#12ปีพฤษภา53
“พลซุ่มยิง (Sniper)”
เพื่อนพ้องน้องพี่และบุคคลพลเรือนจำนวนมากที่เคารพนับถือกันถามผมว่า
การใช้พลซุ่มยิงในการสลายมวลชนนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
เหมาะสมตามความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารในการปฏิบัติการเช่นนี้หรือไม่
ผมเรียนตามตรงว่าผมไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้
แต่มันมีคนถามมามากเหลือเกิน โดยเฉพาะเพื่อน ๆ
อาชีพอื่นที่อาจจะมองภาพของทหารเป็นแบบอย่างโลกตะวันตกในฐานะทหารอาชีพ
ผมก็เลยจะขอตอบตรงนี้ในรูปแบบของวิชาการก็แล้วกัน
นอกจากนั้นเป็นความรับผิดชอบของผู้อ่านจะคิดเอาเอง
ในหน่วยรบพิเศษ
ผมไม่รู้นะครับ แต่ในหน่วยทหารราบแล้ว ผมเชื่อว่าผมเป็นคนแรกที่ได้เสนอแนวคิดในการจัดให้มีชุดพลซุ่มยิ่งแบบ Two – man
team จำนวน 8 ทีม
ในแต่ละกองพันทหารราบของกองทัพภาคที่ 1 แนวคิดนี้ผมเสนอต่อท่าน
พล.ต.ไพศาล กตัญญู ซึ่งดำรงตำแหน่ง รอง มทภ.1 ในขณะนั้น
ผมเสนอแนวคิดนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการรบของหน่วยทหารราบเบาในการป้องกันอธิปไตยของชาติ
และรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นใด
และไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีผลออกมาในทางลบเช่นที่ผ่านมานี้
ผมได้ความคิดนี้จากประสบการณ์ในการฝึก
ศึกษา และดูงาน จำนวน 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกผมไปศึกษาหลักสูตรชั้นนายพันทหารราบที่
กองทัพบกออสเตรเลีย เมื่อปี 2525 กองพันทหารราบของออสเตรเลีย
มีการจัดชุดพลซุ่มยิง ประจำอยู่ในอัตราการจัดและยุทโธปกรณ์ (TO &
E) ของหน่วย
และมีข้อพิจารณาในการใช้อย่างกว้างขวางในการปฏิบัติการรบ
ครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่ผมเป็นล่ามให้ชุดครูฝึกจากกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล
ที่มาทำการฝึกชุดต่อต้านการก่อการร้ายให้แก่กำลังพลของ พล.1 รอ. เมื่อปี 2526 ซึ่งมีการใช้พลซุ่มยิงสังหารผู้ก่อการร้ายในขณะที่ชุดโจมตี
(Assault team) เข้าชาร์จเพื่อช่วยตัวประกัน
ครั้งที่ 3 เมื่อผมได้ไปเรียนหลักสูตรชั้นนายพันทหารราบของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา
เมื่อปี 2527 เช่นเดียวกัน กองทัพบกสหรัฐฯ
เองก็มีการใช้พลซุ่มยิงในหน่วยทหารราบเบา
ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันในหน่วยระดับหมู่ ปส. ของกำลังทหารสหรัฐฯ
ที่ปฏิบัติการอยู่ในอิรักและอัฟกานิสถาน ยังมีชุดลำกล้องและโครงในส่วนบนที่ใช้ประกอบกับโครงปืนส่วนล่างของ
ปลย.M.16 ทำให้ ปลย.M.16 นั้นกลายเป็น
ปลย. ขนาด 7.62 มม.
ใช้ยิงเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินกว่าระยะหวังผลของ ปลย.M.16 ถึงแม้ว่าจะไม่มีประสิทธิภาพเหมือน ปืนพลซุ่มยิง
แต่ก็ให้ผลลัพธ์ในการสังหารฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น โดยไม่ใช้พลซุ่มยิง เพียงแต่ใช้กำลังพลในหมู่นั้น
ๆ เอง อาวุธประเภทนี้จัดเป็น ปลย.ต่อระยะ (Extended range rifle) ซึ่งบางกองทัพไม่มีความรู้จริง
จึงนำมาสับสนกับปืนพลซุ่มยิงของแท้ที่มีราคาแตกต่างกันมากในการจัดหา Sniper
rifle ไว้ใช้งาน
จากประสบการณ์ทั้ง 3 ครั้ง ทำให้ผลได้เรียนรู้เรื่องการใช้ Sniper team โดยสรุปได้ว่า
1.
ชุดพลซุ่มยิง มี 2 แบบโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว แต่ประเภทของอาวุธที่ใช้คือ Anti
personnel สำหรับสังหารบุคคลเป็นหลัก และ Anti
material ซึ่งใช้สำหรับยิงทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ก็สามารถนำมาใช้สังหารบุคคลได้ด้วย
2. หลักการใช้และภารกิจตามคุณลักษณะและขีดความสามารถของชุดพลซุ่มยิง
2.1 การรวบรวมข่าวสาร
เนื่องจากพลซุ่มยิงนอกจากจะเป็นทหารที่ยิงปืนได้แม่นยำเป็นเลิศแล้ว
พลซุ่มยิงจะต้องเป็นคนที่กล้าหาญ อดทน มุ่งมั่น มีความรอบรู้ในเรื่องการรบ
ยุทธวิธี และเทคนิคของการเคลื่อนที่ด้วยการแทรกซึมทั้ง 3 มิติ เป็นอย่างดี พลซุ่มยิงจึงสามารถเข้าเกาะข้าศึกได้ทั้งแนวหน้า
และแนวหลัง พร้อมที่จะรายงานข่าวสารเกี่ยวกับข้าศึกและพื้นที่การรบ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.2 ใช้ในการยิงข่ม (Supression) ทั้งที่หมายและที่ตั้งอาวุธยิงของข้าศึก
ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกำลังส่วนน้อย แต่ได้ผลทั้งทางยุทธวิธีและทางจิตวิทยาสูง
2.3 ใช้ในการยิงสังหารบุคคลสำคัญ (Key man) ของข้าศึกทำให้การควบคุมการรบของข้าศึกต้องหยุดชะงักลง
หรือยิงทำลายชิ้นส่วนสำคัญของระบบอาวุธของข้าศึก (High value target) ทำให้เสียหาย
อาจถึงขั้นทำให้ข้าศึกชักช้าหรือต้องเปลี่ยนหนทางปฏิบัติใหม่ได้
2.4 ใช้ควบคุมพื้นที่ที่ไม่ต้องการให้ข้าศึกเข้ามาใช้ประโยชน์ด้วยการยิงจากขีดความสามารถของอาวุธ
2.5 ใช้ในการต่อต้านพลซุ่มยิงของข้าศึก พลซุ่มยิงด้วยกันจึงจะรู้และเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง
จะสามารถคิดได้ว่าในสถานการณ์และภูมิประเทศแบบนี้
พลซุ่มยิงฝ่ายข้าศึกน่าจะอยู่บริเวณใดและกำลังคิดทำอะไรอยู่
2.6 ใช้ในการต่อต้านการก่อการร้ายสากล คล้ายกับข้อ 2.3
ตามที่กล่าวมาแล้ว
ผมจึงได้เสนอแนวคิดให้มีการใช้พลซุ่มยิงในกองพันทหารราบของ ทภ.1 เมื่อปี 2545 แล้วก็เริ่มมีการคัดเลือกกำลังพล
เข้ารับการฝึกจากชุดครูฝึกพลซุ่มยิงของหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ
เพื่อเป็นชุดครูฝึกนำไปขยายผลให้หน่วยในระดับกองพล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่ขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
ผมไม่เคยมีความคิดใช้หรือจะนำประโยชน์ของหลักการใช้พลซุ่มยิงมาใช้ในการสลายมวลชน
และไม่แม้แต่จะฉุกคิดว่าจะมีผู้บังคับบัญชาบางคนนำมาใช้ในงานนี้
ก่อนเหตุการณ์ 10 เมษา และ 19 พ.ค. 53 ผมไม่เคยได้รับทราบมาก่อนว่า มีกองทัพของประเทศใดในโลกประชาธิปไตย นำกำลังทหารออกมาสลายมวลชน
รวมทั้งมีการใช้พลซุ่มยิงสังหารประชาชน
ผมไม่เคยศึกษาและไม่เคยคิดที่จะศึกษาเรื่องเหล่านี้
ว่ามันเป็นการผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎบัญญัติของสหประชาชาติหรือไม่
เพราะตัวผมเองไม่เคยมีความคิด อย่าว่าแต่ใช้พลซุ่มยิงกับมวลชนเลย แม้แต่การใช้ทหารถืออาวุธสงครามออกมาปราบปรามประชาชนก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวสมอง
ผมพอจำได้ในประเด็นสำคัญ
ๆ ของกฎการทำสงคราม ซึ่งเป็นวิชาที่ทหารโลกประชาธิปไตยทุกชาติเขาต้องศึกษากัน
ยกเว้นในประเทศไทย เช่น ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์สงคราม
ทหารจะใช้อาวุธต่อประชาชน หรือเชลยศึก หรือทหารที่ยอมแพ้วางอาวุธของฝ่ายคู่สงครามไม่ได้
ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงการกระทำกับประชาชนของประเทศตนเอง
ผมคงตอบคำถามของพวกท่านทั้งหลายได้เท่านี้
คงต้องเป็นหน้าที่ของพวกท่านพิจารณาด้วยตนเองว่ามันควรจะเป็นการกระทำที่ถูกกฎหมายทั้งในประเทศ
ระหว่างประเทศ หรือสากลโลก หรือไม่ และมันสมควรจะกระทำหรือไม่
ประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพต้องเป็นพลเรือน
ที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศผ่านการเลือกตั้ง ทหารทุกคน
ทุกชั้นยศ จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งและนโยบายของบุคคลนี้อย่างเคร่งครัด
ด้วยความเต็มใจอย่างภาคภูมิ เพราะพวกเขาเป็นทหารอาชีพของกองทัพของประชาชน
(กลับไปอ่านด้วยรักและห่วงใยตอน “Inside or outside oriented” และตอน “กองทัพของประชาชน” ที่ผ่านมาแล้ว)
ประการสำคัญที่สุดที่ผมอยากจะกล่าวย้ำเตือนไว้
ณ ที่นี้ก็คือ กองทัพมีความสำคัญต่อความอยู่รอดของประเทศชาติ
รวมทั้งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นเอกราช
ความมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศ
แต่ในขณะเดียวกันกองทัพก็อาจจะกลายเป็นเครื่องมือในการบั่นทอนขัดขวางความเจริญของประเทศ
หรืออาจถึงขั้นเป็นศัตรูทำลายล้างประชาชนในชาติเสียเอง อันเนื่องมาจากระบอบการควบคุมกำลังทหารที่ไม่เหมาะสม
การขัดเกลาทางสังคมในการสร้างผู้นำทางทหารทุกระดับไม่ถูกต้องตามวิวัฒนาการของโลก
รวมทั้งการได้มาซึ่งผู้บังคับบัญชาที่..................(เติมเอาเองตามต้องการครับ)
อดุล
อุบล
พลเอก, ทหารราบ
27 มี.ค. 54
นี่คือบทความบางตอน
ในหนังสือ “ฝากไว้...ให้ตราตรึง” อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ พล.อ.อดุล อุบล
.
ประวัติการศึกษา
พล.อ.อดุล อุบล บางส่วน : โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 11 (พ.ศ.
2511), โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 22 (พ.ศ. 2513), หลักสูตรภาษาอังกฤษกองทัพอากาศออสเตรเลีย
(พ.ศ. 2525), หลักสูตรชั้นนายพันทหารราบ กองทัพบกออสเตรเลีย
(พ.ศ. 2525) , หลักสูตรชั้นนายพันทหารราบ กองทัพบกสหรัฐอเมริกา
(พ.ศ. 2527), หลักสูตรหลักประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง ชุดที่ 64 (สอบได้ที่ 1) พ.ศ. 2528, หลักสูตรภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย
(สอบได้ที่ 1) พ.ศ. 2528, โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
กองทัพบกสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2530), หลักสูตรการบริหารทรัพยากรทางทหาร
กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2531), วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
รุ่นที่ 48 (พ.ศ. 2548)
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์
#ยุติธรรมไม่มี12ปีเราไม่ลืม