#12ปีพฤษภา53
“มันเร้นกายภายใต้ความเบลอ”
คำถามที่
top hit ที่สุดในชาติตอนนี้คือใครเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน 92 ศพ (รวมทั้งทหารด้วย)
ใครจะต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้
ผมเข้าใจว่าคำถามนี้มุ่งเป้าไปที่ทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพพร้อมกันในขณะนี้
แท้จริงแล้วผมไม่อยากจะคุยกับเพื่อน
ๆ ในเรื่องนี้
กลัวว่าบุคคลที่ไม่เข้าใจและพวกอาชีพทหารจะเอาไปกล่าวหาว่าเป็นการชี้นำ
แต่ที่ต้องออกมาพูดในเชิงวิชาการก็เพราะเหตุว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไม่รู้ว่าการควบคุมและการใช้กำลังทหารนั้นเขาทำกันอย่างไร
ไม่ได้หมายความว่ามันยากเกินกว่าจะเข้าใจ
แต่มันเป็นเพราะประเทศของเราไม่ได้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงมาโดยตลอด
มันจึงไม่มีการปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างถูกต้องเหมาะสม
และนักวิชาการทางการเมืองการปกครองส่วนใหญ่ก็ไม่อยากเปลืองตัวออกมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
คงปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองและบรรดาทหารใหญ่ในเวลานั้นออกมาแสวงประโยชน์และปล่อยให้เรื่องนี้อยู่ในความเบลอของคนส่วนใหญ่ในชาติ
เพื่อเอาตัวรอดพ้นความผิดและความรับผิดชอบจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นเช่นนี้ตลอดมาและจะมีอีกต่อ
ๆ ไป
อย่าว่าแต่ประชาชนเลยครับ
แม้แต่ทหารเองยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อยางถูกต้องเลย
ทหารส่วนใหญ่เองยังเข้าใจว่าการควบคุมและการใช้กำลังทหารนั้นเป็นเรื่องของทหารด้วยกันเองเท่านั้น
เพราะทหารได้รับการศึกษาอบรมมาว่าต้องเชื่อมั่น
และปฏิบัติตามคำสั่งความต้องการตามสายการบังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด
ดังคำปฏิญาณที่ว่า “คำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์”
(ผมได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในด้วยรักและห่วงใยมาแล้ว คิดว่าคงยังจำได้
ถ้าอย่างไรไปทบทวนดูใหม่ก็ได้ครับ) นอกจากนี้ในแบบธรรมเนียมทหารยังระบุไว้อีดด้วยว่า
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารคือ รมว.กห. แล้วผมอยากจะถามว่า นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำเสนอรายชื่อผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพ
กราบบังคมทูลเพื่อลงพระปรมาภิไธยและรับสนองพระบรมราชโองการหลังจากที่ได้โปรดเกล้าฯ
ลงมาแล้วว่า อย่างนี้จะนับว่าเป็นผู้บังคับบัญชาหรือไม่ มันงง ๆ อยู่นะ แล้ว นรม.
ยังเป็น หน.รัฐบาล ซึ่งก็คือผู้บังคับบัญชาของ รมว.กห. อีกด้วย
หรือว่าเรื่องนี้เราพิจารณาเป็นเรื่องการเมืองไม่เกี่ยวกับการทหาร
แน่นอนครับในระดับยุทธวิธีเราคงแยกออกได้ว่าการเมืองและการทหารไม่เกี่ยวกัน
แต่ในระดับยุทธการและยุทธศาสตร์ไม่ใช่แล้วครับ
ในระดับยุทธศาสตร์นั้นการเมืองและการทหารเกี่ยวข้องกันอย่างหนัก
เพราะความต้องการทางการเมืองเป็นผู้กำหนดทิศทางและการใช้กำลังทหาร ซึ่งก็ลงมาจาก
ครม. ซึ่งมีนายก รมต. เป็น ผบช. นั่นเอง
ทีนี้หันกลับมาดูเหตุการณ์
เมื่อ เม.ย. - พ.ค. 53 ของประเทศไทยที่มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก คิดง่าย ๆ
โดยไม่ต้องสอบสวนให้ลึกซึ้งเลยครับในชั้นต้น
-
ทำไมถึงมีผู้เสียชีวิต ก็เพราะมีการพลศพและนับได้ 92 ศพเป็นอย่างน้อย
ศพเหล่านั้นถูกยิงด้วยอาวุธสงคราม ทั้งจากอาวุธประจำกาย และปืนซุ่มยิง
ซึ่งไม่ใช่อาวุธที่ประชาชนคนธรรมดาสามารถมีไว้ครอบครองได้
ก็คงต้องเป็นอาวุธของทหารเท่านั้น นอกเสียจากจะมีพยานหลักฐานพิสูจน์ได้แน่ชัดว่ามีพวกอื่นที่มีอาวุธแบบเดียวกับทหาร
-
มีการใช้กำลังทหารออกมาแก้ไขสถานการณ์นี้ แน่นอนไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างอะไรก็แล้วแต่
และทหารที่ถืออาวุธออกมาเป็นกองพลเช่นนี้ไม่สามารถออกมาเองได้
จะต้องมีผู้ออกคำสั่งให้ทหารออกมา การสั่งการเรื่องนี้ต้องทำกันตามลำดับชั้นอีกด้วย
การที่ทหารออกมาขอคืนพื้นที่หรือกระชับพื้นที่ ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม
แต่มันก็คือการสลายฝูงชนนั่นแหละ ทหารพวกนี้นอกจากมีอุปกรณ์สลายฝูงชนแล้ว
ยังมีอาวุธประจำกายและมีพลซุ่มยิงมาร่วมปฏิบัติการด้วย
-
ขนาดเหตุการณ์เป็นไปถึงขั้นนี้แล้ว
ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบในความเสียหายที่บังเกิดขึ้น ทุกระดับสามารถปัดออกไปให้พ้นตัวว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้ออกคำสั่งที่ทำให้เกิดความเสียหายเหล่านั้น
-
รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐ ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในการบริหารราชการแผ่นดิน
ตั้ง ศอฉ. โดยมีรองนายกคนหนึ่งเป็น ผอ.ศอฉ. และมี ผบ.ทบ. เป็นรอง ผอ.ศอฉ.
อีกท่านหนึ่ง โดยระบุให้ ศอฉ.
มีหน้าที่รับผิดชอบในการใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่
การนี้ส่งผลให้ฝ่ายทหารมีอำนาจควบคุมและใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบ
แต่ไม่น่าจะทำให้ความรับผิดชอบของ นายก รมต. ในเรื่องนี้พ้นไปด้วย
(หลักการที่ต้องตามจริยธรรม
คือผู้บังคับบัญชาสามารถมอบงานให้ผู้อื่นที่รองลงมาจากตนได้ แต่ไม่สามารถมอบความรับผิดชอบได้
กล่าวคือ ความรับผิดชอบในความสำเร็จและความล้มเหลวของงานคงอยู่กับตนเองตลอดไป)
จากการกระทำดังกล่าวมาแล้วกับสายการบังคับบัญชรทางทหารที่ปรากฏอยู่ในแบบธรรมเนียมทหารทำให้เกิดความเบลอ
(blur) ในเรื่องของการใช้และควบคุมกำลังทหารในระดับยุทธศาสตร์ของชาติ
ส่งผลเสียสำคัญให้ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารสามารถเร้นกายเอาตัวรอด
อ้างว่าตนไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบในการสั่งใช้ทหารออกมาสลายมวลชนอย่างผิดหลักการได้
นายกฯ ออกมาอ้างว่าเป็นหน้าที่ของทหารที่จะต้องแก้ไขสถานการณ์ตามการควบคุมของ ศอฉ.
ฝ่ายผู้บังคับบัญชาทหารก็อ้างว่าทหารออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ.
ที่รัฐบาลเป็นผู้สั่งจัดตั้ง ไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชอบอย่างแน่ชัดในการสูญเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมากในครั้งนี้
มันเป็นความผิดชอบประชาชนเองที่มาตายในเหตุการณ์นี้ ดังนั้น
ประชาชนต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างตัวใครตัวมัน
อย่ามาถามหาอะไรให้เป็นที่ก่อกวนสร้างความรำคาญขัดขวางการหาเสียงของนักการเมือง
ผมก็คิดได้เท่านี้แหละครับ
แต่อยากจะถามทุกฝ่ายรวมทั้งประชาชนในชาติว่า
มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องปฏิวัติกองทัพและออกกฎหมายให้แน่ชัดในเรื่องการควบคุมและการใช้กำลังทหารของชาติให้เหมือนกับที่ชาติศิวิไลซ์เขาปฏิบัติกันเสียที
อย่างน้อยที่สุดมันอาจจะทำให้นักการเมืองและพวกอาชีพทหารไม่สามารถเร้นกายออกไปจากการเข่นฆ่าประชาชนด้วยกำลังทหารได้
ซึ่งจะช่วยส่งผลให้ผู้ที่จะใช้กำลังทหารออกมาประจันหน้ากับประชาชนผู้เป็นเจ้าของกองทัพอย่างแท้จริงต้องหยุดคิดถึงอนาคตของผลกรรมจากการกระทำของตนเองมากขึ้น
อดุล
อุบล
พลเอก,
ทหารราบ
22
มิ.ย. 54
นี่คือบทความบางตอน
ในหนังสือ “ฝากไว้...ให้ตราตรึง” อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ พล.อ.อดุล อุบล
ประวัติการศึกษา
พล.อ.อดุล อุบล บางส่วน : โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 11 (พ.ศ. 2511),
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 22 (พ.ศ. 2513),
หลักสูตรภาษาอังกฤษกองทัพอากาศออสเตรเลีย (พ.ศ. 2525), หลักสูตรชั้นนายพันทหารราบ
กองทัพบกออสเตรเลีย (พ.ศ. 2525) , หลักสูตรชั้นนายพันทหารราบ กองทัพบกสหรัฐอเมริกา
(พ.ศ. 2527), หลักสูตรหลักประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง ชุดที่ 64 (สอบได้ที่ 1) พ.ศ. 2528,
หลักสูตรภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย (สอบได้ที่ 1) พ.ศ. 2528,
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก กองทัพบกสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2530),
หลักสูตรการบริหารทรัพยากรทางทหาร กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2531),
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 48 (พ.ศ. 2548)
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์
#ยุติธรรมไม่มี12ปีเราไม่ลืม