วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.65 ตอน : การเมืองเปลี่ยน จาก "สร้างพรรคใหม่" เป็น "สร้างพรรคใหญ่" เมื่อใช้บัตร 2 ใบ


แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.65

ตอน การเมืองเปลี่ยนจาก “สร้างพรรคใหม่” เป็น “สร้างพรรคใหญ่” เมื่อใช้บัตร 2 ใบ


เรามาพบในเรื่องราวที่เปลี่ยนเรื่องจากสองเรื่องที่แล้วนะคะ วันนี้ดิฉันอยากจะคุยเรื่องของการเมืองที่ว่าด้วยพรรคการเมืองในวิถีทางรัฐสภา เพราะว่าการต่อสู้ของประชาชนนั้นสามารถใช้สิทธิทั้งเวทีรัฐสภาและนอกรัฐสภา


แน่นอน! เวทีนอกรัฐสภาประชาชนถูกจัดการมาก มีการจับกุมคุมขัง ไม่ให้ประกันตัว มีการปราบปรามอย่างรุนแรง ณ บัดนี้ ก็มีการใช้ตำรวจในเครื่องแบบพกอาวุธจริง ก็แปลว่าพร้อมที่จะใช้อาวุธจริง ขณะนี้ปราบปรามจัดการประชาชนแม้กระทั่งเด็ก 10 ขวบ เราได้พูดกันไปพอสมควร และดิฉันก็มีความเศร้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง


แต่อย่างไรก็ตาม เวทีการต่อสู้ของประชาชนไม่ได้มีเฉพาะนอกรัฐสภาหรือบนท้องถนนเท่านั้น เรายังมีเวทีในรัฐสภาด้วย เพราะว่าอย่างไรเสีย ถ้าไม่มีการทำรัฐประหารใหม่อีกครั้งหนึ่งเราก็สามารถใช้เวทีนี้ได้ ถ้ามีการทำรัฐประหาร ก็ต้องมาต่อต้านรัฐประหารอีก มันก็เหมือนวัฏจักรแห่งความชั่วร้ายซึ่งกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ดิฉันจะพูดในเรื่องเวทีรัฐสภา 


ตามที่เราทราบกันว่าในเวทีรัฐสภาตอนนี้มีการเปลี่ยนกติกา แก้ไขรัฐธรรมนูญให้ใช้บัตร 2 ใบ แบ่งเป็นบัญชีรายชื่อให้เลือกตั้งได้ 100 ที่นั่ง แล้วก็จากส.ส.เขต 350 ก็เป็น 400 ที่นั่ง และใช้บัตร 2 ใบ แบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ 40 มันก็ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่ามีเหตุผลอะไร ทำไมถึงต้องมีการเปลี่ยนบัตร แล้วไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลนี้จะหันกลับไปใช้บัตร 2 ใบแบบเก่า ดังนั้น จึงมีทั้งคำถามและมีทั้งคำตอบ ดิฉันจะคุยในวันนี้


คำถามที่ว่าทำไมจึงมีการเปลี่ยนแปลงให้ใช้บัตร 2 ใบ แล้วมันก็มีคำตอบ เพราะฉะนั้นดิฉันก็อยากจะพูดในประเด็นว่า การเมืองเปลี่ยน ใช้บัตร 2 ใบ ยุทธศาสตร์เปลี่ยนจากการตั้งพรรคใหม่เมื่อการเมืองเปลี่ยน มาเป็นสร้างพรรคใหญ่ ในนี้มันก็จะมี 2 ตอน ดิฉันก็จะพูดย่อ ๆ ก็คือว่า ทำไมการเมืองเปลี่ยน? 


การเมืองเปลี่ยนเพราะ ประการแรก พปชร. มีความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถเป็นพรรคใหญ่ได้โดยโค่นแชมป์เก่า ที่สำคัญเลยคือพรรคประชาธิปัตย์ คือพลังอนุรักษ์นิยมซึ่งเดิมเจ้าของพื้นที่คือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถ้าเราดูแผนที่ผลการเลือกตั้งรอบปี 54 จะเห็นด้ามขวานทั้งหมดตีไปจนกระทั่งทางตะวันตกและขึ้นไปข้างบนส่วนหนึ่ง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ประชาธิปัตย์




เมื่อมามีการเลือกตั้งในปี 62 พื้นที่ประชาธิปัตย์หดหาย กลายเป็นพลังประชารัฐ แล้วก็มีภูมิใจไทยแทรกอยู่ส่วนหนึ่ง นั่นก็คือพลังอนุรักษ์นิยม พลังประชารัฐสามารถเข้ามาครองพื้นที่ได้


ดังนั้น พลังประชารัฐ จากครั้งที่แล้วเขาได้ป๊อปปูลาร์โหวตสูงสุดนะคะ ดูเหมือนจะประมาณ 8.4 ล้าน ในขณะที่คะแนนเสียงประชาธิปัตย์ได้ 3.9 ล้าน คือเรียกว่าแพ้ยับเยิน 8.4 ล้านของพลังประชารัฐ แปลว่าสนับสนุน 3ป สนับสนุนรัฐประหาร เป็นพลังอนุรักษ์ทั้งหมด แล้วก็มีส่วนหนึ่งซึ่งพปชร.สามารถไปดึงมาจากพรรคเพื่อไทย




ดังนั้น พปชร.ซึ่งตอนแรกเรามองว่าจะไปเอาคะแนนเสียงที่ไหน เพื่อไทยเขาก็ครองพื้นที่ ประชาธิปัตย์ก็ครองพื้นที่ เป็น 2 ปีก มีภูมิใจไทยและพรรคอื่น ๆ แทรกอยู่จำนวนหนึ่งคือ 2 พรรคใหญ่ ปรากฏว่าที่แพ้ขาดและได้คะแนนเสียงจำนวนมากคือจากประชาธิปัตย์ ทำให้ประชาธิปัตย์ก็เหลือ 4 ล้าน


ในส่วนหนึ่งก็ได้จากพรรคเพื่อไทยด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้าเราไปดูแผนที่เราก็จะพบว่า แผนที่ผลการเลือกตั้งของปี 54 กับปี 62 มีความแตกต่างกันมากมาย เพื่อไทยยังมีพื้นที่เดิมแต่สูญเสียไปจำนวนหนึ่ง โดยทั่วไปนะ ก็คือกลายเป็นพื้นที่ที่ให้กับอนาคตใหม่ ซึ่งแน่นอนอาจจะเป็นการวางเกมผิดพลาดส่วนหนึ่งก็คือเพื่อไทยส่งไม่หมด แล้วก็ไทยรักษาชาติส่วนที่จะลงก็ต้องเป็นคะแนนของอนาคตใหม่ทั้งหมด นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง


แต่ว่าอย่าลืมว่ามันมีพื้นที่จำนวนหนึ่งซึ่งเป็นการแย่งชิงกันระหว่างเพื่อไทยกับอนาคตใหม่ เช่นในกรุงเทพฯ ก็มีการเสียให้พปชร. ดังนั้น พปชร.ได้จากประชาธิปัตย์ แล้วก็ได้จากเพื่อไทยด้วย เพื่อไทยเสียให้พปชร.ส่วนหนึ่ง เสียให้อนาคตใหม่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่มากเท่าประชาธิปัตย์ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นปี 62 


ดังนั้นก็เรียกว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองมีความแปรเปลี่ยน พปชร.น่าจะมีความเชื่อมั่นว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็คือพื้นที่ประชาธิปัตย์เดิมนั้นพปชร.มีแต่จะได้มากขึ้น แน่นอน ประชาธิปัตย์ก็ต้องการฟื้นฟู ก็มีความหวังว่าบัตร 2 ใบ ประชาธิปัตย์อาจจะได้คะแนนชิงจากพปชร.คืนมา 


แต่ดิฉันบอกได้เลยว่าในส่วนที่ประชาธิปัตย์, พปชร., ภูมิใจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคใต้ที่แย่งคะแนนเสียงกัน มันไม่ใช่พื้นที่ของอนาคตใหม่และไม่ใช่พื้นที่ของเพื่อไทย ก็เรียกว่าเพื่อไทยก็สูญเสียให้อนาคตใหม่ส่วนหนึ่ง แล้วก็สูญเสียให้พปชร. ซึ่งมันจะเกิดขึ้นถ้าจะมีการเลือกตั้งใหม่


เพราะฉะนั้นพอมีภูมิทัศน์การเมืองเปลี่ยนในเชิงพื้นที่ แต่ว่ามีส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในทัศนะดิฉันและสำคัญมากที่สุดที่ทำให้ต้องมีการใช้บัตร 2 ใบแทนใบเดียว เพราะคนก็สงสัยว่าทำไมใช้บัตร 2 ใบ ไม่กลัวว่าจะแพ้เพื่อไทยเหรอ? ไม่กลัวว่าทักษิณจะชนะเลือกตั้งอีกเหรอ? เพราะว่าใช้บัตร 2 ใบทีไร พรรคไทยรักไทยและพรรคที่ต่อมาจากพรรคไทยรักไทยชนะทุกครั้ง 


แต่อันนี้ดิฉันมองแล้วว่ามันเป็นการกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ทางการเมือง เพราะด้วยอำนาจของคณะรัฐประหารและปัญหาเรื่องราว ดิฉันยังไม่รู้ผลประโยชน์เขาแจกกล้วยกันเท่าไหร่ แต่ที่แน่นอนอย่างหนึ่งก็คือปัญหาคดีความ ซึ่งส.ส.จำนวนมากก็จะมีคดีโน่นคดีนี่อยู่เป็นจำนวนมาก ปัญหาคดีความนั้นสามารถเป็นบ่วงรัดคอแล้วลากจูงคนไปได้ เพื่อให้ไปเข้าค่ายที่มีความเสียหายน้อยที่สุด ดังนั้นเราจะเห็นนักการเมือง, ส.ส.จำนวนมากที่มีปัญหาเรื่องคดีความเดินเซื่อง ๆ ไปอยู่กับพปชร. และก็ต้องต่อสู้เต็มที่เพื่อให้ตัวเองยังสอบได้และมีคุณค่า มิฉะนั้นมาก็เสียเที่ยว เลือกตั้งก็ไม่ได้ ถ้าเลือกตั้งไม่ได้ คุณค่าก็ไม่มี ก็จะมีใครช่วย ไม่มีใครช่วย 


ดังนั้น การแปรพักตร์จากพรรคเพื่อไทยไปสู่พปชร.มันจึงเกิดขึ้นอย่างที่เรียกว่าสร้างพลังให้พปชร.ขึ้นมายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นวิธีคิดของผู้วางแผนที่ให้กลับมาแก้บัตรเลือกตั้งเป็น 2 ใบ เขาไม่ได้กลัวเพื่อไทยแล้ว 1) เขาสามารถถึงส.ส.เพื่อไทยไปได้จำนวนหนึ่ง และเพื่อไทยก็มีการแตกแยกภายใน อันที่ 2) ที่สำคัญก็คือมีเสือตัวใหม่ที่เขากลัวมากกว่าเพื่อไทยคืออนาคตใหม่


ดังนั้นการยุบพรรคอนาคตใหม่หรือว่าการที่มีการแปรเปลี่ยนดึงคนไปอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แล้วมีการแปรพักตร์ มันจึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราเอาเสียงอนาคตใหม่ ครั้งที่แล้วเขาได้ 6.33 ล้านเสียง เขาควรจะได้ส.ส.ซึ่งมากกว่านี้ แต่ก็อย่างว่า ก็ถูกวิธีคำนวณแบบสะเหล่อมากของกกต. ผิดทั้งรัฐธรรมนูญ ผิดทั้งวิธีการคำนวณ พูดตรง ๆ เอาเด็กมัธยมก็คำนวณได้ถูก น่าอายมาก! 


ดังนั้น การคำนวณและคิดแบบเดิมมันอับอาย! มันไม่สามารถที่จะใช้วิธีการคำนวณแบบเดิม แล้วคุณจะไปเปลี่ยนแบบใหม่ได้ยังไง มันก็ต้องทำแบบเดิมอีก เพราะฉะนั้นก็คือมีเหตุผลหลายเหตุผล พปชร.สามารถสร้างพรรคใหญ่ได้ โดยวิธีดึงดูดคนเข้ามา โดยวิธีโค่นแชมป์เก่าอย่างประชาธิปัตย์ 


อันที่สองมีเสือตัวใหม่ที่น่ากลัวกว่าคืออนาคตใหม่ ในวิธีคิดของรัฐไทยจริง ตัวจริง ของพวกรัฐจารีตอำนาจนิยม จะกลัวอนาคตใหม่มากกว่า เพราะว่าอนาคตใหม่มีแต่จะเติบใหญ่ แต่เพื่อไทยในทัศนะเขาก็มีแต่จะเตี้ยลง ถึงแม้จะใหญ่ แต่ก็จะไม่ใหญ่เท่าเดิม ทั้งด้วยการแตกแยกภายใน ทั้งด้วยการที่ถูกแบ่งเสียงไปให้อนาคตใหม่ และอนาคตใหม่นี่จะน่ากลัวมากเพราะว่าคนรุ่นใหม่ อาจจะบอกได้ว่า 80-90% จะเลือกพรรคก้าวไกลหรือคณะก้าวหน้าอะไรต่าง ๆ นี่หมด


ดังนั้น พรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกลก็จะเติบใหญ่และจะตัดเสียงของเพื่อไทย อันนี้เป็นความเชื่อของฝั่งผู้วางแผนว่าให้ใช้บัตร 2 ใบ ไม่ต้องกลัวเพื่อไทย เพราะเพื่อไทยมันจะไม่ใหญ่ไปมากด้วยสาเหตุที่ถูกแบ่งเสียงไปให้อนาคตใหม่ ด้วยสาเหตุที่มีการแตกแยกภายใน เพราะว่าฝั่งพรรคเพื่อไทยนั้นใช้ยุทธศาสตร์ของการสร้างพรรคใหม่ เพราะว่าแบบเดิมนั้นส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน แล้วก็คะแนนเสียงทั้งหมด 500 เอาไปหาร สมมุติว่า 35 ล้าน ก็แปลว่า 7 หมื่นเสียงได้ส.ส. 1 คน ถ้า 40 ล้านเสียง เอา 500 ไปหาร ก็ 8 หมื่นเสียงได้ส.ส. 1 คน คือเอา 500 ไปหารจำนวนเสียงที่มาออกเสียงทั้งหมด


แต่ว่าตอนนี้ถ้าเป็นบัตร 2 ใบ มันไม่ใช่เอา 500 ไปหาร เพราะว่าบัญชีรายชื่อมี 100 คน เอา 100 ไปหาร 40 ล้านเสียง เอา 100 ไปหาร 35 ล้านเสียง มันไม่ใช่หมื่นแล้ว มันจะกลายเป็นหลักแสนแล้ว มันก็จะต่างกัน 5 เท่า ต้องใช้เสียงมากกว่ากัน 5 เท่าเพื่อที่จะได้บัญชีรายชื่อ 1 คน สมมุติว่าถ้าเมื่อก่อนนี้ 7 หมื่นเสียง ได้บัญชีรายชื่อ 1 คน ตอนนี้ก็จะกลายเป็นว่า 3.5 แสน คือ 5 เท่า ถึงจะได้บัญชีรายชื่อ 1 คน 


ดังนั้น เราจะเห็นว่าอันนี้เท่ากับจงใจตัดขาพรรคเล็กสำหรับบัญชีรายชื่อ โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ (ก้าวไกล) ซึ่งในอดีตได้บัญชีรายชื่อเป็นจำนวนมาก (ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ได้ 50 ที่นั่ง) แต่ครั้งที่แล้วพปชร.เขาได้ได้ป๊อปปูลาร์โหวตสูง ก็คือ 8.4 ล้าน ดังนั้นในความคิดของเขาก็คือพปชร.เขาได้ส.ส.ทั้งหมด 116 คน เพื่อไทยได้ 136 คน เพราะเพื่อไทยได้ส.ส.เขตมากกว่า พปชร.ได้ส.ส.เขต 97 


แต่ครั้งนี้เขตก็เพิ่มขึ้นจาก 350 เขต เพิ่มอีก 50 เขต เป็น 400 เขต เป็นความหวังของพลังประชารัฐอยู่ค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเขาคงเชื่อมั่นว่าส.ส.เขตก็ได้เยอะ และมีโอกาสได้บัญชีรายชื่อด้วย กรณีที่ส.ส.เขตไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเหตุเป็นผลว่าเขาไม่กลัวที่ว่าจะแพ้เพื่อไทย มีแต่เพื่อไทยนั่นแหละจะแพ้อนาคตใหม่ ในทัศนะเขา


เพราะฉะนั้นดังที่บอกว่า เปลี่ยนมาเป็นยุทธศาสตร์พรรคใหญ่ เพราะพลังประชารัฐและ 3ป ไม่กลัวเพื่อไทยอีกแล้ว แต่กลัวอนาคตใหม่หรือก้าวไกลมากกว่า อันที่สองก็คือ ฉันก็เป็นพรรคใหญ่ได้ ฉันจะสามารถโค่นประชาธิปัตย์ได้ แล้วฉันจะดึงคะแนนเสียงจากเพื่อไทยได้ แล้วฉันมีเสียงในเขตใหม่อีก 50 เขตได้ 


มันก็จะเกิดผลเป็น 2 ปีก คือปีกประชาธิปัตย์บวกกับพลังประชารัฐและภูมิใจไทย ภูมิใจไทยก็คงจะบวกลบไม่มาก เพราะว่าครั้งที่แล้ว เพื่อไทย+อนาคตใหม่ เสียงประมาณ 14 ล้าน พปชร+ประชาธิปัตย์ ประมาณ 12.4 ล้าน แบ่งเป็น 2 ซีกใหญ่แล้วนะ แล้วพอเอาภูมิใจไทยไป 3.7 ล้าน ก็เป็น 16 ล้าน พูดง่าย ๆ ว่า 2 ค่ายครึ่งต่อครึ่ง ภูมิใจไทย+ประชาธิปัตย์+พปชร. ก็ประมาณ 15-16 ล้าน เพื่อไทย+อนาคตใหม่ ก็อาจจะ 15-16 ล้าน 


แต่มันจะมีจุดหนึ่งซึ่งน่าเป็นห่วง ก็คือเมื่อเพื่อไทยกับอนาคตใหม่แย่งพื้นที่กัน เพื่อไทยกับอนาคตใหม่มีโอกาสจะสูญเสียที่นั่งให้พปชร. ในขณะที่พปชร.เมื่อแย่งพื้นที่กับประชาธิปัตย์ เขาจะไม่ได้สูญเสียที่นั่งให้กับเพื่อไทยกับอนาคตใหม่นะ แต่คนที่จะได้คือภูมิใจไทย เพราะพื้นที่มันแยกกันอยู่แล้ว


ดังนั้น เขามองแล้วยังไงเขาก็ได้เปรียบ ซีกที่โอกาสที่ 3ป จะสืบทอดอำนาจได้เป็นรัฐบาล โดยกติกาใช้บัตร 2 ใบ สร้างตัวเองให้เป็นพรรคใหญ่ ครั้งที่แล้วก็เหนือกว่าประชาธิปัตย์แล้ว ครั้งนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือให้เหนือกว่าเพื่อไทย เพราะเพื่อไทยนั้นเมื่อต้องมาแย่งคะแนนเสียงกับอนาคตใหม่ ยกตัวอย่างในกรุงเทพฯ ก็จะต้องสูญเสียที่นั่งให้กับพปชร. เป็นต้น


ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ต้องการที่จะให้ฝ่ายประชาธิปไตยเสียกำลังใจ แต่ให้เข้าใจว่าความคิดของกลุ่มอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมนั้นไม่ได้คิดว่าบัตร 2 ใบเพื่อจะทำให้เพื่อไทยได้ประโยชน์ ไม่ใช่! เขาคิดว่าเขาได้ประโยชน์ และเขาคิดว่าครั้งนี้จะเป็นยุทธศาสตร์ที่ล้มเพื่อไทยได้จริง


เพราะฉะนั้น ฝั่งประชาธิปไตยต้องคิดว่าอย่างไรเสียอุดมการณ์จารีตนิยมอำนาจนิยมกับอุดมการณ์ของฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยมนั้นยังไงมันก็อยู่คนละขั้ว ดังนั้นฝั่งประชาธิปไตยจะวางยุทธศาสตร์อย่างไร? วางแผนอย่างไร? เพื่อให้ชนะในการเลือกตั้งได้ เป็นโจทย์สำคัญที่ฝากไว้ค่ะ.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์