แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.62
ตอน สงครามที่ไม่ยอมแพ้ ระหว่าง “ทหารแก่” กับ “เยาวชน”
วันนี้ดิฉันออกมาพูดด้วยความเป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นกับเยาวชน
ดิฉันไม่ค่อยกังวลกับพวกคนแก่ โดยเฉพาะทหารแก่ ๆ มันมีประโยคที่เขาบอกว่า ทหารแก่จะไม่ตาย
แต่มันจะ ในภาษาอังกฤษเขาว่า fade away คือค่อย ๆ จางหายไป
แต่คำนี้ใช้ไม่ได้กับ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
เพราะฉะนั้น
ดิฉันมองสถานการณ์ในขณะนี้ประหนึ่งว่าเป็นสงครามระหว่างทหารแก่ที่ไม่ยอมแพ้
กับเยาวชน คือเป็นทหารแก่ ๆ แต่สู้กับเด็กประมาณนั้น สงครามที่ไม่มีการยอมแพ้ระหว่างทหารแก่กับเยาวชนนัยหนึ่ง
มันเกิดเป็นสงครามได้ยังไง? ทหารแก่ ๆ นั้นมีแต่จะต้องจางหายไป
ก็คือหมดบทบาทไปในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีวีรกรรมขนาดไหน
ไม่ว่าคุณจะเป็นนายพลแมคอาเธอร์ ไม่ว่าจะเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่อะไรในประวัติศาสตร์
แต่ว่า ทหารแก่ เกียรติภูมิก็คือการสู้รบ
ไม่มีทหารแก่คนไหนที่มีเกียรติภูมิในฐานะนักปกครอง
แต่นี่มันประหนึ่งสงครามที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้
ในด้านของทหารแก่ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเกษียณ/ใกล้เกษียณ/ก่อนเกษียณ
ทำการรัฐประหาร จนกระทั่งทำให้ประเทศไทยย่อยยับมาจนถึงขนาดนี้ แล้วก็อยู่ต่อ
ถ้าเราไปเทียบกับทหารแก่รุ่นก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นยุค จอมพลสฤษดิ์, พล.อ.เปรม
หรือกระทั่ง จอมพล ป. ดิฉันดูแล้วความพยายามในการที่จะยืนอยู่ แน่นอน
อาจจะเทียบกับ จอมพล ป. อาจจะนานสักหน่อย แต่ว่า จอมพล ป.
อยู่ในบริบทที่แตกต่างกัน เขาสืบต่อมาจากคณะราษฎร แล้วก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเราจะเทียบเราควรจะเทียบกับในยุค
จอมพลสฤษดิ์, พล.อ.เปรม มากกว่า เมื่อเทียบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.เปรม
บอก 8 ปี พอแล้ว และเป็นคนที่ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับสังคมมากเท่ากับที่
พล.อ.ประยุทธ์ ทำอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจริง ๆ
เป็นประวัติศาสตร์อันใกล้ที่น่าจะเรียนรู้ หรือแม้กระทั่ง พล.อ.เกรียงศักดิ์
ชมะนันทน์ ซึ่งแม้นจะเข้ามามีส่วนในการเมืองการปกครอง
แต่ก็รู้จักคำว่าพอแล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในเวทีรัฐสภ
เพราะฉะนั้นดิฉันอยากจะให้เรียนรู้จาก พล.อ.เปรม แล้วก็ พล.อ.เกรียงศักดิ์
นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะว่าในขณะนี้ก็ด้วยความที่มีความรู้สึกว่ารัฐสภาก็ทำอะไรไม่ได้
คือเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว นอกรัฐสภาก็ทำอะไรไม่ได้ กำลังจะตั้งพรรคใหม่
ซึ่งอาจจะให้ปลัดฉิ่งหรือใคร ตอนนี้ก็มีข่าวออกมา
แต่ดังที่ดิฉันได้บอกว่าอย่าไปหลงว่าจะมีปัญหาอะไร
ก็คือ ถึงว่ามีหลายพรรคแต่อยู่ฟากเดียวกัน อยู่ในทีมคณะใหญ่เดียวกัน
ดิฉันไม่ได้คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร จะต้องเข้ามาทะเลาะเบาะแว้งห้ำหั่นกัน
ดิฉันไม่คิดอย่างนั้น เพราะว่าเขามีผลประโยชน์และมีกรรมที่จะต้องรับร่วมกัน
ทั้งกรรมดีกรรมร้ายเขามีร่วมกันอยู่ ดังนั้นยังไงมันก็จะต้องไปด้วยกัน
ถึงแม้ว่าอาจจะมีความคิดแตกต่างกันบ้างก็ตาม เขาจะต้องไปด้วยกัน 3ป
แต่ว่าท่วงทำนองขณะนี้ของ
พล.อ.ประยุทธ์ มันทำให้เกิดประหนึ่งสงครามกับเยาวชน ในส่วนเยาวชนที่เป็นปัญญาชน
จะเป็นเด็กมัธยม หรือว่าจนกระทั่งกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ถูกข้อหา 112, ข้อหา
116, ข้อหาร้ายแรงต่าง ๆ และไม่ให้ประกันตัวเป็นอันมาก
ส่วนที่ประกันตัวไปก็มีข้อแม้มากมายที่ประหนึ่งเหมือนกับติดกำไลเอาไว้
อันนั้นหมายความว่าใช้วิธีการทางกฎหมายจัดการกับเยาวชนที่เป็นปัญญาชนอย่างที่เรียกว่าไม่เลือกหน้า
ซึ่งโชคดีที่ในยุคนี้ดิฉันยังต้องขอบคุณซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ก็คือ
“กองทุนราษฎรประสงค์” จะเป็น อ.ชลิตา หรือจะเป็นคุณไอดาที่ได้ช่วยประกันตัวไม่ว่าจะเป็นเยาวชนที่เป็นปัญญาชน
หรือเยาวชนที่เป็นกลุ่มทะลุแก๊สหรือกลุ่มอิสระต่าง ๆ เขาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย
ทำงานอิสระ หรือว่ายังเรียนอาชีวะ หรือยังเรียนมัธยมอยู่ตามท้องถนน
กองทุนราษฎรประสงค์ก็ได้ช่วยดูแล หากมิฉะนั้นแล้วเด็ก ๆ จะยากลำบากมาก ก็เพราะว่าจับแหลก
ในส่วนของการใช้กฎหมาย แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย ไม่ว่าจะเป็นคุณอานนท์
ไม่ว่าจะเป็นเพนกวิน ไม่ว่าทั้งสองคนนี้จะได้รับรางวัลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นไผ่
หรือไม่ว่าจะเป็นไมค์
แต่ว่าปรากฏว่าการต่อสู้ของเยาวชนไม่ได้หยุดนิ่ง
ในช่วงที่เยาวชนที่เป็นปัญญาชนชะลอ ก็เกิดเยาวชนที่ไม่ใช่เป็นปัญญาชนก็ไม่ยอมแพ้
ดิฉันจึงได้บอกว่ามันเป็นสงครามที่ไม่ยอมแพ้ระหว่าง “ทหารแก่” กับ “เยาวชน”
ในขณะนี้
เยาวชนซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มทะลุแก๊สหรือว่าไม่ใช่ก็ได้
ก็เป็นกลุ่มเยาวชนอิสระจำนวนหนึ่งที่ออกมา แล้วก็ไม่ได้มีการจัดตั้ง ไม่มีกลุ่มที่แน่นอน
ดังที่ดิฉันได้เคยบอกว่า กลุ่มเยาวชนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานของมวลชนพื้นฐาน
ล้วนเป็นเยาวชนที่อนาคตน่าเป็นห่วงที่สุด เขาไม่ใช่ชนชั้นกลาง เพียงแค่เขาได้อยู่
ทำงานอาชีพที่มีรายได้เพียงพอ ในอนาคตอาจจะเป็นช่างฝีมือมีระดับหรืออะไรต่าง ๆ
เหล่านี้ ก็เป็นอนาคตที่น่าภาคภูมิใจแล้ว
แต่ปรากฏว่าจริง
ๆ เขามีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ปัญหาการติดเชื้อโควิดและความยากลำบากทางเศรษฐกิจ
คือถูกกดทับทั้งการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคมอย่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินยิ่งกว่าเยาวชนที่เป็นปัญญาชน
ดังนั้นลักษณะต่อสู้มีอยู่สูง สิ่งที่ทหารแก่ทำก็คือจัดการให้ตำรวจ ตอนนี้ใช้ตำรวจ
แต่ไม่รู้ว่ามีทหารปนกันอยู่ด้วยหรือเปล่า ไปจัดการในการปราบและจับ จับทุกวัน
วันละ 20, 30 คน คือพูดตรง ๆ ว่ามันหลายร้อยแล้ว
แล้วก็ดังที่ดิฉันได้บอกว่ามันมีอายุ
10 ขวบ 12 ขวบ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้มีมากมาย ถามว่าทหารแก่จะมาสู้รบกับเยาวชนที่เป็นลูกหลานของคน
เรียกว่าคนในส่วนล่างของสังคม คุณคิดยังไง คุณลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นทหารที่ปลดเกษียณไป
คุณจะมองไม่เป็นแบบนี้แน่นอน ก็คือคุณมารบกับเด็กทำไม
แล้วคุณคิดว่าที่เด็กออกมาเขาจะมากวนเมืองเหรอ เขาบอกแล้วว่าเขาจะมาไล่ คือเขาต้องการชีวิตที่ดีกว่า
แต่เขาพบแล้วว่าผ่านการทำรัฐประหาร ผ่านการบริหารประเทศมาทั้งหมดจะเข้า 8 ปี
มันทำให้ประเทศลงสู่หุบเหวหายนะ รวมทั้งอนาคตของพวกเขา
ดิฉันเคยบอกแล้วว่านี่ไม่ใช่การก่อกวนนะ
นี่เป็นลักษณะการประท้วงทางการเมือง แต่ดังที่กล่าวแล้ว เขาไม่ใช่ปัญญาชน
เขาจะมาพูดปราศรัยเขาก็ไม่ใช่
ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็คือแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามอย่างรุนแรง อย่างไม่มีเหตุผล เช่น
คุณไม่ยิงด้วยกระสุนปืนจริงแบบที่คุณทำกับเสื้อแดง แต่คุณยิงด้วยกระสุนยาง
แล้วก็การใช้แก๊สน้ำตา ผู้สื่อข่าวสามารถเก็บมาให้ได้ทุกวันว่าปลอกกระสุนเหล่านี้มันเป็นยังไง
ดิฉันอยากจะถามว่าคิดยังไงที่จะมาทำสงครามกับเยาวชนลูกหลาน
ทั้งปัญญาชน ทั้งลูกหลาน เยาวชน ในส่วนที่พ่อแม่เขายากลำบากมากถึงที่สุด
คือถ้าคุณจะบอกว่าคุณเป็นคนดี คุณมาทำเพื่อชาติบ้านเมือง มันฟังไม่ขึ้น คือเอาคนธรรมดาไม่ต้องมีการเมืองอะไร
คือพูดตรง ๆ ว่าผู้ใหญ่ แล้วทั้งมีอาวุธ มีทั้งอะไร แล้วมารังแกเด็ก มันทำได้มั้ย
ต่อให้เด็กทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง แต่นี่มาด้วยการเมืองนะ เยาวชนเขามาด้วยการเมือง
แต่คุณปราบ ไม่ได้ใช้ท่วงทำนอง หรือไม่ได้ใช้ทัศนะทางการเมืองเลย คุณทำประหนึ่งเขาเป็นอาชญากรหรือเป็นโจรผู้ร้าย
แล้วต้องจัดการอย่างรุนแรง
เพราะฉะนั้น
คุณปราบโดยไม่มีทัศนะทางการเมือง แต่เยาวชนที่เขามาต่อสู้ เขามีทัศนะทางการเมือง มันเรียกว่าในทางความคิดแล้วคนที่เป็นคนแก่มันสู้เด็กไม่ได้เลยนะ
เอาความคิดก่อน ความคิดของคนแก่หรือของทหารแก่หรือรัฐบาลชุดนี้ ต้องการจะปราบ
ไม่ให้มีการประท้วง ไม่ต้องการให้มีการประท้วง ใช้ทุกอย่าง กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ใช้สารพัด และรวมทั้งข้อหากระทั่งข้อหา 112 แบบไม่เลือกเลย
มันเป็นทัศนะของการกวาดล้างคนที่เห็นต่าง ไม่ได้สนใจว่าเขาเป็นเยาวชน
จะเป็นปัญญาชนหรืออะไรก็ตาม อันนี้เป็นทัศนะแบบผู้ปกครองที่ไร้คุณธรรม
ไร้ทัศนะทางการเมือง ในทัศนะของดิฉันนะ แล้วก็
คือจะว่าไร้วิสัยทัศน์ทางการเมืองอันนั้นยังว่าเป็นประโยชน์ แต่ว่าในทัศนะของดิฉันมันเป็นการทำเพื่อรักษาอำนาจของผู้เฒ่าหรือคนแก่เหล่านี้
รักษาอำนาจ ผมไม่ออก ผมจะแคนดิเดตนายกฯ ต่อ ทำไม จะเป็นอะไร ต้องไปด้วยกันซิ
คุยกับคนไม่ได้ก็คุยกับวัว คุยกับอะไรไปตามเรื่อง อะไรแบบนี้
มันเป็นทัศนะที่ไม่ให้เกียรติประชาชน ต้องการแต่รักษาอำนาจ
คือไม่มีทัศนะทางการเมืองเลย ปราบผู้เห็นต่าง
เป็นทัศนะแบบเผด็จการอำนาจนิยมที่จัดการกับผู้เห็นต่างประหนึ่งอาชญากร
แม้เขาจะเป็นเยาวชนก็ตาม
แต่ในส่วนของฝั่งเยาวชน
เขาใช้ทัศนะทางการเมืองล้วน ๆ ยอมยากลำบาก ยอมเสียสละ ติดคุก ติดตะราง เขาออกมาการเรียนก็ลำบาก
จะสอบอะไรก็ไม่ได้ แล้วในขณะที่ผู้ที่มาปราบนั้นได้เบี้ยเลี้ยงนะ
หรือว่ายังรักษาการเป็นนายกฯ นะ มีผลประโยชน์หมด
แต่ผู้ประท้วงนี่ถามว่าได้ผลประโยชน์อะไร แปลว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
ในขณะที่ผู้รักษาอำนาจทำเพื่อตัวเองและคณะของตัวเอง หรือนายของตัวเอง
ไม่รู้ว่านายชั้นไหน ไปนับเอา ตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน ไล่ไปเรื่อย ๆ
ในระบบอุปถัมภ์
แต่เยาวชนนั้น
ถามว่าเขาทำเพื่อตัวเองมั้ย ไม่ใช่! เขามีนายมั้ย ไม่มี! อย่าไปใส่ความว่ามีพรรคการเมืองอะไร หรือมีใครมาหนุนหลัง เขาเลยไปแล้วค่ะ
ดังนั้นในทางความคิดและในทางผลประโยชน์ ทหารแก่นี่แพ้เด็ก
เพราะว่าเด็กหรือเยาวชนเหลานี้ หรือประชาชนที่มาร่วมด้วยช่วยกัน
เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองมีความร่ำรวย มีตำแหน่ง มีเกียรติยศ
ไม่ใช่เลย คือแค่นี้ก็แพ้กันแล้ว
ยังมาถึงวิธีการอีก
ก็คือ ขณะนี้อาจจะดูเหมือนกับว่ากลุ่มเยาวชนส่วนหนึ่งก็อาจจะดูเหมือนกับว่าน่าเป็นห่วง
มีการตอบโต้โดยการเผาโน่นเผานี่ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้นะ
ซึ่งแน่นอนในฝั่งของทหารแก่ทั้งหลายหรือผู้รักษาอำนาจอาจจะมองว่าพวกนี้ใช้ความรุนแรง
ก็เขาถูกกระทำด้วยความรุนแรง ทั้งติดคุกติดตะราง แล้วเขาก็ไม่ได้มีอาวุธแบบผู้ที่มาปราบปราม
อย่างที่เราก็ต้องเข้าใจว่า
การตอบโต้ของปัญญาชนคือการพูด การโจมตี การอธิบายเหตุผลเพื่อที่จะประณาม
แต่การตอบโต้ของกลุ่มบางส่วนที่เป็นมวลชนพื้นฐาน เขาไม่สามารถออกมาประณาม
หรือไม่มีเสียงจะออกมาทางสื่อได้ เขาก็แสดงออกแบบที่เห็นนี่แหละ ถามว่าแล้วมันจะจบตรงไหน
เยาวชนเขาต้องการให้สงครามอันนี้จบลงด้วยหยุดการสืบทอดอำนาจ
แต่ว่าทหารแก่ต้องการให้พวกนี้เลิก กลับบ้าน แล้วผมยังมีอำนาจต่อ
ไม่มีความชื่นชมอันใดเลย
แม้กระทั่งคุณปราบ คุณคิดว่าคุณได้เกียรติยศงั้นเหรอที่คุณปราบเด็กได้ แค่วิธีคิด
วิสัยทัศน์ แค่ผลประโยชน์คุณก็แพ้เด็กแล้ว
และคุณหวังว่าคุณจะรบกับเด็กไปจนถึงอายุเท่าไหร่ ขณะนี้ 12 ขวบก็มี 10 ขวบก็มี
แล้วอนาคตมันเป็นของเยาวชนทั้งหมด แม้กระทั่งพรรคการเมืองทุกวันนี้
ถ้าไม่ปรับตัวให้ทันกับทัศนะของเยาวชนคนรุ่นเยนเนอเรชั่น Y/Z ก็อย่าหวังว่าจะเติบโตได้
ดังนั้นในทัศนะของดิฉัน สงครามที่ไม่ยอมแพ้ระหว่างคนแก่กับเยาวชน คนแก่ไม่ยอมแพ้ เยาวชนไม่ยอมแพ้ แต่ถามว่าแล้วใครจะชนะ ตอบง่ายเลย ก็คือ “เยาวชนคืออนาคต” ทหารแก่ “ไม่ตายก็ต้องจางหายไป” แบบที่ แมคอาเธอร์ พูดนะคะ