วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

“พลซุ่มยิง (Sniper)” เขียนโดย พลเอก อดุล อุบล จากหนังสือ "ฝากไว้...ให้ตราตรึง"

 


#12ปีพฤษภา53

 

ในช่วงเวลาแห่งการรำลึกเหตุการณ์ เมษาพฤษภา53 “ยูดีดีนิวส์” ได้นำเสนอบทความซึ่งเขียนโดย พลเอก อดุล อุบล ซึ่งเขียนไว้ในเวลาต่าง ๆ กัน จากหนังสือ “ฝากไว้...ให้ตราตรึง” หนังสืออนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพของท่าน เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนคนรุ่นหลัง และให้ได้ทราบว่าในกองทัพไทยยังมีนายทหารประชาธิปไตยผู้รักชาติรักประชาชน ที่เขียนไว้ให้ปรากฏ โดยแง่คิดต่าง ๆ นี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนายทหารและเจ้าหน้าที่รัฐต่าง ๆ ไม่หลงผิดทำสิ่งเลวร้าย ดังที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นวงจรอุบาทว์เสมอมา

 

พลซุ่มยิง (Sniper)” 

 

เพื่อนพ้องน้องพี่และบุคคลพลเรือนจำนวนมากที่เคารพนับถือกันถามผมว่า การใช้พลซุ่มยิงในการสลายมวลชนนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เหมาะสมตามความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารในการปฏิบัติการเช่นนี้หรือไม่

 

ผมเรียนตามตรงว่าผมไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่มันมีคนถามมามากเหลือเกิน โดยเฉพาะเพื่อน ๆ อาชีพอื่นที่อาจจะมองภาพของทหารเป็นแบบอย่างโลกตะวันตกในฐานะทหารอาชีพ ผมก็เลยจะขอตอบตรงนี้ในรูปแบบของวิชาการก็แล้วกัน นอกจากนั้นเป็นความรับผิดชอบของผู้อ่านจะคิดเอาเอง

 

ในหน่วยรบพิเศษ ผมไม่รู้นะครับ แต่ในหน่วยทหารราบแล้ว ผมเชื่อว่าผมเป็นคนแรกที่ได้เสนอแนวคิดในการจัดให้มีชุดพลซุ่มยิ่งแบบ Two – man team จำนวน 8 ทีม ในแต่ละกองพันทหารราบของกองทัพภาคที่ 1 แนวคิดนี้ผมเสนอต่อท่าน พล.ต.ไพศาล กตัญญู ซึ่งดำรงตำแหน่ง รอง มทภ.ในขณะนั้น ผมเสนอแนวคิดนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการรบของหน่วยทหารราบเบาในการป้องกันอธิปไตยของชาติ และรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นใด และไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีผลออกมาในทางลบเช่นที่ผ่านมานี้

 

ผมได้ความคิดนี้จากประสบการณ์ในการฝึก ศึกษา และดูงาน จำนวน 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกผมไปศึกษาหลักสูตรชั้นนายพันทหารราบที่ กองทัพบกออสเตรเลีย เมื่อปี 2525 กองพันทหารราบของออสเตรเลีย มีการจัดชุดพลซุ่มยิง ประจำอยู่ในอัตราการจัดและยุทโธปกรณ์ (TO & E) ของหน่วย และมีข้อพิจารณาในการใช้อย่างกว้างขวางในการปฏิบัติการรบ

 

ครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่ผมเป็นล่ามให้ชุดครูฝึกจากกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล ที่มาทำการฝึกชุดต่อต้านการก่อการร้ายให้แก่กำลังพลของ พล.รอ. เมื่อปี 2526 ซึ่งมีการใช้พลซุ่มยิงสังหารผู้ก่อการร้ายในขณะที่ชุดโจมตี (Assault team) เข้าชาร์จเพื่อช่วยตัวประกัน

 

ครั้งที่ 3 เมื่อผมได้ไปเรียนหลักสูตรชั้นนายพันทหารราบของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2527 เช่นเดียวกัน กองทัพบกสหรัฐฯ เองก็มีการใช้พลซุ่มยิงในหน่วยทหารราบเบา ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันในหน่วยระดับหมู่ ปส. ของกำลังทหารสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติการอยู่ในอิรักและอัฟกานิสถาน ยังมีชุดลำกล้องและโครงในส่วนบนที่ใช้ประกอบกับโครงปืนส่วนล่างของ ปลย.M.16 ทำให้ ปลย.M.16 นั้นกลายเป็น ปลย. ขนาด 7.62 มม. ใช้ยิงเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินกว่าระยะหวังผลของ ปลย.M.16 ถึงแม้ว่าจะไม่มีประสิทธิภาพเหมือน ปืนพลซุ่มยิง แต่ก็ให้ผลลัพธ์ในการสังหารฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น โดยไม่ใช้พลซุ่มยิง เพียงแต่ใช้กำลังพลในหมู่นั้น ๆ เอง อาวุธประเภทนี้จัดเป็น ปลย.ต่อระยะ (Extended range rifle) ซึ่งบางกองทัพไม่มีความรู้จริง จึงนำมาสับสนกับปืนพลซุ่มยิงของแท้ที่มีราคาแตกต่างกันมากในการจัดหา Sniper rifle ไว้ใช้งาน

 

จากประสบการณ์ทั้ง 3 ครั้ง ทำให้ผลได้เรียนรู้เรื่องการใช้ Sniper team โดยสรุปได้ว่า

 

1. ชุดพลซุ่มยิง มี 2 แบบโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว แต่ประเภทของอาวุธที่ใช้คือ Anti personnel สำหรับสังหารบุคคลเป็นหลัก และ Anti material ซึ่งใช้สำหรับยิงทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ก็สามารถนำมาใช้สังหารบุคคลได้ด้วย

 

2. หลักการใช้และภารกิจตามคุณลักษณะและขีดความสามารถของชุดพลซุ่มยิง

2.1 การรวบรวมข่าวสาร เนื่องจากพลซุ่มยิงนอกจากจะเป็นทหารที่ยิงปืนได้แม่นยำเป็นเลิศแล้ว พลซุ่มยิงจะต้องเป็นคนที่กล้าหาญ อดทน มุ่งมั่น มีความรอบรู้ในเรื่องการรบ ยุทธวิธี และเทคนิคของการเคลื่อนที่ด้วยการแทรกซึมทั้ง 3 มิติ เป็นอย่างดี พลซุ่มยิงจึงสามารถเข้าเกาะข้าศึกได้ทั้งแนวหน้า และแนวหลัง พร้อมที่จะรายงานข่าวสารเกี่ยวกับข้าศึกและพื้นที่การรบ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.2 ใช้ในการยิงข่ม (Supression) ทั้งที่หมายและที่ตั้งอาวุธยิงของข้าศึก ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกำลังส่วนน้อย แต่ได้ผลทั้งทางยุทธวิธีและทางจิตวิทยาสูง

2.3 ใช้ในการยิงสังหารบุคคลสำคัญ (Key man) ของข้าศึกทำให้การควบคุมการรบของข้าศึกต้องหยุดชะงักลง หรือยิงทำลายชิ้นส่วนสำคัญของระบบอาวุธของข้าศึก (High value target) ทำให้เสียหาย อาจถึงขั้นทำให้ข้าศึกชักช้าหรือต้องเปลี่ยนหนทางปฏิบัติใหม่ได้

2.4 ใช้ควบคุมพื้นที่ที่ไม่ต้องการให้ข้าศึกเข้ามาใช้ประโยชน์ด้วยการยิงจากขีดความสามารถของอาวุธ

2.5 ใช้ในการต่อต้านพลซุ่มยิงของข้าศึก พลซุ่มยิงด้วยกันจึงจะรู้และเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง จะสามารถคิดได้ว่าในสถานการณ์และภูมิประเทศแบบนี้ พลซุ่มยิงฝ่ายข้าศึกน่าจะอยู่บริเวณใดและกำลังคิดทำอะไรอยู่

2.6 ใช้ในการต่อต้านการก่อการร้ายสากล คล้ายกับข้อ 2.3

 

ตามที่กล่าวมาแล้ว ผมจึงได้เสนอแนวคิดให้มีการใช้พลซุ่มยิงในกองพันทหารราบของ ทภ.เมื่อปี 2545 แล้วก็เริ่มมีการคัดเลือกกำลังพล เข้ารับการฝึกจากชุดครูฝึกพลซุ่มยิงของหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ เพื่อเป็นชุดครูฝึกนำไปขยายผลให้หน่วยในระดับกองพล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ผมไม่เคยมีความคิดใช้หรือจะนำประโยชน์ของหลักการใช้พลซุ่มยิงมาใช้ในการสลายมวลชน และไม่แม้แต่จะฉุกคิดว่าจะมีผู้บังคับบัญชาบางคนนำมาใช้ในงานนี้

 

ก่อนเหตุการณ์ 10 เมษา และ 19 พ.ค. 53 ผมไม่เคยได้รับทราบมาก่อนว่า มีกองทัพของประเทศใดในโลกประชาธิปไตย นำกำลังทหารออกมาสลายมวลชน รวมทั้งมีการใช้พลซุ่มยิงสังหารประชาชน ผมไม่เคยศึกษาและไม่เคยคิดที่จะศึกษาเรื่องเหล่านี้ ว่ามันเป็นการผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎบัญญัติของสหประชาชาติหรือไม่ เพราะตัวผมเองไม่เคยมีความคิด อย่าว่าแต่ใช้พลซุ่มยิงกับมวลชนเลย แม้แต่การใช้ทหารถืออาวุธสงครามออกมาปราบปรามประชาชนก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวสมอง

 

ผมพอจำได้ในประเด็นสำคัญ ๆ ของกฎการทำสงคราม ซึ่งเป็นวิชาที่ทหารโลกประชาธิปไตยทุกชาติเขาต้องศึกษากัน ยกเว้นในประเทศไทย เช่น ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์สงคราม ทหารจะใช้อาวุธต่อประชาชน หรือเชลยศึก หรือทหารที่ยอมแพ้วางอาวุธของฝ่ายคู่สงครามไม่ได้ ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงการกระทำกับประชาชนของประเทศตนเอง

 

ผมคงตอบคำถามของพวกท่านทั้งหลายได้เท่านี้ คงต้องเป็นหน้าที่ของพวกท่านพิจารณาด้วยตนเองว่ามันควรจะเป็นการกระทำที่ถูกกฎหมายทั้งในประเทศ ระหว่างประเทศ หรือสากลโลก หรือไม่ และมันสมควรจะกระทำหรือไม่ ประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพต้องเป็นพลเรือน ที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศผ่านการเลือกตั้ง ทหารทุกคน ทุกชั้นยศ จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งและนโยบายของบุคคลนี้อย่างเคร่งครัด ด้วยความเต็มใจอย่างภาคภูมิ เพราะพวกเขาเป็นทหารอาชีพของกองทัพของประชาชน (กลับไปอ่านด้วยรักและห่วงใยตอน “Inside or outside oriented” และตอน “กองทัพของประชาชน” ที่ผ่านมาแล้ว)

 

ประการสำคัญที่สุดที่ผมอยากจะกล่าวย้ำเตือนไว้ ณ ที่นี้ก็คือ กองทัพมีความสำคัญต่อความอยู่รอดของประเทศชาติ รวมทั้งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นเอกราช ความมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันกองทัพก็อาจจะกลายเป็นเครื่องมือในการบั่นทอนขัดขวางความเจริญของประเทศ หรืออาจถึงขั้นเป็นศัตรูทำลายล้างประชาชนในชาติเสียเอง อันเนื่องมาจากระบอบการควบคุมกำลังทหารที่ไม่เหมาะสม การขัดเกลาทางสังคมในการสร้างผู้นำทางทหารทุกระดับไม่ถูกต้องตามวิวัฒนาการของโลก รวมทั้งการได้มาซึ่งผู้บังคับบัญชาที่..................(เติมเอาเองตามต้องการครับ)

 

อดุล อุบล

พลเอกทหารราบ

27 มี.ค. 54

 

นี่คือบทความบางตอน ในหนังสือ “ฝากไว้...ให้ตราตรึง” อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ พล.อ.อดุล อุบล

.

ประวัติการศึกษา พล.อ.อดุล อุบล บางส่วน : โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 11 (พ.ศ. 2511), โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 22 (พ.ศ. 2513), หลักสูตรภาษาอังกฤษกองทัพอากาศออสเตรเลีย (พ.ศ. 2525), หลักสูตรชั้นนายพันทหารราบ กองทัพบกออสเตรเลีย (พ.ศ. 2525) , หลักสูตรชั้นนายพันทหารราบ กองทัพบกสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2527), หลักสูตรหลักประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง ชุดที่ 64 (สอบได้ที่ 1) พ.ศ. 2528, หลักสูตรภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย (สอบได้ที่ 1) พ.ศ. 2528, โรงเรียนเสนาธิการทหารบก กองทัพบกสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2530), หลักสูตรการบริหารทรัพยากรทางทหาร กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2531), วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 48 (พ.ศ. 2548)

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

#ยุติธรรมไม่มี12ปีเราไม่ลืม