ทวงคืนความฝันแบบ "อนาคตใหม่" เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ "ธนาธร -ช่อ-ไอติม" ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ หนุน "วิโรจน์" เป็นผู้ว่าฯ กทม.
"ธนาธร" หวนคืนเวทีปราศรัยใหญ่ เผย 3 เหตุผล ต้องกา "วิโรจน์" และ ส.ก.จากก้าวไกล ยืนยันการแก้ปัญหาเชิงประเด็นและปัญหาโครงสร้างอำนาจต้องทำไปพร้อมกัน เลือกทำแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ด้าน "พรรณิการ์" ชวนไปเลือกตั้ง 22 พ.ค. ด้วยความหวัง เหมือนวันที่ไปกาเลือก "อนาคตใหม่" ขณะที่ "ไอติม" ชี้ปัญหาของกรุงเทพฯ เรื้อรังหนักมานาน เชื่อ ยาแรงเท่านั้น ที่จะรักษาคนป่วยชื่อ "กรุงเทพฯ" ให้หายขาดได้
วันนี้ (14 พ.ค. 65) ในการปราศรัยปราศรัยใหญ่เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ รวมพลังอนาคตใหม่ จบปัญหาเรื้อรัง ได้เวลาเลือก "ยาแรง" ณ ลานอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน (วงเวียนใหญ่) ในช่วงค่ำที่ผ่านมา
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และประธานคณะก้าวหน้าในปัจจุบัน กล่าวว่า มีคนจำนวนมากบอกว่าปัญหาของกรุงเทพฯ มีมากมายจนไม่สามารถแก้ได้หรือบอกให้ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ต้องไปแก้ แต่ตนไม่เคยหมดความหวังต่อเมืองนี้ เหมือนที่ไม่เคยหมดความหวังต่อประเทศไทย และเพื่อทำให้ความหวังเป็นจริง มีแต่การเลือก วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เบอร์ 1 และ ส.ก.จากพรรคก้าวไกลเท่านั้นที่จะทำภารกิจนี้สำเร็จได้ ด้วย 3 เหตุผลสำคัญ
ประการที่หนึ่ง วิโรจน์ ที่หลายคนไม่รู้จักคือ นักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ในบริษัทซีเอ็ด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตหนังสือชั้นนำโดยไต่เต้าจากพนักงานด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี มีโครงการที่ถูกภาครัฐนำไปแนะนำและเป็นต้นแบบให้บริษัทเอกชนหลายแห่งนำไปทำตาม เช่น การทำแคมเปญรับผู้สูงอายุเข้าไปเป็นพนักงานขายหนังสือของร้าน และกำหนดว่าพนักงาน 1 ใน 3 ของซีเอ็ดต้องเป็นผู้สูงอายุ โครงการนี้ได้รับเสียงชมเชยอย่างมาก เพราะในขณะนี้สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่น่ากลัวกว่าในประเทศอื่น ๆ เพราะผู้สูงอายุของไทยจำนวนมากต้องเผชิญกับปัญหาแก่ก่อนรวย หลายคนซึมเศร้า มองชีวิตไม่มีความหมายเมื่อไม่มีงานทำ โครงการนี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง ในสมัยช่วงที่ วิโรจน์ เป็น ผอ.ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาองค์กรในขณะนั้น
ประการที่สอง วิโรจน์ เป็นนักอุดมการณ์ที่นำคุณสมบัติของนักบริหาร ได้แก่ การมองปัญหา การแยกแยะปัญหาอย่างเป็นระบบ และการเอาเครื่องมือสมัยใหม่มาแก้และตอบสนองปัญหาได้อย่างทันท่วงทีโดยมาผนวกกับความแน่วแน่ กล้าหาญ และมีเป้าหมายรับใช้ประชาชน จึงทำให้เขาเป็นทั้งนักบริหารและนักอุดมการณ์ในคนเดียวกัน
“การเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าต้องเลือกนักบริหาร ผมขอบอกว่าไม่ต้อง เพราะพรรคก้าวไกลมีผู้บริหารและนักอุดมการณ์อยู่ในคนเดียวกัน ซึ่งผลงานในสภาเป็นการพิสูจน์ตัวของเขาต่อประชาชนได้เป็นอย่างดีแล้ว”
ธนาธร กล่าวว่า เรื่องวาทศิลป์อาจเป็นจุดเด่นของวิโรจน์ก็จริง แต่สำคัญกว่านั้นคือความสามารถในการจับประเด็นในการสื่อสารเรื่องที่ยากให้ง่าย และความกล้าที่จะต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม การอภิปรายที่โดดเด่นและทำให้ชื่อของวิโรจน์ เป็นที่รู้จักก็คือ การเปิดโปง IO กองทัพเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึง IO อย่างเป็นระบบในสภาผู้แทนราษฎร วิโรจน์ คือคนที่ทำให้คนไทยรู้ทัน IO และกล้าอภิปรายโดยไม่เกรงกลัวอำนาจของกองทัพ
“นอกจากนี้ นโยบายของวิโรจน์ บอกว่าต้องใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อนำไปเป็นสวัสดิการให้คนกรุงเทพฯ จะมีงบก้อนนี้ได้ก็ต้องไปเอามาจากงบไม่จำเป็นที่กระจัดกระจายตามหน่วยงานต่าง ๆ ถามว่าเงินขนาดนี้จะต้องชนกับหน่วยงานราชการขนาดไหน เรื่องนี้พูดเฉย ๆ คงทำไม่ได้ จึงต้องการคนแน่วแน่และมั่นคง รักความเป็นธรรมพร้อมปกป้องผลประโยชน์คนส่วนใหญ่ ทำไมเราจึงมักเห็นวิโรจน์หน้าตาขึงขัง นั่นเป็นเพราะเขาเจ็บปวด เขาโกรธเพราะเขาเข้าใจคนที่ทุกข์ยาก เขาโกรธแค้นแทนคนที่ถูกกระทำ ดังนั้นมีแต่การไว้ใจคนที่เข้าอกเข้าใจคนที่เจ็บปวดแบบนี้ได้เท่านั้นจึงจะนำพลังนั้นมาสู่ความเปลี่ยนแปลงได้จริง"
สำหรับ เหตุผลสุดท้าย ธนาธร กล่าวว่า เป็นเพราะพรรคก้าวไกลพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างกล้าหาญ แม้พรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบไป หรือไม่มี ธนาธร ปิยบุตร ก็ตาม
"พรรคก้าวไกลเกิดจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ผู้คนที่ยังศรัทธาอุมดมการณ์ ส.ส. เจ้าหน้าที่พรรค รวมกันสร้างพรรคนี้ขึ้นมา ผ่านมากว่า 2 ปี แกนนำ สมาชิก ส.ส. แสดงให้เห็นชัดเจนแล้ว พรรคเดินไปข้างหน้าได้อย่างกล้าหาญ ยืนเคียงข้างประชาชน จริง ๆ เห็นได้จากการมี ส.ส. และเจ้าหน้าที่โดนคดีความมั่นคงและ ม. 112 เยอะที่สุด"
ธนาธร กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้คนศรัทธาพรรคก้าวไกล คือการแก้ปัญหาเชิงประเด็น แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่ามันเป็นไปไม่ได้จริง เพราะโครงสร้างอำนาจไม่เอื้อ นั่นจึงทำให้ต้องแก้ปัญหาโครงสร้างอำนาจไปพร้อม ๆ กันด้วย
“ทั้งสองอย่างต้องทำไปพร้อมกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ พรรคยังพิสูจน์ว่า ไม่ว่าประชาชนมาจากภาคไหน หรือเป็นใครก็พร้อมยืนหยัดต่อสู้คนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ พรรคสู้ไปพร้อมกับคนบางกลอย จะนะ ดงมะไฟ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนต่างจังหวัด ถูกกดขี่ ถูกหลงลืม แต่พวกเขาไม่ทอดทิ้งและทำให้เห็นมาแล้วในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา"
ธนาธร ย้ำว่า กทม. ก็ไม่ต่างจากประเทศไทย เพราะรูปแบบโครงสร้างการบริหารก็อปปี้มา จึง ต้องการคนไปแก้ปัญหาเชิงประเด็นและตระหนักว่าต้องจัดการโครงสร้างอำนาจไปพร้อม ๆ กันจึงจะพาให้ประเทศไทยไปต่อได้
"พรรคที่ต่อสู้เพื่อประชาชนอย่างนี้ถ้าอยากให้มีในประเทศไทย การสนับสนุนที่ดีที่สุดก็คือกาให้เขา พรรคต่อสู้เพื่อประชาชน ประชาชนสนับสนุนพรรค สนับสนุนในทุกการเลือกตั้งเพื่อยืนยันว่า พรรคที่ยืนหยัดเพื่อผู้ถูกกดขี่ ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม จำเป็นต้องมีอยู่ในสังคมไทย ด้วย 3 เหตุผลนี้ 22 พ.ค. ผมจะเลือกวิโรจน์ และ ส.ก.จากพรรคก้าวไกล"
ขณะที่ พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่และกรรมการบริหารคณะก้าวหน้า กล่าวว่า การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 62 ที่ผ่านมาคือการเดินออกไปเลือกตั้งด้วยความหวัง เราหวังว่าจะมีนายกฯ ที่ชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และอนาคตใหม่ที่ดีกว่า แต่ความหวังนั้นกลับพังทลายลงด้วยน้ำมือของ กกต. ที่ปรับสูตรการคำนวณ จนฝ่ายประชาธิปไตยมีเสียงไม่ถึงครึ่งสภา ตามมาด้วยเสียงประสานเกือบเอกฉันท์จาก ส.ว. เลือก พลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเหยียบย่ำซ้ำเติมความหวังของประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนคนกรุงเทพฯ เองต้องเสียโอกาสในการมีผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง แทนที่ปี 2560 จะได้เลือกผู้ว่าฯ คนใหม่ตามวงรอบ รัฐบาลเผด็จการกลับตั้ง อัศวิน ขวัญเมือง มาเป็นผู้ว่าฯ ยาวนานถึง 6 ปี ทั้งที่ไม่เคยได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนแม้แต่แต้มเดียว
“ไม่มีประชาธิปไตยในประเทศไหนได้มาอย่างง่ายดาย เราชนะและพ่ายแพ้มาหลายครั้งเป็นเวลา 90 ปี นับตั้งแต่ 24 มิ.ย. 2475 แต่เรายังสู้ทุกในสมรภูมิ ทั้งในสภา และในทุกจังหวัดที่มีการเลือกตั้งผู้บริหารจังหวัด
"เพราะทุกการเลือกตั้งคือโอกาสของการสร้างการเปลี่ยนแปลง ทุกการเลือกตั้งคือโอกาสของการได้นำเอาผู้แทนความหวัง ความฝันของเรา เข้าไปมีอำนาจในการบริหารประเทศบริหารงบประมาณที่มาจากภาษี จากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเรา และนี่คือเหตุผลที่ทำไม ชาวอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะก้าวหน้าหรือก้าวไกล สู้ในทุกสนามเลือกตั้ง จะเลือกตั้งใหญ่ มีนา 62 เลือกตั้งท้องถิ่น มาจนถึงเลือกผู้ว่ากทม. และนายกพัทยา”
พรรณิการ์ ย้ำว่า ในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. วันที่ 22 พ.ค. นี้ ขอให้ย้อนกลับไปจดจำความรู้สึกในวันที่ 24 มีนาคม 62 วันที่ไม่มีใครเชื่อว่าอนาคตใหม่จะชนะเลือกตั้งหรือกลายเป็นพรรคอันดับ 3 ของประเทศ แต่พี่น้องประชาชนกาด้วยเหตุผลเดียว คือพวกเขาหวังจะเห็นอนาคตแบบเดียวกัน หวังถึงบ้านเมืองที่เป็นธรรม ที่คนเท่ากัน หวังว่าหนึ่งเสียงของพวกเขา จะส่งผู้แทนที่มีความฝันเดียวกับประชาชนเข้าสภาได้สักคน
“22 พฤษภาคม 65 วันที่เผด็จการปล้นอำนาจไปจากเราเมื่อ 8 ปีที่แล้ว จะกลายเป็นวันที่เราออกไปกา เพื่อแสดงพลังของประชาชนที่ไม่ยอมจำนน กาเพื่อแสดงว่า 8 ปีที่กรุงเทพฯ อยู่ใต้ผู้ว่าที่เราไม่ได้เลือก ประชาชนเจ็บปวดแค่ไหน กาเพื่อแสดงความหวังว่าเราจะขีดเส้นทางอนาคตของกรุงเทพฯ ผ่านมือของเราเอง เลือกผู้นำที่พร้อมชน พร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชน สร้างเมืองที่เป็นธรรม น่าอยู่กว่านี้สำหรับพวกเรา 24 มีนาคม 62 วันนั้นเรายังไม่ชนะ ไม่สามารถเอาคนอนาคตใหม่เข้าไปบริหารประเทศได้ แต่วันนี้โอกาสเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยปลายปากกาของทุกคน โอกาสที่เราจะได้เริ่มต้นสร้างเมืองที่เท่าเทียมกัน ที่กรุงเทพฯเลือก วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” พรรณิการ์ ย้ำ
ด้าน พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หากเปรียบชีวิตคนส่วนใหญ่ของ กทม. เป็นบุคคล ก็เปรียบเสมือนผู้ป่วยที่กำลังขาดแคลนสารอาหาร 4 อย่างสำคัญ สารอาหารที่ 1 คือ เงินในกระเป๋า ด้วยรายจ่ายหรือค่าครองชีพที่สูง สารอาหารที่ 2 คือเวลาที่ต้องเสียเวลาไป เช่น 50-60 ชั่วโมงต่อปี กับการนั่งอยู่ในรถที่ติดกลางท้องถนน สารอาหารที่ 3 คือ สุขภาพและความปลอดภัย ซึ่งมีความเสี่ยงหลายรูปแบบ เช่น ฝุ่น PM 2.5 หรือทางม้าลายที่ไม่ปลอดภัย และสารอาหารที่ 4 คือ อำนาจการกำหนดอนาคตของตนเอง
อย่างไรก็ตาม พริษฐ์ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าจะมีนโยบายเพื่อเติมสารอาหาร 4 อย่าง ให้กับผู้ป่วยที่ชื่อว่า กทม. อย่างเพียงพอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกลับมาแข็งแรงหายดี เพราะผู้ป่วยป่วยเรื้อรังร่วมหลายโรคมายาวนานเกินกว่าแค่การเติมสารอาหารจะรักษาได้ ห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย จึงจำเป็นต้องเลือกใช้ยาแรงเท่านั้น
พริษฐ์ ชี้ว่า ผู้ว่ากทม. ที่จะเป็นยาแรงให้กับประชาชนได้นั้น ต้องมี 3 คุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ หนึ่งต้องเป็นผู้ว่าฯ ที่กล้าแก้กติกา
คุณสมบัติที่สอง ต้อง “แท็กทีมได้” ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นยี่ห้อเฉพาะกิจที่มัดรวมกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ แต่ก้าวไกลเป็นยี่ห้อที่มัดรวม วิโรจน์ กับ ส.ก. ทั้ง 50 คน บนพื้นฐานของเจตจำนงที่ต้องการจะสร้างเมืองที่คนเท่ากัน และ คุณสมบัติที่สาม ต้องเป็นผู้ว่าฯ ที่มองทั้งประเทศพร้อมร่วมแก้ปัญหาให้คนจังหวัดอื่นด้วย ตราบใดที่ กทม. ยังรวมศูนย์อำนาจ งบประมาณ และมูลค่าทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนที่อาศัยในกทม. จะกลายเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ
“ก้าวไกล ไม่ได้มอง กทม. เป็นสูญญากาศ ที่ตัดขาดจากที่เหลือของประเทศ แต่เราต้องการแก้ปัญหา กทม. ด้วยการมอง กทม. เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ที่จะต้องไม่พัฒนาแบบสวนทางกับจังหวัดอื่น แต่ต้องพัฒนาไปควบคู่กับจังหวัดอื่น หากจะพัฒนากทม. เราจึงจำเป็นต้องกระจายความเจริญและกระจายอำนาจไปสู่จังหวัดอื่นได้ เพื่อให้ทุกคนจังหวัดมีสิทธิและงบประมาณเพียงพอในการแก้ปัญหาในพื้นที่ นำโดยผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งของคนในพื้นที่"
พริษฐ์ ทิ้งท้ายว่า ยอมรับว่า ตนอาจจะไม่ได้มีโอกาสรู้จักวิโรจน์ มายาวนาน แต่นอกจากอุดมการณ์ที่ตรงกันภายใต้ร่มของก้าวไกล แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่มีตรงกันคือ สโมสรฟุตบอลที่รักซึ่งเป็นสโมสรที่พร้อมลงแข่งในทุกสนาม รวมถึงพร้อมจะหักปากกาเซียนและสร้างปาฏิหารย์ในทุกการแข่งขัน
“หลายคนอาจจะพยายามทำให้เราหลงคิดไปเองว่า ก้าวไกล ในสนามกทม. กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่อย่าลืมว่าในการแข่งขันครั้งนี้ เราไม่ได้ตามหลังอยู่ 1 ลูก 2 ลูก หรือ 3 ลูก แต่ในการแข่งขันครั้งนี้ เรายังไม่ได้เริ่มเตะกันด้วยซ้ำ เพราะจนกว่าจะถึงวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค. บัตรเลือกตั้งยังไม่ถูกหย่อนไปในหีบแม้แต่ใบเดียว ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องไม่ใช่เกมฟุตบอลที่เราจะลงแข่งด้วยความกลัวหรือความกังวล การเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องไม่ใช่เกมฟุตบอลที่เราปล่อยให้ใครมาเขียน script ล็อกผลไว้ล่วงหน้า แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องเป็นโอกาสของพี่น้องชาว กทม. ที่จะไปหย่อนบัตรและขีดเส้นทางอนาคตของตัวเอง” พริษฐ์ ระบุ
#ผู้ว่ากทม #ก้าวไกล
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์