างกัน
ต้องยอมรับว่าขบวนการนักศึกษาที่ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2519
พวกเขาเติบโตขึ้นในท่ามกลางอิทธิพลของเครือข่ายอนุรักษ์นิยมและระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยที่มีอิทธิพลใหญ่โตหนาแน่น
คนหนุ่มสาวที่ต้องการโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิตจำนวนไม่น้อย
จำต้องสยบยอมต่อเครือข่ายอนุรักษ์นิยมและระบบอุปถัมภ์
เพื่อให้มีสถานะในสังคมและมีอนาคตก้าวเดินต่อไป
ผลิตผลจากขบวนการนักศึกษาเดือนตุลาจำนวนหนึ่งจึงเข้าไปมีบทบาทในแวดวงการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา
ในฐานะผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมเพื่อโอกาสและความเติบโตในชีวิต
เราจึงเห็นคนเดือนตุลาบนเวทีพันธมิตรฯ
เราจึงเห็นคนเดือนตุลาบนเวทีกปปส.
เราจึงเห็นคนเดือนตุลาในแม่น้ำ
5 สาย และในกลไกรับใช้เผด็จการจำนวนมากมาย
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังคงเห็นคนเดือนตุลาในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยร่วมกับลูกหลายอยู่จนเวลานี้
แต่กับหนุ่มสาวยุคปัจจุบันจะไม่เป็นเช่นนั้น
พวกเขาเติบโตขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีอย่างไม่จำกัด
สังคมนี้จะไม่อนุญาตให้ใครจะเป็นผู้ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม “ปลอม” อยู่ได้นาน
และหนุ่มสาวยุคปัจจุบันจะไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องพินอบพิเทาวิ่งเต้นเส้นสายกับความปลอมใด
ๆ พวกเขามีช่องทางมากมายที่จะสร้างความเติบโตเข้มแข็งกับชีวิต
แล้วยิ่งเวลาเดินไปข้างหน้า ผมเชื่อว่าความคิดแบบนี้จะมีแต่เข้มแข็งมากขึ้น
หนุ่มสาวที่ผ่านการต่อสู้ในปัจจุบันอาจจมีบางส่วนที่สยบยอมต่อเครือข่ายของอำนาจเดิม
แต่ส่วนใหญ่จะไม่เป็นเช่นนั้น พลังบริสุทธิ์นี้จะเติบโตและยังคงเข้มแข็งในหลักการที่ถูกต้องต่อไป
กลไกอนุรักษ์นิยมต่างหากที่จะถูกตัดพื้นที่ให้หดแคบลง
การรำลึก
45 ปี 6ตุลา จึงมากด้วยความหมาย ไม่ใช่แค่เรื่องของการเอาคนเก่า ๆ
มานั่งจัดงานพบกัน แต่หมายถึงการเชื่อมต่อในทางอุดมการณ์ การยืนยันการต่อสู้
และการส่งมอบภารกิจจากรุ่นสู่รุ่นด้วยความหวังให้คนหนุ่มสาวเดินหน้าต่อไป
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางการล้อมปราบโดยรัฐ
ผมขอคารวะทุกดวงวิญญาณของ “คนเดือนตุลา” ผู้สูญเสีย
และเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวและญาติมิตรในการยืนหยัดสู้ต่อไป
รวมกระทั่งขอแสดงความชื่นชมด้วยหัวใจกับขบวนการนิสิตนักศึกษาคนหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นมาสืบสานภารกิจของ
“คนเดือนตุลา” และเป็นที่พึ่งที่หวังของสังคมไทยต่อไปในอนาคต
ประชาชนผู้สูญเสียไม่ได้รำลึกเพื่อเตือนใจตัวเอง
เพราะเราไม่เคยลืม แต่เรารำลึกเพื่อบอกกับผู้มีอำนาจว่าเราไม่ยอมแพ้
และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะสู้ต่อไป
การรำลึกอดีตต่อสาธารณะทำได้เฉพาะฝ่ายที่ชอบธรรมเท่านั้นนะครับ เราไม่เคยเห็นการรำลึกของรัฐผู้ปราบปรามประชาชน ไม่ว่าจะจากเหตุการณ์ใดก็ตามในสังคมไทยและในสังคมโลก
#45ปี6ตุลา19
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์